แชร์

บทที่ 2

ผู้เขียน: มาแล้วก็อยู่ต่อเถอะ
เจียงหวนพลันสะดุ้งเล็กน้อย นึกว่าฝ่าบาททรงตื่นรู้และคิดจะเรียกใช้เย่หรงหวาแล้ว แต่เมื่อหันกลับไป เจียงหวนกลับพบว่า ฮั่วหลินกำลังจ้องเขม็งไปยังจานปูที่อยู่เบื้องหน้า

ในฐานะฮ่องเต้ผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองแว่นแคว้น สายพระเนตรที่ฮั่วหลินใช้มองปูในยามนี้ ช่างเต็มไปด้วยความอยากได้อยากครอบครอง ราวกับกำลังละโมบในดินแดนของแคว้นข้างเคียงอย่างไรอย่างนั้น

[ไม่ได้กินปูมานานแล้ว หวังเต๋อกุ้ยนี่ไม่มีไหวพริบเอาเสียเลย แกะปูให้เรากินสักตัวไม่ได้หรือไร?]

หวังเต๋อกุ้ยเป็นหัวหน้าขันทีที่รับใช้ฮั่วหลินมานานหลายปี กิจวัตรประจำวันและเรื่องอาหารการกินล้วนผ่านมือเขามาทั้งสิ้น เจียงหวนเห็นสายพระเนตรอันขุ่นเคืองของฮั่วหลินแล้ว ก็ได้แต่ถอนหายใจในใจว่าฝ่าบาทช่างน่าสงสารเสียจริง

เป็นถึงฮ่องเต้แต่กลับถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา จะให้ลงมือแทะปูเองต่อหน้าธารกำนัลก็ทำไม่ได้ การเป็นฮ่องเต้แบบนี้ช่างน่าอึดอัดเสียจริง

“การร่ายรำของน้องหญิงเย่ก็น่าสนใจอยู่หรอก แต่เครื่องแต่งกายกลับเปิดเผยเกินไป ช่างไม่รู้จักกาลเทศะเอาเสียเลย”

หลังจากการร่ายรำจบลง เจียกุ้ยเฟยก็เป็นคนแรกที่ตำหนิการร่ายรำของเย่หรงหวา ตอนนี้ทุกคนต่างแย่งชิงกันเพื่อจะได้เป็นสนมคนแรกที่ได้ถวายตัว ต่อให้ปกติจะแสร้งทำเป็นพี่น้องรักใคร่กันเพียงใด แต่เมื่อถึงยามนี้ ก็ต้องห้ำหั่นกันจนหัวร้างข้างแตก

เจียกุ้ยเฟยคว้าแขนของฮั่วหลินไว้แน่น ไม่ยอมให้สายพระเนตรของพระองค์จับจ้องอยู่ที่ร่างของเย่หรงหวานานเกินไป

“คืนนี้ฝ่าบาทยังไม่ค่อยได้เสวยอะไรเลย ผักบุ้งนี้รสชาติดีเพคะ ฝ่าบาทรีบชิมเถิด”

ขณะพูด เจียกุ้ยเฟยก็คีบผักสองสามเส้นลงในจานของฮั่วหลิน เครื่องเสวยในวังมักจะมีรสชาติจืดชืด โดยเฉพาะเมื่อถวายแด่ฮ่องเต้ เพื่อไม่ให้จิตใจว้าวุ่น อาหารมันเลี่ยนจึงไม่เคยถูกยกขึ้นโต๊ะเสวยเลย

[เราไม่อยากกินผัก! ตอนนี้พอเห็นอะไรสีเขียว ๆ แล้วปวดหัวไปหมด เราเป็นถึงฮ่องเต้ผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองแว่นแคว้น จะไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะกินเนื้อสัตว์เลยหรือไร?]

[แล้วปูที่ยกมาในเทศกาลไหว้พระจันทร์นี่เป็นแค่ของประดับหรือไร?]

[ปูของเราล่ะ?]

ฮั่วหลินเหลือบพระเนตรไปอีกครั้ง ก็ทรงเห็นว่าปูในจานหายไปสองสามตัว ในวินาทีต่อมา มือเรียวขาวผ่องข้างหนึ่งก็ยื่นเข้ามา

เนื้อปูสีขาวราวหิมะกับมันปูสีส้มแดงถูกแกะออกมาอย่างหมดจด บรรจุรวมกันไว้ในกระดองปู กลิ่นหอมของเนื้อปูที่ยังอุ่น ๆ นั้นช่างเย้ายวน เจียงหวนเองก็ออกแรงไปไม่น้อยกว่าจะใช้เครื่องมือสำหรับแกะปูทั้งแปดชิ้นเลาะเนื้อออกมาได้อย่างหมดจด

ถ้าเป็นนางน่ะหรือ? คงใช้ปากแทะไปแล้ว!

“เชิญฝ่าบาทเสวยเพคะ”

เจียงหวนยื่นกระดองปูไปเบื้องหน้าด้วยความนอบน้อม สีหน้าและแววตาแสดงความเคารพ ไม่มีความประจบประแจงแม้แต่น้อย

นางไม่ได้มีความคิดที่จะแย่งชิงความโปรดปรานเหมือนคนอื่น ทำไปก็เพียงเพราะได้ยินเสียงในใจของฮั่วหลิน แล้วรู้สึกว่าเขาน่าสงสารอยู่บ้าง

นอกเหนือจากนั้น ก็แอบหวังว่าหากฝ่าบาททรงอารมณ์ดีขึ้นมา จะทรงย้ายนางออกจากตำหนักจิ่นหวาได้หรือไม่ อย่าให้นางต้องทนถูกอวี๋ผินกลั่นแกล้งอยู่ทุกวัน?

[หวังเต๋อกุ้ย เสียแรงที่เจ้าอยู่กับเรามานานหลายปี สายตายังไม่เฉียบแหลมเท่าสนมขั้นเสวี่ยนซื่อคนหนึ่งเลย!]

[ยังไม่รีบแกะเพิ่มอีก แค่ตัวเดียวจะพอให้เรากินได้อย่างไร?]

เจียงหวนได้ยินเสียงในใจของเขาอย่างชัดเจน แต่ขณะที่รับกระดองปูไปนั้น ฮั่วหลินยังคงมีสีพระพักตร์เรียบเฉย พระพักตร์อันคมคายนั้นไม่แสดงอารมณ์ยินดียินร้ายใด ๆ ทรงคีบเนื้อปูขึ้นเสวยด้วยท่าทีสง่างามเชื่องช้า ไม่มีความกระตือรือร้นเหมือนเสียงในพระทัยเลยแม้แต่น้อย

“ตั้งใจประจบประแจง ช่างไร้ยางอายสิ้นดี!”

เจียกุ้ยเฟยเห็นว่าผักบุ้งที่ตนคีบให้ถูกเมิน ก็โกรธจนกัดฟันกรอด ปกติแล้วฝ่าบาททรงโปรดเสวยผักมิใช่หรือ ไม่รู้ว่าเจียงหวนใช้วิธีมารยาใดยั่วยวนกันแน่!

เจียงหวนไม่ได้พูดอะไร และเริ่มลงมือแกะปูที่เหลือให้ฮั่วหลินต่อ

อย่างไรเสีย ด้วยฐานะของนาง ของแบบนี้ก็คงไม่ตกถึงท้องนางอยู่แล้ว รอจนงานเลี้ยงเลิก ค่อยแอบดูดนิ้วตัวเองก็ยังดีกว่ามองตาปริบ ๆ

ฮั่วหลินเสวยช้ามาก

ช่วงเวลาที่พระองค์เสวยปูหนึ่งตัว เจียงหวนก็แกะเสร็จไปอีกสามตัวแล้ว

เสวยช้าขนาดนี้ ใครจะไปดูออกว่าทรงโปรดกันเล่า? มิน่าล่ะผู้ดูแลหวังถึงไม่แกะปูให้เขา!

ตอนที่ฮั่วหลินกำลังจะหยิบปูตัวที่สอง หวังเต๋อกุ้ยก็พลันเหมือนเพิ่งได้สติ รีบก้าวเข้ามาห้ามปราม

“ฝ่าบาท ปูมีฤทธิ์เย็น ไม่ควรเสวยมากนะพ่ะย่ะค่ะ!”

เพียงประโยคเดียว ฮั่วหลินก็ชักพระหัตถ์กลับทันที ไม่ทรงชายพระเนตรแลปูอีกเลย เจียงหวนก้มหน้าลงนวดนิ้วที่เริ่มแดงบวมของตนเอง ขณะที่ในหัวก็แทบจะระเบิดอีกครั้ง

[ไม่ช้าก็เร็วเราจะสั่งตัดหัวหวังเต๋อกุ้ย! เป็นฮ่องเต้จะให้คนอื่นเดาความชอบไม่ชอบออกไม่ได้ก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะปล่อยให้เราหิวท้องกิ่วได้นี่!]

[เจียงเสวี่ยนซื่อแกะปูไว้ตั้งสามตัวแล้ว อีกเดี๋ยวไม่รู้ว่าจะไปตกอยู่ในท้องของใครกัน]

เฮ้อ น่าสงสารนางที่อุตส่าห์แกะปูมาตั้งนาน ถูกหวังเต๋อกุ้ยพูดประโยคเดียวก็จบสิ้นแล้ว

แล้วเรื่องที่นางจะขอย้ายตำหนักยังจะพอมีหวังอยู่บ้างหรือไม่?

งานเลี้ยงใกล้จะสิ้นสุดลง และใกล้จะถึงยามค่ำแล้ว เจียงหวนง่วงจนลืมตาไม่ขึ้น ได้แต่กำชายแขนเสื้อของตัวเองไว้แน่น เมื่อครู่ตอนที่ไม่มีใครสังเกต นางแอบยัดปูทั้งสามตัวเข้าไปในแขนเสื้อเรียบร้อยแล้ว

ทะลุมิติเข้ามาในนิยายสามเดือนแล้ว วันนี้พอกลับตำหนักไป ในที่สุดก็จะได้กินของดี ๆ เสียที!

“ฝ่าบาท ไทเฮามีรับสั่งว่า คืนนี้พระองค์ต้องทรงพลิกป้ายเลือกสนมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ขันทีจากกรมวังฝ่ายในถือถาดไม้เข้ามา บนถาดเรียงรายไปด้วยป้ายชื่อสีเขียวกว่าสิบยี่สิบป้าย ฮั่วหลินครองบัลลังก์มาสามปี นอกจากญาติพี่น้องที่เหล่าขุนนางใหญ่ในราชสำนักส่งเข้ามาแล้ว ยังมีการคัดเลือกสนมอีกหนึ่งครั้ง วังหลังจึงนับว่าเต็มไปด้วยสนม

แต่ฮั่วหลินกลับอ้างว่าเพิ่งขึ้นครองบัลลังก์ ฐานอำนาจยังไม่มั่นคง จึงบรรทมอยู่ที่ห้องทรงพระอักษรตลอดทั้งวัน ทำให้ไม่มีสนมคนใดเคยเห็นว่าชุดบรรทมของฮั่วหลินหน้าตาเป็นอย่างไร

แม้ว่าไทเฮาจะไม่ใช่พระราชมารดาแท้ ๆ แต่ก็ทรงเป็นห่วงเรื่องการสืบราชสมบัติเพื่อความมั่นคงของแผ่นดิน คืนนี้จึงทรงนำเรื่องการเลือกป้ายชื่อสนมมาพูดกันอย่างเปิดเผย

“ค่อยว่ากันทีหลัง กลับตำหนัก!”

ฮั่วหลินทรงแสดงสีพระพักตร์รำคาญอย่างชัดเจน ทรงลุกขึ้นสะบัดฉลองพระองค์แล้วเสด็จจากไปทันที เหล่าสนมที่เมื่อครู่ยังคงตั้งตารอคอยว่าจะถูกเลือกป้าย ต่างก็หน้าซีดเผือดลงทันที เต็มไปด้วยความผิดหวัง

พวกนางล้วนถูกเลือกเข้าวังมาตั้งแต่อายุยังน้อย แม้จะได้ยศศักดิ์และความร่ำรวย แต่จะให้ทนเป็นแม่ม่ายทั้งที่ยังมีชีวิตได้อย่างไรกัน?

“เสี่ยวเจา มานวดเอวให้ข้าหน่อย เมื่อยจะตายอยู่แล้ว!”

ทันทีที่กลับมาถึงตำหนักฝั่งตะวันตกของตนเอง เจียงหวนก็ร้องเรียกสาวใช้ที่ติดตามนางมาพร้อมกับสินสมรสให้มารับใช้ทันที เสี่ยวเจาเป็นสาวใช้ที่เจ้าของร่างเดิมพามาจากบ้านที่เจียงหนาน แม้จะไม่ฉลาดหลักแหลม แต่ก็มีความภักดีอย่างยิ่ง

“มาแล้วเจ้าค่ะ เหตุใดนายหญิงน้อยถึงได้เหนื่อยเช่นนี้เจ้าคะ”

ตำแหน่งของเจียงหวนนั้นต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เรียกได้ว่าต่ำเป็นอันดับสองจากท้ายสุด คืนนี้ไปร่วมงานเลี้ยงในวังจึงไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะพาสาวใช้ไปด้วย เสี่ยวเจาจึงไม่รู้เรื่องที่นางต้องนั่งอยู่ข้างกายฝ่าบาทนานนับชั่วยาม โดยไม่กล้าขยับเขยื้อน

แต่ยังไม่ทันที่มือของเสี่ยวเจาจะได้แตะลงบนตัวของเจียงหวน ประตูตำหนักก็ถูกใครบางคนถีบเปิดออก

“เจียงเสวี่ยนซื่อ อวี๋ผินมีรับสั่งให้ไปเข้าพบ!”

ผู้ที่มาคือชุ่ยอิง นางกำนัลคนสนิทของอวี๋ผิน นางเชิดหน้ามองเจียงหวนอย่างหยิ่งผยอง ราวกับว่านางต่างหากที่เป็นนายหญิง

เสี่ยวเจาโกรธจนกระทืบเท้า “นี่เป็นตำหนักบรรทมของนายหญิง เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้บุกเข้ามาตามใจชอบ!”

เจียงหวนเบ้ปาก ดึงเสี่ยวเจามาหลบอยู่ข้างหลังตน นางดูละครวังหลังมามากพอแล้ว ย่อมรู้ดีว่าสนมตำแหน่งต่ำที่ไม่เป็นที่โปรดปราน ในสายตาของข้ารับใช้ก็ไม่นับว่าเป็นเจ้านายด้วยซ้ำ

นางเดาได้ว่าอวี๋ผินเรียกนางไปย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่ ก็คงเป็นเพราะเรื่องที่นางได้นั่งข้างกายฮั่วหลินในงานเลี้ยงคืนนี้นั่นแหละ

หนึ่งเค่อต่อมา เจียงหวนก็ต้องคุกเข่าลงบนพรมในตำหนักใหญ่ของตำหนักจิ่นหวา โชคดีที่มีพรมรองอยู่ หัวเข่าจึงไม่เจ็บมากนัก

“เจียงเสวี่ยนซื่อ เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้เจ้าทำผิดอะไร?”

อวี๋ผินนั่งอยู่บนตำแหน่งประธาน มองเจียงหวนที่แม้จะแต่งกายเรียบง่าย แต่ก็ไม่อาจปิดบังความงดงามน่ามองนั้นได้ด้วยสายตาดูแคลน นางอุตส่าห์ตัดงบค่าใช้จ่ายของเจียงหวนไปกว่าครึ่ง ทั้งปิ่นปักผมและเสื้อผ้าล้วนเรียบง่ายถึงเพียงนี้ แล้วเหตุใดฝ่าบาทยังทอดพระเนตรเห็นและเรียกไปนั่งข้างกายได้อีก?

ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห!

“หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ ขออวี๋ผินโปรดชี้แนะ”

อวี๋ผินแค่นเสียงเย็น “เจ้าผิดที่คิดแย่งชิงความโปรดปราน ประจบประแจงเบื้องสูง ไม่รู้จักเจียมตน!”

เจียงหวนแสดงท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนตามแบบฉบับของลูกจ้างที่ดี “อวี๋ผินสั่งสอนได้ถูกต้องแล้วเพคะ”

แต่ในใจนางไม่ยอมรับ นางแค่ถวายบัวลอยถ้วยเดียว แกะปูให้ไม่กี่ตัว กลายเป็นแย่งชิงความโปรดปรานไปได้อย่างไร? พวกนางไม่มีไหวพริบเอง ไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงหิว พอมีคนส่งของกินให้กลับหาว่าขวางหูขวางตาพวกนางอย่างนั้นหรือ?

“ในเมื่อเจ้ารู้ตัวว่าผิด เช่นนั้นก็จงออกไปคุกเข่าสำนึกผิดที่นอกตำหนักทั้งคืน!”

ทั้งคืนเลยหรือ?!

เจียงหวนไม่เต็มใจนัก แต่ก็ทำได้เพียงทำหน้าสลดรับคำ นางจะต้องหาโอกาสย้ายออกจากตำหนักจิ่นหวาให้ได้!

แต่ยังไม่ทันที่เจียงหวนจะได้ลุกขึ้นไปคุกเข่ารับโทษนอกตำหนัก ขันทีจากกรมวังฝ่ายในก็รีบร้อนวิ่งเข้ามา

“นายหญิงน้อยเจียงมิได้อยู่ที่ตำหนักตนเอง เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ของอวี๋ผินได้เล่า ทำเอาบ่าวตามหาเสียให้วุ่น ขอแสดงความยินดีกับนายหญิงน้อยด้วย คืนนี้ฝ่าบาทมีรับสั่งให้นายหญิงน้อยถวายตัวพ่ะย่ะค่ะ!”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 191

    “สกปรกแล้ว” น้ำเสียงพลันแหบแห้งการเคลื่อนไหวของอายีน่าถึงกับหยุดชะงักไปในทันที ราวกับถูกน้ำร้อนลวกมือ ก่อนจะรีบชักมือกลับมาทันควัน แก้มทั้งสองข้างพลันแดงก่ำขึ้นมาโดยมิอาจควบคุมได้“ก็แค่อาภรณ์ชุดหนึ่งเท่านั้น...”อายีน่าเบือนหน้าหนี ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ทว่า หัวใจกลับเต้นรัวราวกับเสียงกลองที่ดังกระทบแก้วหูฮั่วอวิ๋นสิงเพียงส่งหัวเราะออกมาเบา ๆ หากแต่เขาเคลื่อนตัวไปโดนบาดแผลเข้าทำเอาเจ็บเสียจนสะดุ้งเฮือกออกมา“จิ๊ ๆ... เจ้าหน้าแดงหรือ?”“ใคร... ผู้ใดหน้าแดงกัน เป็นเพราะแดดส่องลงมาต่างหาก!”ท่าทางของอายีน่าคล้ายกับลูกแมวถูกเหยียบหางก็ปาน พลางลุกขึ้นมาด้วยความเร็วไว ก่อนจะกรูถอยหลังไปสองก้าว“เจ้า... เจ้าใส่ยาเอาเองเถิด ข้าไปล่ะ”อายีน่าพลันหยิบตลับยายัดใส่เข้าไปในมือของฮั่วอวิ๋นสิง ก่อนจะพาสาวใช้อีกสองคนวิ่งหนีไปอย่างสุดชีวิตยามที่นั่งรถม้ากลับวังหลวงนั้น หัวใจของอายีน่าที่เต้นระรัวก็คล้ายกับว่าจะค่อย ๆ สงบลงม่านรถม้าที่กั้นเสียงความวุ่นวายจากภายนอกเอาไว้นั้น หลงเหลือเอาไว้แต่เพียงเสียงลมหายใจของอายีน่าที่หอบหืด พร้อมทั้งกลิ่นคาวเลือดที่ติดอยู่บนแขนเสื้อนา

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 190

    ฮั่วอวิ๋นสิงส่งเสียงร้องในลำคอ รอยแผลอาบเลือดพลันปรากฏบนขมับเลือดสีแดงสดทะลักออกมา ไหลอาบไปตามแนวแก้มราวกับห้วงเวลาได้หยุดนิ่งลง ณ วินาทีนี้ เสียงคำรามด่าทอมากมายเงียบหายไปทันทีผู้ติดตามสองคนของฮั่วอวิ๋นสิงรีบชักกระบี่ออกมาทันที พวกเขายืนคุ้มกันอยู่ด้านหน้าฮั่วอวิ๋นสิง พร้อมกับตะโกนเสียงกร้าว“พวกอันธพาลสามหาว ท่านนี้คือเซียวเหยาอ๋องของต้าเหลียงเรา พวกเจ้ากล้าทำร้ายท่านอ๋อง ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่?”เหล่าผู้ลี้ภัยตื่นตะลึงเมื่อได้ยินว่าฮั่วอวิ๋นสิงเป็นท่านอ๋อง พวกเขาเริ่มร่นถอยกลับไป ชายฉกรรจ์ที่เป็นผู้นำตกใจจนหน้าซีด รีบคุกเข่าลงไปทันทีแต่ทว่า อายีน่าไม่มีเวลาสนใจเรื่องเหล่านี้โลกทั้งใบของนางราวกับเหลือเพียงแผ่นหลังของคนที่ยืนบังอยู่ตรงหน้านาง และเลือดสีแดงสดที่ไหลอาบขมับเขาเท่านั้นเลือดสีแดงสดนั่น ช่างบาดตานางเหลือเกินหัวใจของอายีน่าราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบรัดไว้แน่น รู้สึกปวดแปลบไปหมด“ฮั่วอวิ๋นสิง!”เสียงของนางทั้งสั่นเทาและแตกตื่นโดยที่แม้แต่นางก็ยังไม่รู้ตัว นางยกแขนเสื้อของตนขึ้นปิดมาแผลที่ขมับของเขาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย“ท่านเป็นเช่นไรบ้าง? เจ็บห

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 189

    “โอ๊ย” ขอทานน้อยล้มลงไปบนพื้น ถ้วยเก่าๆ ในมือกลิ้งไปอีกทางอายีน่ายันกิ่งไม้ด้านข้างโดยสัญชาตญาณ จึงค่อยหยัดยืนได้อย่างมั่นคงเหตุการณ์นี้มิได้เอิกเกริกมากนัก ทว่ากลับเสียงดังมากพอที่จะทำให้กลุ่มคนหน้าวัดแตกตื่นฮั่วอวิ๋นสิงเงยหน้ามองมา สายตาคมปราบ เขามองเห็นเงาร่างอันคุ้นเคยที่อยู่หลังต้นไม้ใหญ่ได้ในพริบตาสายตาสองคู่สบประสานกันอายีน่ามีสีหน้าแตกตื่นลนลาน ฮั่วอวิ๋นสิงตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ไม่นานดวงตาดอกท้อก็มีรอยยิ้มเบ่งบานขึ้นมาเขาตักข้าวต้มให้ผู้ลี้ภัยที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะวางตะหลิวและเดินตรงมาทางอายีน่า“โอ้ นี่มิใช่…”ฮั่วอวิ๋นสิงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า จงใจลากเสียงยาวๆ สายตามองวนเวียนอยู่ที่การแต่งกายด้วยอาภรณ์ธรรมดาของอายีน่าหนึ่งรอบ“คุณหนูน้อยจากตระกูลใดกัน หลงทางมาหรือ?”อายีน่ารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว นางฝืนทำเป็นเชิดคางขึ้น“ขะ… ข้าออกมาเดินเล่น มิได้หรือ? กลับเป็นท่านอ๋อง ไม่อยู่ท่องกลอนวาดรูปฟังดนตรีอยู่ในจวน วิ่งมาทำตัวเป็นพ่อครัวอยู่หน้าวัดร้างเช่นนี้ หาดูได้ยากยิ่ง”ฮั่วอวิ๋นสิงไม่โกรธ กลับยิ้มอย่างใจกว้าง“ข้าออกท่องเที่ยวไปทั่วทุกหนแห่ง จะออกมาสำรวจความเป็นอ

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 188

    พยับเมฆจากเหตุสงครามทางทิศใต้มิพียงแต่แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งราชสำนัก แต่ยังค่อยๆ ลุกลามไปถึงเมืองหลวงด้วยข่าวที่พ่ายสงครามโบยบินไปสู่ครัวเรือนของราษฎรราวกับติดปีก ปลุกปั่นจิตใจผู้คนให้อกสั่นขวัญหายสิ่งที่ตามมาก็คือ มีผู้ลี้ภัยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คนเหล่านั้นสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง พาคนในครอบครัวมาด้วย พวกเขาหลบหนีมาจากอำเภอข้างเคียงที่ถูกเพลิงสงครามแผดเผา บ้างก็มารวมตัวกันที่นอกเมืองหลวง บ้างก็รวมตัวอยู่ในวัดร้างที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงประตูเมืองอายีน่าถูกขังไว้ในเมืองหลวง เส้นทางกลับแคว้นถูกตัดขาดเพราะเพลิงสงคราม ข่าวสารจากทางราชวงศ์โม่เป่ยก็น้อยลงทุกวัน เนื้อความในจดหมายล้วนบอกให้นางลี้ภัยและรออย่างสบายใจอยู่ที่นี่ไปก่อนชีวิตในวังแม้สุขสบายไร้กังวล ทว่าก็ไม่ต่างจากกรงทองคำที่ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดใจครั้นยามบ่ายคล้อยของวันนี้ผ่านไป ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหว เปลี่ยนไปใส่อาภรณ์รัดรูปสีพื้นที่ไม่สะดุดตา พาหญิงรับใช้โม่เป่ยที่แต่งกายแบบเดียวกันออกจากวังไปด้วยสองคน ตั้งใจว่าจะออกไปสูดอากาศที่ตลาดทัศนียภาพนอกเมืองแตกต่างจากในเมืองซึ่งเป็นระเบียบเรียบร้อยค่อนข้างมากถนนหนทางสกปรกไม่เป็นร

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 187

    “พระสนมโปรดระงับโทสะ บ่าวสืบรู้มาเช่นนี้จริงๆ นะเพคะ เมื่อคืนการหารือในห้องทรงพระอักษรถึงดึกดื่น มีเพียงแม่ทัพหลินและฝ่าบาท ฝ่าบาทมิได้สั่งให้ผู้ใดอยู่ปรนนิบัติจริงๆ เพคะ”“มิได้สั่งให้ผู้ใดอยู่ปรนนิบัติ?” เจียกุ้ยเฟยเอ่ยย้ำคำพูดนี้ด้วยน้ำเสียงรอดไรฟัน แฝงไว้ด้วยแววเย้ยหยันและไม่เชื่อ “เช่นนั้นเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาทในท้องพระโรงช่วงเช้า?”หลานเวยตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง นางก้มหัวต่ำกว่าเดิม“บ่าวยังสืบรู้มาอีกว่าวันนี้ตอนที่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ท่านผู้นั้นจากตำหนักเว่ยยางได้ถือกล่องอาหารไปรอที่หน้าห้องทรงพระอักษรด้วยตนเอง รอจนกระทั่งแม่ทัพหลินกลับไป”แววตาของเจียกุ้ยเฟยแปรเปลี่ยนเป็นมืดมนน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม ราวกับเข็มอาบยาพิษเสียงของหลานเวยสั่นจนแทบพูดไม่เป็นคำ “นางมิได้เข้าไป เป็นหวังกงกงถือกล่องอาหารเข้าไป จากนั้น… จากนั้นฝ่าบาทก็ทรงเสวยมื้อเช้า ยามประชุมช่วงเช้าในท้องพระโรงจึงได้… จึงได้…”นางมิกล้าพูดคำนั้นออกมาจริงๆ“จึงได้อารมณ์เบิกบานยิ่งนัก! ใช่หรือไม่?”เสียงของเจียกุ้ยเฟยแหลมจนแหบแห้ง นางลุกพรวดขึ้นยืน เล็บมือที่ทาน้ำยาทาเล็บสีแดงสดกำขอบโต๊ะเครื่องแป้งไว้แน่น กระดูกข้อต่

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 186

    การประชุมช่วงเช้าจบลงอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางความสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเหล่าขุนนางเดินเรียงแถวออกจากท้องพระโรง ใบหน้าแสดงออกถึงความโชคดีราวกับเพิ่งรอดพ้นจากความตายมาได้ ขณะเดียวก็ยังมีความสงสัยที่มิอาจไขข้อข้องใจได้พวกเขากระซิบกระซาบกันถึงเรื่องสีหน้าท่าทางที่แตกต่างจากเดิมของฝ่าบาทในวันนี้ฮั่วหลินมิได้สนใจเสียงกระซิบกระซาบของเหล่าขุนนาง เขาก้าวเท้าออกจากตำหนักจินหลวน เตรียมจะกลับไปสะสางราชกิจที่คั่งค้างในห้องทรงพระอักษรต่อ ทว่าเสียงที่แฝงไว้ด้วยความยียวนอย่างชัดเจนเสียงหนึ่งกลับดังมาจากด้านหลัง“แหม วันนี้พระพักตร์ฝ่าบาทมีสง่าราศีอย่างมากเชียวนะ หรือว่าทรงได้ยาวิเศษใดมาถนอมพระวรกายงั้นหรือพะย่ะค่ะ?”ผู้พูดก็คือฮั่วอวิ๋นสิง เขาแต่งกายด้วยชุดราชการประจำตำแหน่งชินอ๋อง[1] มือโบกพัดพับกระดูกหยกไปมา พลางจ้องพิจารณาฮั่วหลินตั้งแต่หัวจรดเท้า รอยยิ้มเย้าแหย่ฮั่วหลินได้ยินเช่นนั้นฝีเท้าก็ชะงักหยุด ตวัดแววตาเย็นชามองไปที่เขา“เสด็จอาว่างมากหรือ?” น้ำเสียงไม่สูง แต่กลับแสดงถึงบารมีของฮ่องเต้ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งสามารถทำให้ขุนนางที่ยังเดินไปได้ไม่ไกลมากนักต่างก็หดคอ และรีบเร่งฝีเท

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status