แชร์

บทที่ 6

ผู้เขียน: กวนเหอว่านหลี่
“อวิ่นเทิง เหตุใดเจ้าไม่กินเล่า?”

จูหยวนจางไม่เข้าใจว่าหม้อไฟที่เจ้าเด็กนี่พูดถึงคืออะไร

สำหรับเขาแล้ว เรื่องอาหารการกินไม่เคยเป็นเรื่องที่ใส่ใจมากนัก

ต่อให้เป็นงานเลี้ยงท้อเซียน ก็ยังสู้ซุปไข่มุกหยกขาวและบะหมี่กระเทียมของเขาไม่ได้

ครั้งนั้น ตอนที่จูหยวนจางยังเป็นพระสงฆ์และต้องออกบิณฑบาตไปทั่ว อดอยากอยู่หลายวัน จนหิวเป็นลมไป

หญิงชราผู้หนึ่งได้ใช้ปลายข้าวกับเต้าหู้ที่เริ่มเปรี้ยวแล้วต้มเป็นโจ๊กชามหนึ่ง

โจ๊กชามนั้นช่วยชีวิตพระองค์ไว้

จูหยวนจางจึงตั้งชื่อให้ปลายข้าว (ไข่มุก) กับเต้าหู้เปรี้ยว (หยกขาว) ว่าซุปไข่มุกหยกขาว

“เสด็จปู่ หลานกินอิ่มแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จูอวิ่นเทิงโกหกคำโต “สองสามวันนี้หลานเวียนศีรษะ กินอะไรไม่ค่อยลงพ่ะย่ะค่ะ”

จูหยวนจางรีบสั่งให้คนไปตามหมอหลวง

จูอวิ่นเทิงลุกขึ้นยืน “เสด็จปู่ ไม่ต้องรบกวนหมอหลวงหรอกพ่ะย่ะค่ะ อาการป่วยของหลาน ส่วนใหญ่เป็นเพราะนอนน้อยเกินไป โดยเฉพาะตอนเช้า ไม่สามารถตื่นเช้าเกินไปได้พ่ะย่ะค่ะ”

ไม่ต้องฟังเสียงในใจ จูหยวนจางก็รู้ว่า เจ้าเด็กนี่คิดจะอู้งาน

แต่ในใจกลับสะดุ้งเฮือกขึ้นมา

ตั้งแต่เด็ก สุขภาพของจูอวิ่นเทิงดูเหมือนจะไม่ค่อยดีนัก เช่นเดียวกับจูเปียวผู้เป็นบิดา

หลังจากมารดาของเขาสิ้นไป หมอหลวงก็เคยมาตรวจดู สุขภาพดูเหมือนจะยิ่งแย่ลง

เด็กก็โตแล้ว แต่กลับคลุกคลีอยู่กับสาวใช้สองคนทุกวัน

ร่างกายเสื่อมโทรมไปตั้งแต่อายุยังน้อย จะไม่ยิ่งแย่ลงไปอีกหรือ!

ต้องหาหญิงสาวจากตระกูลดีๆ ให้เขาสักคน ทางที่ดีคือต้องเก่งกาจสักหน่อย จะได้ควบคุมดูแลพระราชนัดดาคนนี้ให้ดี

“อวิ่นเทิง ต่อไปนี้เจ้าไม่ต้องมาประชุมเช้าแล้ว” จูหยวนจางหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “หากมีเรื่องอันใด เจ้าก็รอฟังคำสั่งจากเราได้ทุกเมื่อ”

ข่าวที่จูหยวนจางปรึกษาหารือและร่วมรับประทานอาหารเช้ากับทั้งสี่คนในตำหนักหย่างซิน ได้แพร่ออกไปผ่านทางกรมพระเครื่องต้นนานแล้ว

ทั้งในวังและนอกวังต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่

การที่ทรงปรึกษาหารือและร่วมรับประทานอาหารเช้ากับเสนาบดีกรมกลาโหม เสนาบดีกรมคลัง และไคกั๋วกงฉางเซิงนั้นก็ยังพอว่า

แต่พระราชนัดดาองค์ที่สามจูอวิ่นเทิงก็อยู่ที่นั่นตลอดเวลา!

การที่จูอวิ่นเทิงเข้าร่วมประชุมเช้าเป็นการทดสอบอย่างหนึ่ง แล้วเขาก็สอบตกมิใช่หรือ?

หรือว่าฝ่าบาททรงดึงเขาไปพร้อมกับคนอีกสามคนที่ตำหนักหย่างซินเพื่อติวเข้ม ออกข้อสอบให้เป็นการส่วนตัว?

ผู้ที่ได้ข่าวเป็นคนแรกคือจูอวิ่นเหวิน แม้แต่ตำหนักเหวินหัวก็ไม่ไปแล้ว ตรงไปหามารดานางหลี่ว์ทันที

ถึงแม้นางหลี่ว์จะรู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงวิเคราะห์ให้บุตรชายฟังในแง่ดี

“เหตุใดจึงเรียกจูอวิ่นเทิงไปที่ตำหนักหย่างซิน? นั่นก็เพื่อให้ตระกูลฉางตัดใจอย่างสิ้นเชิง!”

“ฝ่าบาทเพียงต้องการให้ฉางเซิงได้เห็นกับตาว่า หลานนอกของเขานั้นเป็นคนโง่เง่าเพียงใด!”

“ที่เรียกเสนาบดีกรมกลาโหมและเสนาบดีกรมคลังไปด้วย ก็เพื่อให้พวกเขาเป็นพยาน”

“อีกอย่าง เหตุใดจึงต้องเรียกไปที่ตำหนักหย่างซินเป็นการส่วนตัว นี่เรียกว่า… เรื่องน่าอายในครอบครัวไม่ควรแพร่งพรายให้คนนอกรู้!”

จูอวิ่นเหวินพลันตาสว่าง มารดาเฉียบแหลมยิ่งนัก!

เหตุใดข้าถึงมองข้ามจุดนี้ไปได้?

ต่อให้จูอวิ่นเทิงจะไร้ประโยชน์เพียงใด ก็ยังเป็นสายเลือดของราชวงศ์!

ระหว่างทางที่จูอวิ่นเหวินไปยังตำหนักเหวินหัว เขาบังเอิญพบกับฉีไท่เสนาบดีกรมกลาโหม

มารดาบอกเขาว่า ฉีไท่เป็นคนที่ไว้ใจได้

หากดูจากอายุแล้ว ฉีไท่สามารถเป็นแขนขวาของเขาในอนาคตได้เลย

ฉีไท่ได้บรรยายสถานการณ์ในที่ประชุมเช้าและในตำหนักหย่างซินตามความเป็นจริง

โดยเฉพาะบทสนทนาระหว่างฝ่าบาทกับจูอวิ่นเทิง แทบจะไม่มีตกหล่นเลยแม้แต่คำเดียว

หลังจากฟังจบ จูอวิ่นเหวินก็รู้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง

เป็นไปตามคาด จูอวิ่นเทิงยังคงโง่เขลาเช่นเดิม

ตนเองถึงกับต้องมาวุ่นวายใจเพราะเขา!

สุดท้ายเสด็จปู่ยังตรัสอีกว่า ต่อไปนี้จูอวิ่นเทิงไม่ต้องมาประชุมเช้าแล้ว

นี่แสดงให้เห็นว่า เสด็จปู่ทรงผิดหวังกับการแสดงออกของจูอวิ่นเทิงในวันนี้แล้ว

ลองมองดูพี่น้องคนอื่นๆ ของตน ผู้ใดเทียบตนเองได้บ้าง?

ตำแหน่งพระนัดดารัชทายาท นอกจากข้าแล้วจะเป็นใครไปได้อีก?

......

เดิมทีจูอวิ่นเทิงคิดจะกลับเรือนโดยตรง แต่ฉางเซิงกลับตื่นเต้นเป็นพิเศษ จะลากเขาไปดื่มฉลองกันที่บ้านให้ได้

ตลอดสี่ปีมานี้ จูอวิ่นเทิงอยู่ในวังไม่เคยรู้สึกถึงความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย

เพิ่งเกิดมา มารดาก็สิ้นไป จูเปียวจึงรู้สึกรังเกียจเขาอยู่ลึกๆ ในใจประมาณหนึ่ง

ส่วนพระชายาหลี่ว์ที่ต้องเรียกว่าท่านแม่ทุกวัน ก็มองเขาเป็นดั่งก้างขวางคอ เป็นหนามยอกอก

เพราะเหตุผลทางสายเลือด พระชายาหลี่ว์จึงมองเขาเป็นอุปสรรคขวางทางของจูอวิ่นเหวินมาโดยตลอด

ไม่ว่าเขาจะโง่เง่าหรือไม่ ท่านลุงทั้งสองฉางเซิงและฉางเซิน กลับดีต่อเขาเป็นพิเศษ

โดยเฉพาะหลังจากที่นางฉางสิ้นไป พระชายาหลี่ว์ก็ได้ขึ้นเป็นชายาเอก กลายเป็นพระชายารัชทายาท

แม้จะรู้ดีว่าเขาไม่มีทางได้เป็นพระนัดดารัชทายาท ฉางเซิงก็ยังซื้อจวนแห่งนี้ให้เขา

หลานอวี้ซึ่งเป็นน้าทวดของเขา ก็มักจะส่งของแปลกๆ ใหม่ๆ มาให้เขาอยู่เสมอ

ครั้งที่ไปรบทางตะวันตกเฉียงเหนือ ได้ยึดลูกม้ามาตัวหนึ่งซึ่งเป็นม้าเหงื่อโลหิต ก็ยังอุตส่าห์ส่งผู้บัญชาการคนหนึ่งนำกลับมาให้เขาโดยเฉพาะ

เรื่องนี้ทำให้จูหยวนจางไม่พอใจอย่างยิ่ง หลานอวี้ทำศึกอยู่แนวหน้า ยังมีแก่ใจทำเรื่องเช่นนี้อีก!

หลังจากที่ยกทัพกลับมา จูหยวนจางยังตำหนิหลานอวี้ในเรื่องนี้

พวกนักรบเหล่านี้ ไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมลึกซึ้งอะไรนัก

ปัจจัยแรกที่พวกเขาคำนึงถึง มักจะเป็นความสัมพันธ์ทางสายเลือด

หลานนอกคนโตของฉางเซิงคือจูสยงอิง นี่คือผู้สืบทอดโดยชอบธรรมของต้าหมิงในอนาคต

น่าเสียดายที่จูสยงอิงเสียชีวิตไปเมื่ออายุได้แปดขวบ

ตระกูลฉางและตระกูลหลานจึงฝากความหวังไว้ที่หลานนอกคนเล็กจูอวิ่นเทิง

เพียงแต่สมองของจูอวิ่นเทิงไม่ค่อยจะดีนัก

นั่งบัลลังก์ไม่ได้ เช่นนั้นก็ให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้นอีกหน่อย

ด้วยเหตุนี้ ตระกูลฉางและตระกูลหลานจึงดีต่อจูอวิ่นเทิงมากขึ้น

พอเข้ามาในโถงด้านหน้าของฉางเซิง หลานโซ่วบุตรชายของหลานอวี้ก็เดินเข้ามาต้อนรับ “อวิ่นเทิง วันนี้เข้าประชุมเช้ามา นั่งสิ รีบเล่าให้ฟังหน่อย”

เมื่อเห็นหลานโซ่ว จูอวิ่นเทิงก็นึกถึงคำว่าเสียใจจนอยากร้องไห้ที่เป็นคำพ้องเสียง

ตามประวัติศาสตร์แล้ว อีกไม่กี่ปีต่อมาคดีของหลานอวี้ก็จะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน หลานอวี้จะถูกประหารเก้าชั่วโคตร

จูอวิ่นเทิงคิดในใจ รอให้หลานอวี้กลับมา จะต้องหาทางหยุดยั้งโศกนาฏกรรมนี้ให้ได้

ฉางเซิงเล่าเรื่องราวในราชสำนักให้ฟังอย่างละเอียด

หลานโซ่วเบิกตากว้าง “หมดแล้ว? มีแค่นี้เองหรือ?”

ฉางเซิงกล่าว “แค่นี้ยังไม่พออีกหรือ? คนที่สามารถเข้าไปในตำหนักหย่างซินของฝ่าบาทได้จะมีสักกี่คน? แล้วคนที่ได้รับประทานอาหารร่วมกับฝ่าบาท จะมีสักกี่คน?”

หลานโซ่วดีใจยิ่งนัก คำตอบของจูอวิ่นเทิงฟังดูไม่โดดเด่น แต่ก็ไม่ได้ผิดพลาด!

แค่นี้ก็พอแล้ว!

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ฝ่าบาททรงยอมให้โอกาสหลานนอกคนนี้ได้แสดงความสามารถ!

นี่คือจุดเริ่มต้นที่ดี!

ก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีโอกาสเลยแม้แต่น้อย

ฉางเซิงพูดถึงเรื่องสงครามทางเหนืออีกครั้ง ฝ่าบาททรงระบุตำแหน่งที่ซ่อนของฮ่องเต้หยวนได้แล้ว

หลานโซ่วเกิดความสนใจขึ้นมาทันที

ในฐานะบุตรชายคนเล็กของหลานอวี้ เขามีความสนใจในสนามรบและการต่อสู้อยู่แล้ว

เพียงแต่ทุกครั้งที่หลานอวี้ออกศึก จะต้องทิ้งเขาไว้ที่บ้าน ทำให้เขาหงุดหงิดใจยิ่งนัก

หลังจากฟังการวิเคราะห์ของฉางเซิง หลานโซ่วก็อดทอดถอนใจไม่ได้ว่า ฝ่าบาทยังคงเก่งกาจไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ

ฉางเซิงมองไปที่จูอวิ่นเทิงอีกครั้ง เห็นเขามีท่าทีสงบนิ่ง ราวกับรู้เรื่องทุกอย่างอยู่แล้ว ก็อดที่จะสับสนไม่ได้

ทุกครั้งฝ่าบาทจะเอ่ยถามจูอวิ่นเทิงก่อน จากนั้นจึงตัดสินใจ

แม้ว่าจูอวิ่นเทิงจะไม่ได้ตอบอะไรที่เป็นรูปธรรม แต่ดูเหมือนว่าทุกครั้งฝ่าบาทจะพอใจอย่างยิ่ง!

ก่อนกลับ ฝ่าบาทยังทรงกำชับเป็นพิเศษว่าอวิ่นเทิงไม่ต้องเข้าประชุมเช้าแล้ว

นี่เป็นเพราะคำนึงถึงสุขภาพของอวิ่นเทิง!

แถมยังกล่าวอีกว่ามีเรื่องเมื่อไรค่อยเรียกหาเขา

จากจุดนี้จะเห็นได้ว่า ฝ่าบาททรงชื่นชมอวิ่นเทิงถึงระดับใด!

ไม่เข้าใจจริงๆ ว่า ฝ่าบาทชื่นชมหลานนอกคนนี้ของตนที่จุดไหนกันแน่

จะเป็นจุดไหนกันนะ บางทีฝ่าบาทอาจจะสายตาเฉียบแหลม และทรงค้นพบแล้ว

แต่ในฐานะท่านลุง กลับยังไม่รู้อะไรเลย

เมื่อพิจารณาจูอวิ่นเทิงอีกครั้ง พลันรู้สึกว่าเจ้าเด็กปัญญาอ่อนคนนี้ดูเหมือนจะมีแววฉลาดขึ้นกว่าแต่ก่อนจริงๆ

เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก อธิบายไม่ได้

คนก็ยังเป็นคนเดิม แต่กลับมีกลิ่นอายของความสงบเยือกเย็นแผ่ออกมาจากภายในสู่ภายนอก

นี่เป็นการค้นพบอย่างฉับพลัน!

ขณะที่กำลังคิดเพลินๆ อยู่นั้น จูอวิ่นเทิงก็เอ่ยขึ้น “ท่านลุง เมื่อวานเสด็จปู่ยังแอบบอกกับข้าเป็นการส่วนตัวว่า เราไม่กังวลว่าหลานอวี้จะทำศึก แต่เรากังวลว่าหลังจากทำศึกเสร็จแล้วเขาจะทำเรื่องโง่ๆ”

ฝ่าบาทกังวลว่าหลานอวี้จะทำเรื่องโง่ๆ ?

ฉางเซิงและหลานโซ่วลุกพรวดขึ้นมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

“ฝ่าบาทตรัสว่าอย่างไร?”

จูอวิ่นเทิงเอ่ยขึ้น “เสด็จปู่ทรงกังวลว่า หลานอวี้จับฮองเฮา สนมและองค์หญิงของฮ่องเต้หยวนได้แล้ว จะอดใจไม่ไหวล่วงเกินพวกนาง”

ฉางเซิงกล่าว “อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ฝ่าบาททรงมองการณ์ได้แม่นยำจริงๆ !”

หลานโซ่วหน้าแดงขึ้นมา “ฝ่าบาทไม่ได้ตรัสถึงผลที่ตามมาหรือ?”

“ฝ่าบาทตรัสว่า หากหลานอวี้กล้าทำเช่นนี้ เราจะตัดของสืบสกุลของเขามาให้สุนัขกิน!”

ทั้งสองคนตกใจ คำพูดนี้ฟังดูเหมือนเป็นคำพูดของฝ่าบาทจริงๆ !

ฉางเซิงเอ่ยขึ้น “รีบเขียนสาส์นลับ ส่งด่วนแปดร้อยลี้!”

หลานโซ่วก็ร้อนใจ “ใช่ ไปหาฉีไท่เสนาบดีกรมกลาโหม! อย่างไรเสียก็เป็นความประสงค์ของฝ่าบาท ส่งไปพร้อมกับราชโองการเลย!”

ในที่สุด จูอวิ่นเทิงก็วางใจแล้ว

เมื่อมีสาส์นลับฉบับนี้ หลานอวี้ที่ได้รับชัยชนะกลับมาคงจะไม่เหิมเกริมเหมือนในประวัติศาสตร์อีก

ในประวัติศาสตร์ เขาไม่เพียงแต่ข่มขืนฮองเฮาของฮ่องเต้หยวน

ตอนที่เขาได้รับชัยชนะกลับมาทางใต้ถึงด่านสี่เฟิง ฟ้าก็มืดแล้ว ทหารเฝ้าด่านเปิดประตูไม่ทัน

เขาก็ปล่อยให้ทหารทำลายด่าน พังประตูเข้าไป

เรื่องนี้ทำให้จูหยวนจางพิโรธอย่างยิ่ง เดิมทีจะแต่งตั้งหลานอวี้เป็นเหลียงกั๋วกงซึ่งคือบรรดาศักดิ์เหลียงที่หมายถึงคาน ก็ทรงตวัดพู่กันเปลี่ยนจากบรรดาศักดิ์เหลียง เป็นเหลียงที่มีความหมายว่าหมดหวังแทน

จากบรรดาศักดิ์เหลียงที่หมายถึงคานไปเป็นเหลียงที่หมายถึงหมดหวัง หลังจากนั้นชีวิตของหลานอวี้ ก็หมดหวังตามคำว่าเหลียงจริงแล้วๆ

ในเมื่อได้กลับมาเกิดใหม่แล้ว แน่นอนว่าจูอวิ่นเทิงจะปล่อยให้ญาติของตนซ้ำรอยเดิมไม่ได้

อาศัยชื่อของจูหยวนจางเพื่อเตือนหลานอวี้ล่วงหน้า เชื่อว่าหลานอวี้คงจะยับยั้งชั่งใจมากขึ้นกระมัง

หลังจากฉางเซิงเขียนเสร็จ ก็ไปหาฉีไท่เสนาบดีกรมกลาโหมพร้อมกับหลานโซ่ว

ฉีไท่รับปากอย่างเต็มที่ว่าจะส่งไปพร้อมกับราชโองการของฝ่าบาท

หลังจากที่ฉางเซิงและหลานโซ่วจากไป ฉีไท่ก็เปิดสาส์นลับออก

“นี่คือความประสงค์ของฝ่าบาท? เหตุใดวันนี้จึงไม่มีรับสั่ง?” ฉีไท่หัวเราะเยาะ แล้ววางสาส์นลับไว้บนชั้นหนังสือ
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 100

    ฉางเซิงได้ฟังก็รู้ว่า ที่แท้เป็นขันทีน้อยที่ฝ่าบาทส่งมาให้จูอวิ่นเทิงเแก้ปัญหาให้เรื่องนี้ ควรบอกให้ฝ่าบาททราบดีหรือไม่?เมื่อตัดสินใจได้ ฉางเซิงก็กราบทูลให้จูหยวนจางทราบก่อนจูหยวนจางคิดดูแล้ว ปัญหาก็ถูกแก้ไขแล้ว และคนที่จัดการก็คือมู่เหยาต้องเป็นหลานสามที่บอกวิธีแก่มู่เหยาแน่ ๆแล้ววิธีนั้นคืออะไรกันแน่ จูหยวนจางสนใจเป็นอย่างมากเสียงในใจของจูอวิ่นเทิงที่สำนักโหราศาสตร์หลวงวันนั้น จูหยวนจางกลับไปแล้วก็คิดทบทวนอยู่นานหากวิชาคณิตศาสตร์แพร่หลาย งานฝีมือ อาวุธ และอื่น ๆ ของต้าหมิงก็จะสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว!โดยเฉพาะอาวุธ ในฐานะฮ่องเต้ผู้มาจากสนามรบ ย่อมรู้ดีถึงความสำคัญของมันแต่ภายใต้การกดดันของพระองค์เอง ฐานะของขุนนางฝ่ายบู๊ก็ลดลง ในขณะที่ขุนนางฝ่ายบุ๋นมีฐานะสูงขึ้นก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เรียกว่า “ทุกสิ่งล้วนต่ำต้อย มีเพียงการศึกษาเท่านั้นที่สูงส่ง”ในฐานะฮ่องเต้ที่ไต่เต้ามาจากชนชั้นล่าง ไม่พอใจอย่างยิ่งต่อพวกฝ่ายบุ๋นที่ทำงานไม่เป็น ได้แต่อวดเก่งในชนบท แม้แต่การปรับปรุงเครื่องมือทางการเกษตรเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตและรายได้ได้ในทันทีดังนั้น จูหยวนจาง

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 99

    “มู่เหยา ที่จริงข้ากำลังปิดบังความสามารถบางอย่างอยู่” จูอวิ่นเทิงย้ำอีกครั้งเพราะเขาไม่เห็นความตกใจในแววตาของมู่เหยาเลยมู่เหยาแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวาน “หม่อมฉันรู้ หม่อมฉันรู้ว่าท่านมีความสามารถ”หืม มู่เหยารู้แล้วหรือ?“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”มู่เหยากล่าวว่า “เพราะหม่อมฉันเชื่อในความ...ความรู้สึกของหม่อมฉัน ท่านต้องมีความสามารถแน่นอน อาจมีเหตุผลเฉพาะบางอย่างที่ไม่บอกคนภายนอกเท่านั้นเอง”จูอวิ่นเทิงจิตใจเบิกบานในทันที ไม่คิดเลยว่ามู่เหยาจะเป็นผู้ที่คลั่งไคล้ตน!อาศัยเพียงความรู้สึก ไม่มีเหตุผลใด ๆ ก็เชื่อว่าตนมีความสามารถแล้วลุงรองก็เป็นแบบนี้ มู่เหยาก็เช่นกันได้ผู้คลั่งไคล้ไม่ลืมหูลืมตาเพิ่มอีกคนแล้วการมีคนอื่นเลื่อมใสศรัทธาโดยไม่มีสาเหตุ ทำให้จิตใจอันทระนงของตนได้รับความพึงพอใจอย่างมาก“ถึงแม้ข้าจะไม่ถนัดเรื่องบุ๋นและไม่เก่งเรื่องบู๊ แต่ข้าก็มีความรู้จิปาถะอยู่บ้าง อย่างเช่นคณิตศาสตร์และเรขาคณิตเป็นต้น”มู่เหยาแอบหัวเราะในใจ สามีในอนาคตของนางยังคงเสแสร้งอยู่ไม่ถนัดเรื่องบุ๋นหรือ? ท่านบดขยี้ฟางเสี้ยวหรูในทุกด้าน ท่านบอกว่าไม่ถนัดเรื่องบุ๋นหรือ?ไม่เก่งเรื่องบู๊? ข้าที่ฝึ

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 98

    สามารถพูดได้ว่า ความปราดเปรื่องของจูอวิ่นเทิงนั้น ไร้ผู้เทียมทานในยุคนี้!หลายปีมานี้ จูอวิ่นเทิงได้ปกปิดพรสวรรค์ของเขามาโดยตลอด!บัดนี้นางเข้าใจในเจตนาของฝ่าบาทแล้วฝ่าบาทตรัสว่าวิธีเอาชนะกองทัพช้างศึกนั้นได้ยินมาจากคำละเมอของจูอวิ่นเทิงตอนนี้มาคิดดูแล้ว สิ่งที่ฝ่าบาทตรัสนั้นเป็นความจริง ไม่ได้โป้ปดเลยแม้แต่น้อย!จะว่าไปแล้วฝ่าบาทก็ไม่มีความจำเป็นต้องโกหกบิดาของตนจูอวิ่นเทิงมีความสามารถ แล้วเหตุใดถึงต้องปกปิดไว้ตลอด?หรือว่าจูอวิ่นเทิงจะมีความลำบากใจอะไรบางอย่าง?จะทูลให้ฝ่าบาททราบดีเรื่องนี้หรือไม่?ฝ่าบาททรงรับปากให้ตนแต่งงานกับจูอวิ่นเทิงจูอวิ่นเทิงคือสามีในอนาคตของนาง จะทำเช่นไรดี?จะให้จูอวิ่นเทิงรู้ไม่ได้ และยิ่งไม่อาจให้ฝ่าบาทรู้ด้วย ตนเองรู้ก็พอแล้วอันที่จริง ภารกิจที่ฝ่าบาทมอบหมายให้คือการฟังเสียงในใจของจูอวิ่นเทิง และสังเกตว่ามีสิ่งแปลกใหม่ใดภายในเรือนหรือไม่การไม่ทูลเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททราบ ก็ไม่ถือว่าเป็นการขัดพระบัญชาเมื่อมู่เหยามองไปยังจูอวิ่นเทิงอีกครั้ง ภาพลักษณ์ก็พลันสูงส่งขึ้นมาทันทีเดิมทีคิดว่าสามีในอนาคตจะเป็นคนปัญญาอ่อนทำอะไรไม่เป็น แต่ใครจะไปร

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 97

    “ฟางฮั่นหลิน ท่านหมายความว่าจะยังคงสอนหนังสือข้าหรือ?”จูอวิ่นเทิงอยากจะลองตรวจดูว่าหนังหน้าของฟางเสี้ยวหรูทำมาจากวัสดุใด ถึงได้หนาเพียงนี้!ไม่ว่าจะเป็นภาษาโบราณหรือบทกวี ฟางเสี้ยวหรูก็ถูกลูกศิษย์บดขยี้ทุกด้าน เขายังมีหน้ามาเป็นอาจารย์ต่ออีกหรือ?ฟางเสี้ยวหรูพยายามควบคุมความอับอายที่แผ่ซ่านอย่างหนักไม่มีทางเลือก การเป็นอาจารย์ส่วนตัวของจูอวิ่นเทิงคือคำสั่งของฝ่าบาท!เดิมทีเขาไม่ได้อยากมาสอนหนังสือ เพียงอยากมาฟังคำละเมอของจูอวิ่นเทิงเท่านั้นหากไม่ได้เป็นอาจารย์ของจูอวิ่นเทิงแล้ว จะชี้แจงให้คนภายนอกฟังอย่างไรดี?หากออกไปบอกว่าความสามารถของจูอวิ่นเทิงเหนือกว่าตนเอง แล้วต่อไปจะอยู่ในแวดวงบัณฑิตและนักกวีได้อย่างไร?และยังมีความเป็นไปได้อีกอย่าง ทุกคนอาจจะคิดว่าตนเองกำลังพูดจาเหลวไหลกระทั่งอาจมองว่าเขากำลังย่ำยีเกียรติตัวเอง เอาใจราชสำนัก!ดังนั้น ตอนนี้ยังไปไม่ได้!“อู๋อ๋อง กระหม่อมได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทให้มาสอนหนังสือ หากอู๋อ๋องไม่ให้กระหม่อมสอนแล้ว ก็ต้องได้รับความยินยอมจากฝ่าบาทเสียก่อน กระหม่อมจะกราบทูลสาเหตุให้ฝ่าบาททราบด้วยตนเอง”“หากฝ่าบาททรงยินยอม กระหม่อมก็จะไป”“แม

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 96

    “อาจารย์ฟาง การคำนวณ เป็นหนึ่งในหกศิลป์ของสุภาพชน แต่ท่านกลับบอกว่ามันเป็นทักษะพิสดารไร้ประโยชน์! ไร้สาระ เหลวไหลสิ้นดี!”“เหมือนพวกพิธีการ ดนตรี หรืออักษร มันเข้าใจง่าย พวกท่านจึงขวนขวายกันนัก! ส่วนวิชาที่ลึกซึ้งอย่างคำนวณ ท่านไม่เข้าใจ ก็เลยหลบเลี่ยง”“หากท่านไม่อยากเรียนวิชาคำนวณก็แล้วไป แต่ท่านไม่ควรดูถูกมัน!”เวลานี้ใบหน้าของฟางเสี้ยวหรูแดงก่ำ ไม่นึกเลยว่าจูอวิ่นเทิงจะปากคอเราะรายถึงเพียงนี้อีกฝ่ายมีเหตุมีผล หากจะโต้แย้ง ก็ไม่รู้จะเริ่มแย้งจากตรงไหน!“ข้าจะถามท่านอีกครั้ง เหตุใดน้ำถึงไหลลงสู่ที่ต่ำ? เหตุใดผิงกั่วถึงตกลงสู่ด้านล่าง?”ฟางเสี้ยวหรูตอบว่า “นี่คือหลักการธรรมชาติ เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว!”“รู้ว่าเป็นเช่นนั้น แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น! พวกท่านไม่ได้ชอบพูดถึงการไขสิ่งของเพื่อรู้แจ้งอยู่ตลอดหรือ? แล้วท่านไขสิ่งใดได้บ้าง? คนอย่างพวกท่านยิ่งศึกษามากเท่าใด ก็ยิ่งเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของราชวงศ์ต้าหมิงมากเท่านั้น!”“รู้ว่าท่านไม่ยอมจำนน สิ่งที่ข้าทำได้ท่านทำไม่ได้ สิ่งที่ท่านทำได้ข้าทำได้ทั้งหมด ถึงตาของท่านแล้ว!”น้ำเสียงช่างโอหังนัก!ฟางเสี้ยวหรูก

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 95

    ฟางเสี้ยวหรูไม่คาดคิดเลยว่าจูอวิ่นเทิงจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันถึงเพียงนี้!ถึงกับพูดว่าจะตั้งใจเรียน ก้าวหน้าขึ้นในทุกวัน!เจิ้งเหอและมู่เหยาจึงถอยออกไปอย่างรู้กาลเทศะไม่นานนัก มู่เหยาก็แอบย่องกลับมา ยืนอยู่ริมหน้าต่างเงียบ ๆภายในห้องหนังสือ จูอวิ่นเทิงกล่าวว่า “อาจารย์ฟาง ความจริงแล้วข้ารู้สึกว่า สิ่งที่ท่านสอนเหล่านั้น ช่างน่าเบื่อจริง ๆ”ฟางเสี้ยวหรูเกิดความขุ่นเคืองเมื่อก่อน จูอวิ่นเทิงเคยหลับในห้องเรียนของเขา ก็ยังพอทนได้!บัดนี้ ฝ่าบาทให้เขามาเป็นอาจารย์ส่วนตัวที่นี่ ก็ยังพอทนได้!ทว่า ตอนนี้จูอวิ่นเทิงกลับกล้าพูดต่อหน้าว่า สิ่งที่เขาสอนนั้นน่าเบื่อ!นี่มันคือการตบหน้ากันซึ่งหน้า ดูหมิ่นกันตรงนั้น!“อู๋อ๋อง ท่านจะดูหมิ่นกระหม่อมก็ไม่เป็นไร แต่จะมาดูหมิ่นปราชญ์ในอดีตไม่ได้ ยิ่งไม่สามารถดูหมิ่นคำสอนของปราชญ์ได้”จูอวิ่นเทิงยิ้ม “คำสอนของปราชญ์ ไหนลองยกตัวอย่างหน่อยสิ?”ฟางเสี้ยวหรูกล่าวว่า “ขงจื๊อกล่าว ในการปกครองประเทศใหญ่ ต้องเคารพหน้าที่และรักษาความสัตย์ มัธยัสถ์และรักผู้คน ให้ประชาชนได้ทำงานตามฤดูกาล”“ขงจื๊อกล่าว คนสามคนเดินด้วยกัน ย่อมมีอาจารย์ของเราสักคน”

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status