แชร์

บทที่ 9

ผู้เขียน: มาแล้วก็อยู่ต่อเถอะ
เสี่ยวเจาเบิกตากว้างทันที แม้แต่แป้งทอดไส้เนื้อในมือก็ไม่สนใจที่จะกินต่อ

“นายหญิงน้อยมีวิธีหรือเพคะ?”

เจียงหวนขยิบตาให้เสี่ยวเจา ยิ้มอย่างมีความหมายลึกซึ้งพลางเอ่ยขึ้น “ในวังมีคนตั้งมากมาย ใครบอกว่าเรื่องการจัดซื้อวัตถุดิบจะต้องให้พวกเราออกหน้าเองกันเล่า”

เสี่ยวเจาเข้าใจความหมายในคำพูดของเจียงหวนทันที “นายหญิงน้อยหมายความว่าจะหาคนมาช่วยพวกเราซื้อหรือเพคะ?”

เมื่อคิดว่าในอนาคตจะได้กินอาหารฝีมือของเจียงหวนอีก เสี่ยวเจาก็ดีใจขึ้นมาทันที แต่ดีใจได้ไม่ถึงหนึ่งวินาที บนใบหน้าของนางก็กลับเต็มไปด้วยความกังวลอีกครั้ง

“แต่ว่าใครจะยอมช่วยพวกเรากันล่ะ?”

นายหญิงหลายคนในวังหลังชอบรังแกนายหญิงน้อยของนางที่สุด ทำให้บรรดาข้ารับใช้ในตำหนักต่าง ๆ ก็พลอยไม่ให้เกียรตินายหญิงน้อยไปด้วย

เจียงหวนมองแวบเดียวก็เข้าใจความกังวลในใจของเสี่ยวเจา จึงค่อย ๆ ชี้แนะ

“ในวังนี้ ที่ไหนมีวัตถุดิบเยอะที่สุดกันนะ?”

เสี่ยวเจาตาสว่างทันที “ห้องเครื่องเพคะ!”

ห้องเครื่องรับผิดชอบพระกระยาหารของฮ่องเต้ สนมในวังหลังยากที่จะเข้าไปแทรกแซงได้

แต่พวกนางประการแรกคือไม่มีญาติพี่น้อง สองคือไม่ได้รับความโปรดปราน จะเอาอะไรไปติดสินบนคนอื่นเขา?

เสี่ยวเจารู้สึกกลัดกลุ้มเป็นอย่างยิ่ง รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้เลย

“นายหญิงน้อย ที่ห้องเครื่องนั่นผลประโยชน์เยอะ แต่พวกเรายากจนข้นแค้นนะเพคะ”

“ความคิดตื้น ๆ ”

เจียงหวนใช้นิ้วจิ้มหน้าผากของเสี่ยวเจาเบา ๆ ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ในใจเต็มไปด้วยแผนการ

“ใครบอกว่าการติดสินบนต้องใช้เงินเท่านั้นกันล่ะ?”

นางกัดแป้งทอดไส้เนื้อไปหนึ่งคำ แล้วกวักมือเรียกเสี่ยวเจา

เสี่ยวเจาเดินเข้าไปใกล้ ๆ ด้วยความสงสัย เจียงหวนก็รีบกระซิบแผนการในใจของนางให้เสี่ยวเจาฟัง ยิ่งฟังดวงตาของเสี่ยวเจาก็ยิ่งเป็นประกาย

ถ้าหากทุกอย่างเป็นไปตามที่นายหญิงน้อยพูดจริง ๆ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นไปได้!

เสี่ยวเจารู้สึกตื่นเต้นดีใจ ลุกพรวดขึ้นมา “บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้เลยเพคะ!”

เจียงหวนแหงนหน้ามองเสี่ยวเจาที่สูงขึ้นมาอย่างกะทันหัน แล้วโบกมือไปมา

“เจ้าจะรีบร้อนไปไหน คนก็ไม่ได้หนีไปไหนเสียหน่อย กินข้าวก่อน”

“แต่ว่า...”

“ไม่มีแต่” เจียงหวนขัดคำพูดของเสี่ยวเจา ดึงนางกลับมานั่งลงอีกครั้ง แล้วยัดแป้งทอดไส้เนื้อใส่มือนาง “ดูแป้งทอดไส้เนื้อสีเหลืองอร่ามหอมกรุ่นนี่สิ เจ้าจะยอมทิ้งมันไปหรือ?”

เสี่ยวเจารู้สึกเสียดาย เสี่ยวเจาจึงเลือกที่จะนั่งลงกินแป้งทอดต่อ

เจียงหวนเห็นดังนั้นก็พอใจเป็นอย่างยิ่ง ก่อนจะค่อย ๆ กินแป้งทอดของตนเองอย่างช้า ๆ

อืม อร่อยจริง ๆ ฝีมือตัวเองนี่ดีจริง ๆ

หลังจากที่ทั้งสองคนกินอิ่มแล้ว เสี่ยวเจาก็เก็บกวาดเรียบร้อย ออกจากตำหนักรองฝั่งตะวันตก ไปเดินด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ใกล้ ๆ ห้องเครื่อง

นางแอบสังเกตการณ์บรรดาข้ารับใช้ที่เข้าออกห้องเครื่อง คัดกรองเป้าหมายที่จะเข้าหาอย่างละเอียดตามที่เจียงหวนบอก

แต่ยังไม่ทันที่เสี่ยวเจาจะเลือกคนได้ ก็มีคนเข้ามาหานางเสียก่อน

ขันทีน้อยคนหนึ่งผิวขาวสะอาด ใบหน้าดูใจดี รูปร่างท้วมเล็กน้อย เดินมาอยู่ตรงหน้าเสี่ยวเจาแล้วเอ่ยถามตามระเบียบ

“เจ้าอยู่ตำหนักไหน? ชื่ออะไร? มาทำอะไรแถวนี้?”

เสี่ยวเจาไม่ได้ตอบ แต่พินิจพิจารณาคนตรงหน้าอย่างละเอียด

อืม รูปร่างแบบนี้ คุณสมบัติแบบนี้ ตรงตามลักษณะคนที่เหมาะสมที่นายหญิงบอกไว้เป๊ะ!

เพียงแต่บริเวณนี้มีคนเดินผ่านไปมา ไม่ใช่ที่ที่เหมาะจะพูดคุย

เสี่ยวเจาทำท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ มองซ้ายทีขวาที แล้วจึงพูดเสียงเบา “กงกง ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่เจ้าคะ”

เต๋อซั่นมองเสี่ยวเจาอย่างประหลาดใจ ไม่รู้ว่านางต้องการจะทำอะไร

“มีเรื่องอะไร พูดตรงนี้ไม่ได้หรือ?”

เมื่อเห็นว่าเต๋อซั่นไม่ยอมไปกับนาง เสี่ยวเจาก็ก้มลงมองท้องของเต๋อซั่นอีกครั้ง แล้วหยิบห่อกระดาษเคลือบน้ำมันออกมาจากอกเสื้อ

“กงกง บ่าวมาที่นี่เพราะมีเรื่องอยากจะขอให้กงกงช่วยเหลือ หากกงกงยินยอม บ่าวยินดีจะมอบของอร่อยนี้ให้กงกง”

เต๋อซั่นราวกับได้ยินเรื่องตลกอะไรบางอย่าง

ขอร้องเถอะ ที่นี่คือห้องเครื่องนะ?

นางกำนัลน้อยคนนี้จะเอาของอร่อยเลิศรสอะไรออกมาได้ ช่างเหมือนกับการอวดเก่งต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ

อีกอย่าง เขาเป็นศิษย์น้องเล็กของหวังเต๋อกุ้ย ปกติก็ชอบวิ่งมาที่ห้องเครื่องที่สุดแล้ว ทำหน้าที่ยกอาหารไปถวายฝ่าบาท ของอร่อยอะไรบ้างที่ยังไม่เคยชิม?

เต๋อซั่นไม่ใส่ใจ “ของอร่อยของเจ้าต่อให้จะอร่อยแค่ไหน จะอร่อยกว่าของในห้องเครื่องได้หรือ?”

“แน่นอนเจ้าค่ะ” เสี่ยวเจาตอบอย่างมั่นใจ “กงกงลองชิมดูสักคำก็รู้แล้ว”

เมื่อเห็นว่านางไม่ได้พูดเล่น เต๋อซั่นก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย

เขามองเสี่ยวเจาอย่างสงสัยอีกสองสามครั้ง ความอยากรู้อยากเห็นก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที

ไหน ๆ ตอนนี้เขาก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ก็เลยตามเสี่ยวเจาไปยังที่ลับตาคนซึ่งอยู่ใกล้ ๆ

“ของอร่อยอะไร เปิดให้ข้าดูหน่อย”

คราวนี้เสี่ยวเจาก็ไม่ปิดบังอีกต่อไป ท่ามกลางสายตาที่คาดหวังของเต๋อซั่น นางก็เปิดห่อกระดาษเคลือบน้ำมันออก

แป้งทอดไส้เนื้อสีเหลืองอร่ามที่เย็นชืดแล้ว นอนแผ่อยู่บนใบบัวอย่างเหี่ยวเฉา

ความคาดหวังในแววตาของเต๋อซั่นหายไปในทันที เขาพ่นลมออกจากจมูก

“แค่นี้?”

เมื่อเสี่ยวเจาเห็นว่าเต๋อซั่นดูถูก ก็รีบเอ่ยขึ้น “กงกงอย่าได้ดูถูกแป้งทอดนี่นะเจ้าคะ! แป้งทอดนี่รสชาติดีมาก!”

เมื่อคิดว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว กินสักคำรองท้องก็คงไม่เป็นไร เต๋อซั่นจึงหยิบแป้งทอดขึ้นมากัดไปหนึ่งคำ

จะได้ไล่นางกำนัลน้อยคนนี้ไปให้พ้น ๆ จะได้ไม่มาวอแวกับเขาอีก

ถึงแม้จะเย็นแล้ว แต่แป้งก็ยังคงกรอบอร่อย ไส้เนื้อก็หอมรสชาติเข้มข้น อบอวลไปทั่วปาก

เต๋อซั่นชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นดวงตาก็เป็นประกาย อดไม่ได้ที่จะกัดเข้าไปอีกคำ

เขาไม่เคยกินของอร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย!

กินคำแล้วคำเล่า

เมื่อเสี่ยวเจาเห็นว่าเต๋อซั่นกินอย่างเมามัน ก็ฉวยโอกาสเหมาะ ดึงแป้งทอดครึ่งชิ้นที่เหลือกลับมาทันที

“อ๊ะ กงกงอย่ากินเลยดีกว่าเจ้าค่ะ ของหยาบ ๆ เช่นนี้ จะคู่ควรกับปากอันสูงส่งของกงกงได้อย่างไร?”

“ช้าก่อน!”

เมื่อแป้งทอดในปากถูกฉวยไป เต๋อซั่นก็รีบคว้าข้อมือของนางไว้ทันที

พอสบเข้ากับดวงตาที่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ของเสี่ยวเจา เขาก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าเสียกิริยาไป จึงรีบกระแอมเพื่อกลบเกลื่อน

“ข้า...ข้าแค่กลัวว่าจะสิ้นเปลืองอาหาร!”

เสี่ยวเจารู้ว่าเรื่องนี้สำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว

นางบอกแล้วว่าฝีมือของนายหญิงน้อยของนางเป็นที่หนึ่งในใต้หล้า! ไม่มีใครปฏิเสธได้!

นางคืนแป้งทอดให้เต๋อซั่นอย่างว่าง่าย จนกระทั่งเต๋อซั่นกินหมดทั้งชิ้น นางจึงค่อย ๆ เอ่ยปาก

“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ กงกง ข้าไม่ได้พูดผิดกระมัง”

โบราณว่าไว้ เมื่อรับของของคนอื่นมาแล้ว ก็พูดอะไรได้ไม่เต็มปาก

ท่าทีของเต๋อซั่นที่มีต่อเสี่ยวเจา ไม่มีความรำคาญใจเหมือนตอนแรกอีกต่อไป

“ว่ามาเถอะ เจ้าอยากให้ข้าช่วยอะไร?”

เมื่อเสี่ยวเจาได้ยินดังนั้น ก็รีบเข้าเรื่องทันที แล้วเอ่ยขึ้น “กงกง คืออย่างนี้เจ้าค่ะ บ่าวชื่อเสี่ยวเจา เป็นสาวใช้ข้างกายของจวงฉางไจ้ อยากจะขอให้กงกงช่วยซื้อวัตถุดิบให้หน่อยเจ้าค่ะ”

เต๋อซั่นสงสัย “เจ้าเป็นแค่นางกำนัลที่รับใช้นายหญิง จะเอาวัตถุดิบไปทำอะไร?”

“กงกงท่านไม่ทราบ” เสี่ยวเจาพูดพลางทำหน้าเศร้า “นายหญิงน้อยของบ่าวปกติจะถูกหักค่าใช้จ่ายอย่างหนักตลอด ในวังต้องอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวดูสีหน้าคนอื่น อาหารการกินก็ทำเองมาตลอด แต่ตอนนี้ถูกกักบริเวณมาหลายวันแล้ว ในตำหนักไม่มีข้าวสารแป้งหมี่เหลือเลยแม้แต่น้อย แป้งทอดไส้เนื้อที่ให้กงกงวันนี้ ก็เป็นอาหารมื้อสุดท้ายแล้ว...”

น้ำเสียงของเสี่ยวเจาเศร้าสร้อยน่าสงสาร ยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดหน้า ถูจนเปลือกตาจนแดงก่ำ

“วันก่อนนายหญิงต้มข้าวต้ม ต้องใช้เข็มปักผ้าค่อย ๆ คีบเมล็ดข้าวทีละเม็ด! แล้วก็เสื้อผ้าของบ่าว...” นางยกชายกระโปรงขึ้นมาสะบัด ๆ บริเวณที่เปื้อนคราบน้ำมันมีรูโหว่ขนาดใหญ่ “ท่านดูสิเจ้าคะ! หนูมันหิวจนแทะชายกระโปรงบ่าวเหมือนเป็นแป้งทอดไปแล้ว!”

นางสะอื้นออกมาเสียงหนึ่ง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาสั่งน้ำมูกเสียงดังลั่น

“กงกงโปรดพิจารณาด้วยเถิดเจ้าค่ะ! หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่านายหญิงน้อยของบ่าวจะเลี้ยงหนูไม่ไหวแล้ว!”

เต๋อซั่นฟังอยู่นานครึ่งค่อนวัน ยังรู้สึกงง ๆ อยู่บ้าง

ในวังยังมีนายหญิงที่น่าสงสารขนาดนี้ด้วยหรือ?

เห็นแก่แป้งทอดไส้เนื้อชิ้นนี้ เขาก็พอจะช่วยได้บ้าง แต่ก็ช่วยแบบโจ่งแจ้งเกินไปไม่ได้

“เอาละ ๆ ไม่ต้องร้องคร่ำครวญแล้ว ที่ห้องเครื่องยังเหลือต้นหอมกับเส้นบะหมี่อยู่บ้าง เจ้าจะเอาหรือไม่”

“มีแค่เท่านี้เองหรือเจ้าคะ?”

“มีแค่เท่านี้” เต๋อซั่นตอบอย่างหนักแน่น เขาไม่ใช่ผู้ดูแลห้องเครื่อง ให้ของเท่านี้ได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว

เสี่ยวเจาไม่เชื่อ ห้องเครื่องใหญ่โตขนาดนี้จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะมีของเหลือแค่นี้

นางอยากจะขอเพิ่มอีกหน่อย แต่เต๋อซั่นยืนกรานคำเดียวว่ามีแค่เท่านี้

เสี่ยวเจาหมดหนทาง ทำหน้าเศร้าหมอง สุดท้ายก็ยังคงรับต้นหอมกับเส้นบะหมี่ไป

อย่างไรเสีย มีก็ยังดีกว่าไม่มี

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 191

    “สกปรกแล้ว” น้ำเสียงพลันแหบแห้งการเคลื่อนไหวของอายีน่าถึงกับหยุดชะงักไปในทันที ราวกับถูกน้ำร้อนลวกมือ ก่อนจะรีบชักมือกลับมาทันควัน แก้มทั้งสองข้างพลันแดงก่ำขึ้นมาโดยมิอาจควบคุมได้“ก็แค่อาภรณ์ชุดหนึ่งเท่านั้น...”อายีน่าเบือนหน้าหนี ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ทว่า หัวใจกลับเต้นรัวราวกับเสียงกลองที่ดังกระทบแก้วหูฮั่วอวิ๋นสิงเพียงส่งหัวเราะออกมาเบา ๆ หากแต่เขาเคลื่อนตัวไปโดนบาดแผลเข้าทำเอาเจ็บเสียจนสะดุ้งเฮือกออกมา“จิ๊ ๆ... เจ้าหน้าแดงหรือ?”“ใคร... ผู้ใดหน้าแดงกัน เป็นเพราะแดดส่องลงมาต่างหาก!”ท่าทางของอายีน่าคล้ายกับลูกแมวถูกเหยียบหางก็ปาน พลางลุกขึ้นมาด้วยความเร็วไว ก่อนจะกรูถอยหลังไปสองก้าว“เจ้า... เจ้าใส่ยาเอาเองเถิด ข้าไปล่ะ”อายีน่าพลันหยิบตลับยายัดใส่เข้าไปในมือของฮั่วอวิ๋นสิง ก่อนจะพาสาวใช้อีกสองคนวิ่งหนีไปอย่างสุดชีวิตยามที่นั่งรถม้ากลับวังหลวงนั้น หัวใจของอายีน่าที่เต้นระรัวก็คล้ายกับว่าจะค่อย ๆ สงบลงม่านรถม้าที่กั้นเสียงความวุ่นวายจากภายนอกเอาไว้นั้น หลงเหลือเอาไว้แต่เพียงเสียงลมหายใจของอายีน่าที่หอบหืด พร้อมทั้งกลิ่นคาวเลือดที่ติดอยู่บนแขนเสื้อนา

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 190

    ฮั่วอวิ๋นสิงส่งเสียงร้องในลำคอ รอยแผลอาบเลือดพลันปรากฏบนขมับเลือดสีแดงสดทะลักออกมา ไหลอาบไปตามแนวแก้มราวกับห้วงเวลาได้หยุดนิ่งลง ณ วินาทีนี้ เสียงคำรามด่าทอมากมายเงียบหายไปทันทีผู้ติดตามสองคนของฮั่วอวิ๋นสิงรีบชักกระบี่ออกมาทันที พวกเขายืนคุ้มกันอยู่ด้านหน้าฮั่วอวิ๋นสิง พร้อมกับตะโกนเสียงกร้าว“พวกอันธพาลสามหาว ท่านนี้คือเซียวเหยาอ๋องของต้าเหลียงเรา พวกเจ้ากล้าทำร้ายท่านอ๋อง ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่?”เหล่าผู้ลี้ภัยตื่นตะลึงเมื่อได้ยินว่าฮั่วอวิ๋นสิงเป็นท่านอ๋อง พวกเขาเริ่มร่นถอยกลับไป ชายฉกรรจ์ที่เป็นผู้นำตกใจจนหน้าซีด รีบคุกเข่าลงไปทันทีแต่ทว่า อายีน่าไม่มีเวลาสนใจเรื่องเหล่านี้โลกทั้งใบของนางราวกับเหลือเพียงแผ่นหลังของคนที่ยืนบังอยู่ตรงหน้านาง และเลือดสีแดงสดที่ไหลอาบขมับเขาเท่านั้นเลือดสีแดงสดนั่น ช่างบาดตานางเหลือเกินหัวใจของอายีน่าราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบรัดไว้แน่น รู้สึกปวดแปลบไปหมด“ฮั่วอวิ๋นสิง!”เสียงของนางทั้งสั่นเทาและแตกตื่นโดยที่แม้แต่นางก็ยังไม่รู้ตัว นางยกแขนเสื้อของตนขึ้นปิดมาแผลที่ขมับของเขาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย“ท่านเป็นเช่นไรบ้าง? เจ็บห

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 189

    “โอ๊ย” ขอทานน้อยล้มลงไปบนพื้น ถ้วยเก่าๆ ในมือกลิ้งไปอีกทางอายีน่ายันกิ่งไม้ด้านข้างโดยสัญชาตญาณ จึงค่อยหยัดยืนได้อย่างมั่นคงเหตุการณ์นี้มิได้เอิกเกริกมากนัก ทว่ากลับเสียงดังมากพอที่จะทำให้กลุ่มคนหน้าวัดแตกตื่นฮั่วอวิ๋นสิงเงยหน้ามองมา สายตาคมปราบ เขามองเห็นเงาร่างอันคุ้นเคยที่อยู่หลังต้นไม้ใหญ่ได้ในพริบตาสายตาสองคู่สบประสานกันอายีน่ามีสีหน้าแตกตื่นลนลาน ฮั่วอวิ๋นสิงตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ไม่นานดวงตาดอกท้อก็มีรอยยิ้มเบ่งบานขึ้นมาเขาตักข้าวต้มให้ผู้ลี้ภัยที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะวางตะหลิวและเดินตรงมาทางอายีน่า“โอ้ นี่มิใช่…”ฮั่วอวิ๋นสิงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า จงใจลากเสียงยาวๆ สายตามองวนเวียนอยู่ที่การแต่งกายด้วยอาภรณ์ธรรมดาของอายีน่าหนึ่งรอบ“คุณหนูน้อยจากตระกูลใดกัน หลงทางมาหรือ?”อายีน่ารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว นางฝืนทำเป็นเชิดคางขึ้น“ขะ… ข้าออกมาเดินเล่น มิได้หรือ? กลับเป็นท่านอ๋อง ไม่อยู่ท่องกลอนวาดรูปฟังดนตรีอยู่ในจวน วิ่งมาทำตัวเป็นพ่อครัวอยู่หน้าวัดร้างเช่นนี้ หาดูได้ยากยิ่ง”ฮั่วอวิ๋นสิงไม่โกรธ กลับยิ้มอย่างใจกว้าง“ข้าออกท่องเที่ยวไปทั่วทุกหนแห่ง จะออกมาสำรวจความเป็นอ

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 188

    พยับเมฆจากเหตุสงครามทางทิศใต้มิพียงแต่แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งราชสำนัก แต่ยังค่อยๆ ลุกลามไปถึงเมืองหลวงด้วยข่าวที่พ่ายสงครามโบยบินไปสู่ครัวเรือนของราษฎรราวกับติดปีก ปลุกปั่นจิตใจผู้คนให้อกสั่นขวัญหายสิ่งที่ตามมาก็คือ มีผู้ลี้ภัยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คนเหล่านั้นสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง พาคนในครอบครัวมาด้วย พวกเขาหลบหนีมาจากอำเภอข้างเคียงที่ถูกเพลิงสงครามแผดเผา บ้างก็มารวมตัวกันที่นอกเมืองหลวง บ้างก็รวมตัวอยู่ในวัดร้างที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงประตูเมืองอายีน่าถูกขังไว้ในเมืองหลวง เส้นทางกลับแคว้นถูกตัดขาดเพราะเพลิงสงคราม ข่าวสารจากทางราชวงศ์โม่เป่ยก็น้อยลงทุกวัน เนื้อความในจดหมายล้วนบอกให้นางลี้ภัยและรออย่างสบายใจอยู่ที่นี่ไปก่อนชีวิตในวังแม้สุขสบายไร้กังวล ทว่าก็ไม่ต่างจากกรงทองคำที่ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดใจครั้นยามบ่ายคล้อยของวันนี้ผ่านไป ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหว เปลี่ยนไปใส่อาภรณ์รัดรูปสีพื้นที่ไม่สะดุดตา พาหญิงรับใช้โม่เป่ยที่แต่งกายแบบเดียวกันออกจากวังไปด้วยสองคน ตั้งใจว่าจะออกไปสูดอากาศที่ตลาดทัศนียภาพนอกเมืองแตกต่างจากในเมืองซึ่งเป็นระเบียบเรียบร้อยค่อนข้างมากถนนหนทางสกปรกไม่เป็นร

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 187

    “พระสนมโปรดระงับโทสะ บ่าวสืบรู้มาเช่นนี้จริงๆ นะเพคะ เมื่อคืนการหารือในห้องทรงพระอักษรถึงดึกดื่น มีเพียงแม่ทัพหลินและฝ่าบาท ฝ่าบาทมิได้สั่งให้ผู้ใดอยู่ปรนนิบัติจริงๆ เพคะ”“มิได้สั่งให้ผู้ใดอยู่ปรนนิบัติ?” เจียกุ้ยเฟยเอ่ยย้ำคำพูดนี้ด้วยน้ำเสียงรอดไรฟัน แฝงไว้ด้วยแววเย้ยหยันและไม่เชื่อ “เช่นนั้นเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาทในท้องพระโรงช่วงเช้า?”หลานเวยตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง นางก้มหัวต่ำกว่าเดิม“บ่าวยังสืบรู้มาอีกว่าวันนี้ตอนที่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ท่านผู้นั้นจากตำหนักเว่ยยางได้ถือกล่องอาหารไปรอที่หน้าห้องทรงพระอักษรด้วยตนเอง รอจนกระทั่งแม่ทัพหลินกลับไป”แววตาของเจียกุ้ยเฟยแปรเปลี่ยนเป็นมืดมนน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม ราวกับเข็มอาบยาพิษเสียงของหลานเวยสั่นจนแทบพูดไม่เป็นคำ “นางมิได้เข้าไป เป็นหวังกงกงถือกล่องอาหารเข้าไป จากนั้น… จากนั้นฝ่าบาทก็ทรงเสวยมื้อเช้า ยามประชุมช่วงเช้าในท้องพระโรงจึงได้… จึงได้…”นางมิกล้าพูดคำนั้นออกมาจริงๆ“จึงได้อารมณ์เบิกบานยิ่งนัก! ใช่หรือไม่?”เสียงของเจียกุ้ยเฟยแหลมจนแหบแห้ง นางลุกพรวดขึ้นยืน เล็บมือที่ทาน้ำยาทาเล็บสีแดงสดกำขอบโต๊ะเครื่องแป้งไว้แน่น กระดูกข้อต่

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 186

    การประชุมช่วงเช้าจบลงอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางความสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเหล่าขุนนางเดินเรียงแถวออกจากท้องพระโรง ใบหน้าแสดงออกถึงความโชคดีราวกับเพิ่งรอดพ้นจากความตายมาได้ ขณะเดียวก็ยังมีความสงสัยที่มิอาจไขข้อข้องใจได้พวกเขากระซิบกระซาบกันถึงเรื่องสีหน้าท่าทางที่แตกต่างจากเดิมของฝ่าบาทในวันนี้ฮั่วหลินมิได้สนใจเสียงกระซิบกระซาบของเหล่าขุนนาง เขาก้าวเท้าออกจากตำหนักจินหลวน เตรียมจะกลับไปสะสางราชกิจที่คั่งค้างในห้องทรงพระอักษรต่อ ทว่าเสียงที่แฝงไว้ด้วยความยียวนอย่างชัดเจนเสียงหนึ่งกลับดังมาจากด้านหลัง“แหม วันนี้พระพักตร์ฝ่าบาทมีสง่าราศีอย่างมากเชียวนะ หรือว่าทรงได้ยาวิเศษใดมาถนอมพระวรกายงั้นหรือพะย่ะค่ะ?”ผู้พูดก็คือฮั่วอวิ๋นสิง เขาแต่งกายด้วยชุดราชการประจำตำแหน่งชินอ๋อง[1] มือโบกพัดพับกระดูกหยกไปมา พลางจ้องพิจารณาฮั่วหลินตั้งแต่หัวจรดเท้า รอยยิ้มเย้าแหย่ฮั่วหลินได้ยินเช่นนั้นฝีเท้าก็ชะงักหยุด ตวัดแววตาเย็นชามองไปที่เขา“เสด็จอาว่างมากหรือ?” น้ำเสียงไม่สูง แต่กลับแสดงถึงบารมีของฮ่องเต้ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งสามารถทำให้ขุนนางที่ยังเดินไปได้ไม่ไกลมากนักต่างก็หดคอ และรีบเร่งฝีเท

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status