เข้าสู่ระบบ
“พี่ชาย พี่นัดข้ามาพบที่นี่ตามลำพัง พี่มีเรื่องสำคัญใดอยากกล่าวกับข้าหรือเจ้าคะ?” อวิ่นซงถิงเอ่ยถามบุรุษหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าเรือนร้างด้านหลังจวน โดยที่นางก้าวเท้าถอยหลังสองก้าว เพื่อเพิ่มระยะห่าง เนื่องจากเมื่อครู่นางเผลอเดินเข้าไปใกล้พี่ชายบุญธรรมมากเกินไป
“เข้าไปพูดกันด้านใน”
“แต่...” อวิ่นซงถิงรู้สึกลังเล ด้วยเพราะเกือบสองปีที่ผ่านมา พี่ชายบุญธรรมผู้นี้พยายามเว้นระยะห่างกับนาง ทว่าอยู่ ๆ ก็ส่งจดหมายเรียกให้มาพบที่นี่ตามลำพัง ถึงแม้ตอนนี้จะอยู่ในช่วงเวลากลางวัน แต่สายตาที่อีกฝ่ายจ้องมองมา...ทำให้นางรู้สึกหวาดหวั่น จนไม่อยากจะก้าวเท้าเข้าไปหา
“หรือเจ้ารังเกียจพี่ชายคนนี้เสียแล้ว นั่นสินะ ข้ามันก็แค่...”
“ข้าไม่เคยรังเกียจพี่ชายเลยนะเจ้าคะ เพียงแต่...” อวิ่นซงถิงรีบเอ่ยแทรก เมื่อเห็นท่าทีคล้ายกับกำลังรู้สึกเจ็บปวดใจของบุรุษหนุ่มตรงหน้า แต่นางกล่าวยังไม่ทันจบ ฝ่ายตรงข้ามก็เอ่ยตัดบทขึ้นมาว่า
“เช่นนั้นก็ตามข้าเข้ามา”
อวิ่นซงถิงเห็นแผ่นหลังกว้างหายเข้าไปในเรือนร้าง แม้ใจหนึ่งไม่อยากจะเดินตาม แต่เมื่อนึกไปถึงสีหน้าเมื่อครู่ของอีกฝ่าย นางก็ตัดสินใจเดินตามบุรุษหนุ่มผู้นั้นเข้าไป
พอเข้าไปในเรือนร้าง อวิ่นซงถิงเห็นบุรุษหนุ่มผู้นั้นเดินเข้าไปในห้องขนาดเล็กด้านในสุดของเรือน อีกฝ่ายนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะกลมกลางห้อง โดยภายในห้องนั้นมีบานหน้าต่างที่เปิดทิ้งเอาไว้หนึ่งบาน มีโต๊ะกลมขนาดเล็กหนึ่งตัว เก้าอี้สองตัว และเตียงไม้ที่มีฟูกกับชุดเครื่องนอนใหม่...?
นางรู้สึกแปลกใจจึงสอดส่ายสายตามองรอบห้องนั้นแบบเร็ว ๆ อีกหนึ่งครั้ง ทุกอย่างภายในห้องดูเก่ามาก เพราะเรือนหลังนี้ถูกทิ้งร้างมานาน มีเพียงเตียงไม้ ฟูกที่นอน และชุดเครื่องนอนเท่านั้นที่ดูใหม่มาก!
อวิ่นซงถิงคิดจะก้าวเท้าถอยหลัง แต่ทว่ายามนี้บุรุษหนุ่มที่เดินนำนางเข้ามาในห้อง ยกมือขึ้นมาปิดหน้า ไหล่ทั้งสองข้างสั่นไหวเบา ๆ ราวกับเจ้าตัวกำลังร้องไห้ จากที่นางจะก้าวเท้าถอยหลังก็กลับกลายเป็นเดินขึ้นหน้า
“พี่ชาย พี่เป็นอะไรหรือเจ้าคะ? อ๊ะ...!”
เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามเดินเข้ามาในจุดที่ตนสามารถเอื้อมคว้าได้ อวิ่นเฟยหยวนจึงรีบยื่นมือไปดึงตัวอวิ่นซงถิงเข้ามากอดทันที จากนั้นเขาก็แนบใบหน้าเข้าไปที่บริเวณหน้าท้องแบบราบของนาง แล้วเริ่มสูดดมกลิ่นกายหอมหวานที่ตนเฝ้าถวิลหา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปสบตา
“อาถิง ช่วงที่ผ่านมาเป็นพี่ชายเองที่หวาดกลัว และโง่เขลา ข้าขอโทษที่เอาแต่หลบหน้าเจ้า ขอโทษที่ทำตัวเฉยชา สร้างระยะห่างระหว่างเราสองคนขึ้นมา แต่ยามนี้ข้ามั่นใจในความรู้สึกของตัวเอง และมั่นใจแล้วว่า สามารถทำให้ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้าเป็นจริง และทำให้มันถูกต้องได้” กล่าวมาถึงตรงนี้ อวิ่นเฟยหยวนก็ลุกขึ้นยืน จากนั้นเขาก้มลงไปมองสตรีในอ้อมแขนที่รีบเบือนหน้าหลบสายตา
เมื่อเห็นเช่นนั้นอวิ่นเฟยหยวนจึงใช้มือข้างหนึ่งเชยคางของอวิ่นซงถิงให้เงยกลับขึ้นมาสบตา จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
“อาถิง ข้ารักเจ้า รักในแบบบุรุษรักสตรี รักเจ้าแบบคนรัก ข้าไม่ได้รักเจ้าแบบน้องสาว”
อวิ่นซงถิงตกตะลึงตั้งแต่ตัวนางถูกดึงเข้าไปกอด แล้วเมื่อได้สบสายตากับบุรุษหนุ่มในระยะที่ใกล้มาก และได้ยินประโยคบอกรักจากผู้ที่นางนับถือเป็นพี่ชาย ยามนี้ร่างกายของนางจึงยังนิ่งค้าง ส่วนความรู้สึกของนาง มันผสมปนเปกันไปหมดแล้ว!
จนเวลาผ่านล่วงเลยไปครู่หนึ่ง อวิ่นซงถิงถึงดึงสติของตนเองกลับมาได้ นางพยายามทำใจให้เย็น จากนั้นก็รีบตอบกลับไปว่า
“พี่ชายเจ้าคะ พี่รักข้าแบบนั้นไม่ได้”
“ทำไมจะรักไม่ได้?”
“เพราะพวกเราเป็นพี่น้องกันเจ้าค่ะ”
อวิ่นเฟยหยวนจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตคู่งาม
“อาถิง เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจว่า เจ้ากับข้าไม่ใช่พี่น้องกัน ระหว่างเราสองคนไม่มีสายสัมพันธ์ทางโลหิตเลยแม้แต่น้อย”
“แต่ที่ผ่านมาข้ามองพี่แบบพี่ชาย และรู้สึกกับพี่ฉันพี่น้องเจ้าค่ะ” กล่าวจบ อวิ่นซงถิงก็รีบผลักอีกฝ่ายออก จากนั้นนางก็หมุนตัว แล้วรีบเดินตรงไปที่ประตูห้อง
ปึ้ง!
บานประตูไม้กระแทกปิด จนเรือนร้างสั่นสะท้านไปทั้งหลัง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า บุรุษที่ยืนอยู่ด้านหลังเป็นผู้ซัดพลังใส่ เพื่อปิดมัน จากนั้นข้อมือของอวิ่นซงถิงก็ถูกกระชาก จนร่างหมุนกลับไปกระแทกกับแผงอกกว้าง รู้ตัวอีกทีร่างกายของนางก็กลับเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของอวิ่นเฟยหยวนแล้ว
“อาถิง ที่ผ่านมาเจ้ามองข้า และรู้สึกกับข้าแบบพี่ชายของเจ้าจริง ๆ หรือ?”
“ข้า...” อวิ่นซงถิงพูดต่อไม่ออก เมื่อถูกบังคับให้มองสบกับสายตาที่คล้ายกับกำลังรู้สึกเจ็บปวดของอวิ่นเฟยหยวน ยามนี้นางรู้สึกราวกับว่า มีค้อนขนาดใหญ่ทุบลงไปยังกำแพงน้ำแข็งที่นางเพียรสร้างขึ้นมา เพื่อปิดกั้นความรู้สึกไม่ถูกไม่ควรที่มันมักจะพยายามแสดงตัวตนออกมา
อวิ่นเฟยหยวนรับรู้ได้ถึงอาการสั่นเบา ๆ จากร่างบาง จากนั้นเขาก็เห็นหยาดน้ำตาค่อย ๆ รินไหลลงมาจากดวงตากลมโตของสตรีในอ้อมแขน เขาจึงยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาช่วยซับน้ำตา แล้วเอ่ยถาม
“ถิงเอ๋อร์ ข้าขอจุมพิตเจ้าได้หรือไม่?”
“พี่ชาย!!”
“ได้หรือไม่คนดี?” อวิ่นเฟยหยวนแม้จะยังไม่แน่ใจเต็มสิบส่วนว่า อวิ่นซงถิงรู้สึกแบบเดียวกันกับเขาหรือไม่ แต่เพราะความใกล้ชิดที่อีกฝ่ายเคยมอบให้ แล้วไหนจะสายตาที่สะท้อนให้เห็นถึงความหวั่นไหว เขาจึงเอ่ยร้องขอจุมพิตจากนาง เพื่อลองใจ
หลังจากจัดการเรื่องรอยแดงบนหน้าผากของบุตรสาว และอดีตบุตรบุญธรรมเสร็จ เผิงจินเยว่จึงสั่งให้เด็กทั้งสองบอกเล่าถึงต้นสายปลายเหตุ เนื่องจากนางเลี้ยงดูอวิ่นซงถิงกับหลิวเฟยหยวนมาเองกับมือ เหตุใดจะไม่รู้ถึงนิสัยใจคอของเด็กสองคนนี้ พอเผิงจินเยว่ได้รับฟังเรื่องราวทุกอย่างจบ ซึ่งมันก็เป็นไปตามคาด...! เผิงจินเยว่หันไปต่อว่า ท่านพ่อตาผู้หวงบุตรสาวก่อนเป็นคนแรก จากนั้นนางก็หันมาต่อว่าบุตรสาว และอดีตบุตรบุญธรรมที่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นตรงหน้า... ซึ่งที่จริงยามนี้เผิงจินเยว่ก็ยังรู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย แม้ในช่วงวัยเยาว์ของหลิวเฟยหยวนกับอวิ่นซงถิงนางจะสังเกตเห็นสายตา ความใกล้ชิด และท่าทีสนิทสนมที่เกินพอดีระหว่างคนทั้งคู่อยู่บ่อยครั้ง แต่เพราะในช่วงเกือบสามปีที่ผ่านมาหลิวเฟยหยวนแสดงท่าทีเฉยชา และเว้นระยะห่างกับบุตรสาวของนางอย่างชัดเจน 
อวิ่นซงถิงตกใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินว่า บิดามารดาของนางเดินทางกลับมาถึงจวนแล้ว แม้ภายในใจจะเริ่มหวาดกลัว แต่จะช้าหรือเร็ว นางก็ย่อมต้องเผชิญหน้ากับพวกท่าน “พี่ชาย เช่นนั้นพี่ไปซ่อนตัวบนเตียงรอข้าก่อนนะเจ้าคะ” “แต่...” ยังไม่ทันที่หลิวเฟยหยวนจะได้เอ่ยตอบรับหรือปฏิเสธ เขาก็เห็นอวิ่นซงถิงลุกเดินไปถึงหน้าประตูห้องพักแล้ว หลิวเฟยหยวนจึงได้แต่รีบเก็บพวกถ้วย และพวกจานเปล่าบนโต๊ะกลมใส่ลงไปในตะกร้า จากนั้นเขาก็นำตะกร้าใบใหญ่ไปวางไว้นอกหน้าต่าง แล้วส่งสัญญาณเรียกอาต้านให้มารับ ก่อนจะพุ่งตัวไปซ่อนบนเตียงนอนตามคำสั่งของร่างบาง เมื่อเห็นบุรุษที่ตนรักซ่อนกายเรียบร้อยแล้ว อวิ่นซงถิงจึงเปิดประตูเรียกเหล่าบ่าวรับใช้เข้ามาเตรียมอาภรณ์ เตรียมของใช้ และยกน้ำเข้ามาให้นางอาบ แล้วนางก็ได้สั่งให้อาเฉียวไปแจ้งผู้เป็นบิดา
อวิ่นซงถิงรู้สึกตัวอีกทีก็เข้าสู่ปลายยามเฉิน (ยามเฉิน เวลา 07:00 -08:59 น.) แล้วที่ตื่นก็เพราะหลิวเฟยหยวนใช้จุมพิตหวานกับฝ่ามือหนาทั้งสองข้างปลุกเร้าจนทำให้นางไม่อาจฝืนข่มตาหลับต่อได้ ซึ่งในค่ำคืนที่ผ่านมา กว่านางจะได้หลับก็เกือบรุ่งสาง หากนับเวลา...ยังไม่ถึงสองชั่วยามเลยด้วยซ้ำ!! อวิ่นซงถิงเงยหน้าขึ้น แล้วจ้องมองหลิวเฟยหยวนตาเขียวปั้ด ขณะที่นางอ้าปากเตรียมจะต่อว่า เสียงตะโกนปลุกจากบ่าวรับใช้คนสนิทของนางก็ดังแทรกเข้ามาในห้องพัก อวิ่นซงถิงตื่นตกใจ นางเตรียมจะลุกออกจากเตียง ด้วยเพราะกลัวว่า เหล่าบ่าวรับใช้คนสนิทจะเปิดประตูห้องพักเข้ามาปรนนิบัติดูแลนางเหมือนในทุก ๆ เช้า แล้วในขณะที่อวิ่นซงถิงจะลุกขึ้นนั่ง วงแขนหนาก็รั้งตัวนางเข้าไปโอบกอด หลิวเฟยหยวนจับปลายคางของนางให้หันกลับไปสบตากับเจ้าตัว จากนั้นก็ขยับเข้ามากระซิบว่า&nb
พอได้ยินคำพูดเช่นนั้นจากบุรุษตรงหน้า อวิ่นซงถิงก็สำนึกได้ว่า เมื่อครู่ตนเพิ่งจะเอ่ยร้องขอชีวิต หลิวเฟยหยวนถึงได้ยอมหยุด แล้วในยามนี้ส่วนลับของนางก็ยังรู้สึกเจ็บ ๆ ชา ๆ แต่ยังไม่ทันจะได้ตอบรับหรือปฏิเสธ จุมพิตอ่อนหวานจากหลิวเฟยหยวนก็ทำเอาอวิ่นซงถิงเคลิบเคลิ้ม จนเกือบจะลืมสิ้นแล้วทุกอย่าง จากนั้นฝ่ามือหนาก็ขยับขึ้นมาเคล้นคลึงทรวงอกของนาง ทั้ง ๆ ที่อยากจะเอ่ยปฏิเสธ แต่ความอ่อนโยน และความอ่อนหวานของบุรุษที่ตนรักกลับมีแรงดึงดูดที่ทำให้อวิ่นซงถิงราวกับตกอยู่ในภวังค์ แล้วทันใดนั้น หลิวเฟยหยวนก็ยกตัวนางขึ้น จากนั้นเจ้าสิ่งใหญ่โตแทรกเข้ามาทีเดียวจนสุด “อึก! พี่ชาย...อื้อ!!” เสียงครางหวานดังขึ้น พร้อมกับดวงหน้างามที่แหงนเชิด ยามนี้มือของสตรีบนร่างจิกลงบนไหล่กว้างของเข
อวิ่นซงถิงนอนหมดแรงอยู่บนเตียง นางไม่เหลือแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะใช้ยกแขนขึ้นด้วยซ้ำ! นางจึงยอมให้บุรุษบ้ากาม และไร้ยางอายอย่างหลิวเฟยหยวนช่วยพาไปอาบน้ำ แต่ผู้ใดจะคิดล่ะว่า... หลิวเฟยหยวนถ่ายทอดพลังภายในลงไปที่ฝ่ามือทั้งสองข้าง แล้วจุ่มลงไปในถังอาบน้ำ พออุณหภูมิน้ำในถังอุ่นกำลังดี เขาก็รีบกลับมาอุ้มอวิ่นซงถิงที่ร่างกายเปลือยเปล่าไปนั่งแช่ตัวในน้ำอุ่นให้ผ่อนคลาย ระหว่างนั้นหลิวเฟยหยวนก็รีบเดินกลับไปเปลี่ยนผ้าปูที่นอน ก่อนจะกลับมาดูแลปรนนิบัติสตรีที่เขารักอาบน้ำ เมื่อหลิวเฟยหยวนเดินกลับเข้ามาหลังฉากกั้น เขาก็เห็นอวิ่นซงถิงรีบขยับตัวนั่งหันหลังให้กัน ซึ่งเขาก็พอจะคาดเดาได้ว่า นางน่าจะกำลังเขินอาย หรือไม่...ก็คงจะไม่กล้ามองมาที่ตัวเขา เนื่องจากยามนี้ร่างกายของเขาก็เปลือยเปล่าไม่ต่างไปจากนาง หลิวเฟยหยวนหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ เมื่อ
“อ๊ะ! ฮึก...!!” สตรีใต้ร่างกรีดร้องผวาขึ้นมาโอบกอดเขาทั้งน้ำตา หลิวเฟยหยวนกดแช่แก่นกายทิ้งค้างเอาไว้อย่างนั้น แล้วไล่จุมพิตหยาดน้ำใสบนดวงหน้างาม จากนั้นเขาก็ก้มลงไปจุมพิตที่ริมฝีปาก พวงแก้มนวลทั้งสองข้าง ก่อนจะซุกไซ้ลงไปที่ลำคอขาวผ่องของร่างบาง อวิ่นซงถิงเริ่มรู้สึกอึดอัด แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บมาก นางจึงไม่กล้าแม้แต่จะขยับแขนและขา ทว่าสิ่งใหญ่โตของหลิวเฟยหยวนก็กระตุกอยู่ในตัวนางไม่หยุด แล้วเมื่ออีกฝ่ายค่อย ๆ ขยับสะโพกเข้าหา แม้จะยังรู้สึกเจ็บ และจุกมาก! แต่ก็เหมือน...นางเหมือนจะเริ่มรู้สึกเสียวซ่าน หลังจากนั้นความกำหนัดก็เริ่มเข้ามาแทนที่ความรู้สึกเจ็บปวดทีละน้อย หลิวเฟยหยวนกัดฟัน เขาพยายามข่มกลั้นความรู้สึกของตัวเองไม่ให้ทำตามใจอยาก เขาค่อย ๆ ขยับตัวเข้าออกอย่างเชื่องช้า แต่ความอุ่นร้อน คับ







