ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา
“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ
“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า
“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าและบิดาของเจ้าเลยสักนิดแล้วเจ้าจะเป็นห่วงนางไปทำไมกัน” คำพูดประโยคนี้ของเหยียนฮูหยินทำให้เหยียนเซียวขยับกายลุกขึ้นแล้วจ้องมองมารดาด้วยสายตาอันแข็งกร้าว
“ท่านแม่! ในใจของท่านยังคิดว่าฮุ่ยเอ๋อเป็นบุตรสาวของท่านอยู่อีกหรือไม่ พวกท่านต่างก็พากันผลักไสให้นางเข้าวังเพื่อให้นางช่วยพยุงฐานะของจวนไหวกั๋วกงแต่พวกท่านกลับไม่เคยคิดถึงความทุกข์ยากลำบากใจของนางบ้างเลย อีกทั้งเมื่อดูจากความสัมพันธ์ของท่านกับท่านพ่อ ท่านยอมรับกับข้ามาตามตรงเถิดว่าแท้จริงแล้วท่านเป็นห่วงท่านพ่อที่ถูกคุมขังอยู่ไม่เท่ากับที่ท่านรู้สึกเสียดายตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงหรอก”
“เหยียนเซียว เจ้าลูกอกตัญญู เจ้าคิดกับแม่เช่นนี้ได้อย่างไร หึหึ อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้นะว่ายามนี้เจ้ากำลังคิดวางแผนอันใดอยู่ ทั้งเรื่องคนที่เจ้าลักลอบไปยั่วยุฉินอ๋องให้คิดก่อการกบฏ ทั้งเรื่องที่เจ้ายุแยงทำให้ฝ่าบาททรงหวาดระแวงองค์ชายใหญ่และหยางเต๋อเฟย ยังมีเรื่องที่ลักลอบติดต่อกับสกุลหม่าของแคว้นต้าเป่ยอีก เจ้าอย่าได้คิดว่าการกระทำของเจ้าจะรอดพ้นหูตาของแม่ไปได้” เมื่อเหยียนฮูหยินเอ่ยเช่นนี้เหยียนเซียวก็จ้องมองมารดาของเขาด้วยสายตาเย็นชา
“ในเมื่อท่านแม่รู้แล้วก็ควรที่จะสงบปากสงบคำเอาไว้ หากอยากจะให้ท่านพ่อรอดพ้นจากการถูกคุมขังพวกเราก็ต้องโค่นล้มสกุลหลี่ให้ได้ก่อน ยามนี้พวกเราไร้ซึ่งกำลังสิ่งที่ทำได้ก็มีแค่เพียงคำว่าอดทนเพียงเท่านั้น” เมื่อเหยียนเซียวเอ่ยเช่นนี้เหยียนฮูหยินก็ส่ายหน้า
“ท่านพ่อของเจ้าเขาแก่แล้ว จะทนรับความยากลำบากจากการถูกคุมขังได้อย่างไร เซียวเกอเอ๋อเจ้าเป็นลูกที่เขารักมากที่สุดแล้วเจ้าจะทนมองเขาแบกรับความทุกข์ยากในคุกได้หรือ”
“ท่านแม่ไม่ใช่ว่าข้าไม่คิดจะช่วยเหลือท่านพ่อ อย่างน้อยการได้รับโทษจากการคิดฆ่าขุนนางในราชสำนักก็ยังดีกว่าการได้รับโทษจากการก่อกบฏ ก่อนหน้านี้ข้าเคยเตือนท่านพ่อหลายครั้งแล้วว่าอย่าพึ่งลงมือแต่ท่านพ่อกลับไม่เชื่อข้า” เหยียนเซียวเอ่ยพลางทอดถอนใจออกมาแต่เหยียนฮูหยินกลับส่ายหน้า
“เขาจะกล้าเชื่อเจ้าได้อย่างไร เจ้าคิดเช่นไรกับนิ่งอันโหวฮูหยินคิดว่าพ่อกับแม่ไม่รู้หรือ เมื่อหลายปีก่อนตอนที่ฝ่าบาททรงตรัสถามว่าผู้ใดยินดีจะแต่งงานกับนาง ทั้งที่เจ้าก็รู้ว่านางคือเผือกร้อนที่มาพร้อมกับความไม่ไว้วางพระทัยของฝ่าบาท แต่เจ้าก็ยังกล้าออกหน้ากราบทูลขอพระราชทานสมรสกับนาง เคราะห์ดีที่นิ่งอันโหวออกหน้ารับนางไป ไม่เช่นนั้นท่านพ่อของเจ้าก็คงจะต้องถูกฝ่าบาทหาเรื่องถอดยศและถูกคุมขังตั้งนานแล้ว” คำพูดของเหยียนฮูหยินทำให้เหยียนเซียวหัวเราะออกมาเบาๆ
“นี่ท่านแม่คิดว่าข้าจะหลงใหลสตรีจนทำให้สกุลเหยียนต้องตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่เช่นนั้นหรือ” เหยียนเซียวเอ่ยถามพลางจ้องมองมารดาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง
“ท่านแม่หากข้าลุ่มหลงโม่ชิงเยว่จริงแล้วข้าจะแต่งสุ่ยอี้หรงเข้าจวนมาทำไมกัน ตอนที่สุ่ยอี้หรงรวมหัวกับน้องสาวเพื่อวางแผนรังแกโม่ชิงเยว่ข้าเคยเอ่ยวาจาคัดค้านนางหรือว่าห้ามปรามสุ่ยอี้หรงสักครั้งหรือไม่ สำหรับข้าแล้วแม้ว่าจะเคยพึงพอใจในตัวนางมากเพียงไรแต่ถ้าเพื่อการใหญ่ข้าก็ไม่มีทางเอาการใหญ่ของข้าไปเสี่ยงเพื่อสตรีเพียงคนเดียวหรอก” เหยียนเซียวเอ่ยพลางส่ายหน้า
“ท่านแม่อาจจะลืมไปแล้วว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเข้าไปอยู่ในวังเพราะเหตุใด แต่ข้าไม่เคยจะลืม จากเด็กสาวที่ไร้เดียงสาความคิดความอ่านไม่ซับซ้อนแล้วยามนี้เล่านางเป็นเช่นใดท่านก็น่าจะเห็น ไม่เพียงดวงตาฉายแววไร้ความสุขแต่ยามนี้นางกลายเป็นคนที่ต้องคิดและวางแผนตลอดเวลาเพื่อจะได้สามารถเอาตัวรอดได้ในวังหลวงแห่งนั้น” เมื่อเหยียนเซียวเอ่ยเช่นนี้เหยียนฮูหยินก็นิ่งงันไป
“ดังนั้นคนที่ทำให้นางต้องไปอยู่ในสถานที่กินคนเช่นนั้นอย่างท่านพ่อก็สมควรจะต้องได้รับความยากลำบากเสียบ้าง แต่ท่านก็ไม่ต้องกังวลใจไปหรอกเมื่อข้าก่อการได้สำเร็จเมื่อไหร่ข้ารับรองว่าสิ่งแรกที่ข้าจะทำก็คือการช่วยเหลือท่านพ่อออกจากคุกของกรมอาญาอย่างแน่นอน” เมื่อเหยียนเซียวเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเช่นนี้เหยียนฮูหยินก็ไม่กล้าเอ่ยอันใดออกมาอีก ด้วยรู้ดีว่าในยามนี้บุตรชายของนางผู้นี้ไม่ใช่บุตรชายผู้สุดแสนจะเชื่อฟังคำพูดของนางดังเช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว
“เช่นนั้นแม่ก็ได้แต่หวังว่าเจ้าจะก่อการได้สำเร็จ” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางจ้องมองบุตรชายที่ในยามนี้ความคิดความอ่านของเขาล่วงหน้าไปไกลเกินกว่าที่นางสามารถคาดเดาได้แล้ว
“เรื่องฮุ่ยเอ๋อ เจ้าไม่คิดว่าแม่เองก็ปวดใจหรือ นางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของแม่ เฝ้าทะนุถนอมเลี้ยงดูเสยยิ่งกว่าไข่ในหิน แต่ความหวาดระแวงของฝ่าบาทใช้ว่าพึ่งจะเริ่มมีแค่เพียงวันสองวัน หากพ่อกับแม่ไม่ตัดใจยกนางที่เป็นที่รักมากของตนเองเข้าวัง เจ้ายังคิดว่าฝ่าบาทจะทรงมอบความโปรดปรานและยกย่องเจ้าจนเจ้าได้ตำแหน่งราชเลขาธิการหรือ เซียวเกอเอ๋อเจ้าเองก็เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของแม่เช่นกัน นอกจากความรักที่แม่มอบให้เจ้าแล้วความคาดหวังทั้งหมดของแม่ก็คือการที่เจ้าจะสามารถนำพาให้วงสกุลของพวกเรารุ่งโรจน์เพื่อคนในรุ่นต่อๆ ไป เพื่อที่บุตรหลานของข้าที่พวกเจ้าให้กำเนิดจะได้มีชีวิตที่ดี ไม่ต้องเผชิญกับความยากลำบากเฉกเช่นฮุ่ยเอ๋ออีก” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางทอดถอนใจออกมาแล้วจึงได้เอ่ยต่อ
“เจ้าจะเข้าใจคำพูดของแม่หรือไม่ก็คงต้องขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วว่าเจ้าจะละวางอคติในใจที่เจ้ามีต่อพ่อกับแม่ได้หรือไม่ แต่มีสิ่งหนึ่งแม่อยากจะให้เจ้าจดจำเอาไว้นั่นก็คือทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อกับแม่ทำก็เพื่อชีวิตในวันข้างหน้าของพวกเจ้าทั้งนั้น” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางลุกขึ้นแล้วก็เดินออกจากเรือนพักของเหยียนเซียวด้วยท่วงท่าที่เต็มไปด้วยความอ่อนล้าจนเหยียนเซียวสามารถสัมผัสได้ แต่เขาก็ยังไม่อาจจะหาถ้อยคำมาเอ่ยวาจาปลอบใจมารดาได้เพราะในยามนี้แผนการที่เขาวางเอาไว้ถูกทำให้เสียรูปจนแทบจะไม่เป็นขบวนแล้ว
ยามที่มารดาออกจากห้องไปแล้วเหยียนเซียวก็เดินตรงไปยังห้องหนังสือซึ่งยามนี้คนของเขาไปรอเขาที่นั่นอย่างพร้อมหน้าแล้ว เหยียนเซียวจ้องมองคนเหล่านั้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชา ถ้าเทียบกับการทำงานของคนของซ่งเหวินจิ้งแล้วการทำงานของคนของเขาก็เป็นได้แค่เพียงเด็กอมมือเพียงเท่านั้น
“ส่งคนไปตามสืบในจวนของข้าจะต้องมีหนอนบ่อนไส้แน่ๆ หาตัวมันมาให้ได้ไม่เช่นนั้นจะไม่ใช่แค่เพียงหนอนบ่อนไส้ผู้นั้นที่จะต้องหัวขาดแต่พวกเจ้าเองก็อาจจะรักษาหัวของพวกเจ้าเอาไว้ไม่ได้เช่นกัน” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้คนของเขาก็ต่างพากันขานรับแล้วก็พากันก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตาของเหยียนเซียวที่ยามนี้สายตาของเขาราวกับมีกองไฟสุมอยู่ภายใน เพลิงโทสะที่พวยพุ่งออกมาทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าสบตาของเขา
“ส่งข่าวไปที่สกุลหม่า หากพวกเขาอยากจะแก้แค้นซ่งเหวินจิ้งก็จงรีบส่งคนเข้ามาลอบฆ่าให้สำเร็จ ในเมื่อพวกเจ้าไร้ฝีมือยามนี้ก็คงจะพึ่งพาได้แค่เพียงคนของสกุลหม่าแห่งแคว้นต้าเป่ยแล้ว” เหยียนเซียวเอ่ยออกมาน้ำเสียงเย็นชาในใจก็ได้แต่คิดว่าขอเพียงทำจัดแม่ทัพใหญ่อย่างซ่งเหวินจิ้งได้ คนสกุลหลี่ที่เอาแต่สั่งการอยู่แต่ในวังก็จะกลายเป็นมังกรไร้หัวในทันที
“มังกรที่ไร้หัว หางก็มักจะตีกันเองถึงยามนั้นข้าค่อยฉวยโอกาสยึดครองอำนาจมาไว้ในมือก็ถือว่าเป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว” เหยียนเซียวพึมพำออกมาพลางจ้องมองบรรดาลูกน้องของตนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ