.
.
“ท่านอ๋องและพระชายาจะออกไปนอกจวน เจ้ารีบนำความไปบอกท่านพ่อเสีย อย่าให้ถูกจับได้” หญิงสาวรับคำสั่งจากผู้เป็นนายแล้วจึงเร่งรีบออกไปส่งข่าว
.
.
ด้านเฟยเทียนและเจียวซินที่กำลังนั่งรถม้าไปยังตลาดเทียบท่า ระยะทางค่อนข้างไกลต้องใช้เวลาเดินทางเกือบครึ่งชั่วยาม เจียวซินที่ได้ออกนอกจวนครั้งแรกถึงกับยิ้มไม่หุบ เปิดม่านดูบรรยากาศรายทาง ปากก็เอ่ยถามสิ่งที่แปลกตากับท่านอ๋อง จนลืมไปเสียสนิทว่าตนเองต้องอย่าล้ำเส้นท่านอ๋อง ส่วนเฟยเทียนก็ทำหน้าที่ตอบคำถามของชายาตน ภายในหัวก็คุ้นคิดว่าเจียวซินนั้นจะแกล้งเป็น จำมิได้หรือไม่ แต่คำตอบที่เขาได้คือ ดูอย่างไรนางก็ไม่มีท่าทีแกล้งหรือหลอกลวงใดๆ เขาเชื่อไปแปดในสิบส่วนแล้วว่านางจำสิ่งใดมิได้เลย
“ท่านอ๋องคิดว่าหม่อมฉันจะเปิดสำนักศึกษาสำหรับชาวบ้านดีหรือไม่” เจียวซินเอ่ยถามขณะมองชาวบ้านตามท้องถนน
“หากจะทำต้องมีเงินทองมากพอ เพราะชาวบ้านคงมิมีเงินทองสำหรับมา ใช้จ่ายค่าเล่าเรียน”
“จริงของท่าน เช่นนั้นหม่อมฉันจะสอนลูกขุนนางและเชื้อพระวงศ์ไปด้วย สอนชาวบ้านไปด้วยดีหรือไม่เพคะ”
“เหตุใดต้องไปสอนลูกขุนนางด้วยเล่า” เฟยเทียนเอ่ยถามเสียงนุ่ม เมื่อไหร่มิรู้ที่เขาหลงไหลไปกับแววตาและสีหน้าที่มุ่งมั่นนี้
“ก็…หากพ้นสองหนาวไปเราคงหย่าขาดจากกันแล้ว ระหว่างนั้นหม่อมฉันมีเรื่องให้ใช้จ่ายมากมาย คงต้องนำเงินจากการสอนลูกขุนนางมาใช้จ่ายอย่างไรเพคะ” เฟยเทียนได้ยินคำตอบถึงกับสะอึก นี่นางคิดจะหย่าขาดจากเขาจริงงั้นหรือ ตัวเฟยเทียนมิคิดจะหย่าขาดกับนางตั้งแต่แรก เพราะอย่างไรนางก็เป็นบุตรของ ผู้ที่เป็นทั้งอาจารย์และผู้ช่วยชีวิตเขา แต่ที่ต้องกล่าวว่าจะหย่าขาดกับนางก็เพราะอยากรู้ว่าผู้ใดบ้างที่คิดจะใช้ประโยชน์จากจางเจียวซิน เหล่าทหารของอดีตแม่ทัพจางจงรักพักดีเป็นอย่างมาก ย่อมปกป้องและอยู่ฝ่ายเดียวกับเจียวซินแน่ อักทั้งพี่ชายของเจียวซินเป็นถึงรองแม่ทัพ ทหารในสังกัดมีมากมายหลายหมื่น หากผู้ใดได้เจียวซินไปอยู่เคียงข้างย่อมเป็นผู้ถือไพ่เหนือกว่า แต่หลังจากเหตุการณ์ที่ เจียวซินจมน้ำ เฟยเทียนก็คิดจะล้มเลิกแผนการนี้อยู่แล้ว หากนางโดดน้ำฆ่า ตัวตายเพราะเรื่องหย่าจริง ย่อมเป็นความผิดของเขา อีกอย่างหากใช้แผนการนี้ต่อไปนางต้องเป็นอันตรายมากกว่านี้แน่
“อืม แต่หากเจ้าไม่หย่า ข้าก็ไม่ว่าอันใด” เฟยเทียนเอ่ยขึ้นเสียงเบาๆ
“หย่าเพคะ หม่อมฉันจะหย่าให้ เพียงแต่ขอเวลาให้หม่อมฉันเก็บเงินเก็บทองก่อนเพคะ หากออกไปแต่ตัวเช่นนี้ หม่อมฉันได้อดตายแน่” เจียวซินทำท่ามุ่งมั่น ที่จะหาเงินทองให้ได้มากๆ ตลอดทางทั้งสองมิได้คุยสิ่งใดกันอีกจนรถม้าหยุด
“ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง” เสียงของห่าวซวนลอดเข้ามาในรถม้า ท่านอ๋องก้าวขาลงจารถม้าแล้วจึงหันมายื่นแขนให้เจียวซินใช้เป็นที่เกาะ เจียวซินแอบลอบยิ้มให้กับการกระทำของร่างสูง ก็เป็นคนใช้ได้นี่น่า
“ขอบพระทัยเพคะ”
“ข้าจะพาเจ้าไปร้านของชาวตะวันตก ลองเจรจาซื้อสินค้าดู”
“ได้เพคะ หม่อมฉันจะทำให้เต็มที่เพคะ” การเดินทางมาครั้งนี้เฟยเทียนมิได้จัดขบวนเดินทางเอิกเกริก มีเพียงองค์รักษ์ห่าวซวนและทหารเพียงแปดนาย เจียวซินก็พาคนสนิทมาและนางกำนัลอีกเพียงสองคนเท่านั้น
“เรามาเดินตลาดไม่ต้องใช้ราชาศัพท์ ข้ามิอยากให้เราเป็นจุดเด่นมากเกินไป”
“ได้เพ- ได้เจ้าค่ะ” เจียวซินรับคำแล้วจึงเดินไปยังร้านที่เขียนติดป้ายว่า “เครื่องหอม”
“สนใจอันใดหรือเจ้าคะ” สำเนียงแปล่งๆ ของหญิงสาวเจ้าของร้านกล่าวถามขึ้น
“Hi!…This is perfume. Right?”
(สวัสดี สิ่งนี้คือน้ำหอมใช่หรือไม่)
เจียวซินทักทายและสอบถามเป็นภาษาอังกฤษ ทำเอาหญิงสาวถึงกับตกใจ (หลังจากนี้จะใช้ภาษาไทยแทน)
“ท่านพูดภาษาข้าได้ด้วยหรือเจ้าคะ”
“ข้าพอพูดคุยสื่อสารได้บ้าง แล้วนี่คือน้ำหอมใช่หรือไม่” เจียวซินถามย้ำเนื่องจากนางไม่คุ้นเคยกับภาชนะใส่น้ำหอมของสมัยนี้ จึงถามเพื่อความแน่ใจ
“ใช่เจ้าค่ะ ส่วนมากเป็นกลิ่นดอกไม้เจ้าค่ะ ท่านอยากลองดมกลิ่นดูหรือไม่” หญิงสาวหยิบยื่นเครื่องหอมกลิ่นต่างๆ ให้ เจียวซินลองดมอยู่หลายกลิ่นแต่ก็ยังตัดสินใจเลือกซื้ออันใดมิได้
“หนิงเออร์ เจ้ามาช่วยข้าเลือกทีเถิด พวกเจ้าทั้งสองด้วย” เจียวซินหันไปเรียกหนิงเออร์และนางกำนัลที่ยืนด้านหลังท่านอ๋อง
“เจ้าค่ะ” หนิงเออร์และนางกำนัลทั้งสองกล้าๆ กลัวๆ เพราะมิเคยเห็นชาวตะวันตกที่มีรูปร่างสูงใหญ่มาก่อน
“พวกเจ้าว่ากลิ่นใดหอมกว่ากัน” เจียวซินยื่นข้อมือที่แตะน้ำหอมกลิ่นต่างๆ ให้พวกนางได้ลองดม
“บ่าวว่าหอมทุกกลิ่นเจ้าค่ะ โดยเฉพาะสองกลิ่นนี้” หนิงเออร์ นางกำนัล รวมถึงตัวเจียวซินเห็นไปในทางเดียวกันว่า กลิ่นเหมยกุ้ย (ดอกกุหลาบ) และ กลิ่นโม่ลี่ (ดอกมะลิ) หอมมาก แล้วนางจะเลือกกลิ่นใดดี ยืนคิดได้ไม่นาน เจ้าของร้านจึงกระซิบบอกเป็นภาษาอังกฤษ
“เหตุใดท่านไม่ให้สามีท่านช่วยเลือกดูเล่า” เจ้าของร้านว่าแล้วก็ส่งยิ้มเขินมาให้เจียวซิน
“ท่าน…ท่านพี่” เจียวซินพูดตะกุกตะกักเพราะไม่รู้ว่านางจะใช้คำเรียกท่านอ๋องว่าอย่างไรดี
ท่านพี่ งั้นหรือ ท่านอ๋องจะอนุญาตให้นางเรียกเช่นนั้นได้หรือ
“เหตุใดเล่าท่านพ่อ เรากำลังละเล่นเป็นครอบครัวสุขสันต์กัน หากท่านพ่อ มิยอมแต้มหนวด ข้าว่าท่านแม่ไปหาพ่อใหม่ให้ข้ากับน้องเถิด ฮึกๆ” เฟยเฟิ่งที่ยังสวมบทบาทบุตรสาวพ่อค้าต่างเมืองทำท่าสะอึกสะอื้น“หาท่านพ่อใหม่เถิดท่านแม่ ฮึก” เฟยเทียนหันไปมองหน้าน้องชายตัวน้อย ที่ตอนนี้กำลังสวมบทบาทเป็นบุตรชายของเขาด้วยอีกคนอย่างเหนื่อยใจ ยุยงให้ชายาเขาหาสามีใหม่งั้นหรือ ฝันไปเถิด อย่าคิดว่าเขาจะยอม“แต้มลงมา แต้มลงมาเยอะๆ แล้วเจ้าก็ห้ามไปหาบิดาคนใหม่ให้บุตรของข้า หากข้ารู้พวกมันไม่ตายดีแน่!” ประโยคหลังเฟยเทียนจงใจกระซิบข้างหูของ เจียวซิน มิใช่เขาไม่รู้ว่าตอนอยู่ค่ายทหารนายกองหรงเข้ามาทักทายนาง จากที่เขารู้มาคุณชายหรงผู้นี้เข้านอกออกในบ้านสกุลจางบ่อยครั้งด้วยเพราะเป็นสหายของรองแม่ทัพซีห่าว คุณชายหรงต้องมีใจให้เจียวซินเป็นแน่หรือจะส่งนายกองหรงไปประจำการที่ชายแดนทางใต้ดีนะ“บิดาคนม่งคนใหม่อันใดของท่าน” เจียวซินรีบแต้มหมึกทำเป็นหนวดให้ท่านอ๋องจนแล้วเสร็จ ทั้งสี่คนจึงได้เดินทางไปตลาดเทียบท่าทันที“ท่านพ่อ น้องอยากทานสิ่งนั้น” เสียงเล็กเจื้อยแจ้วอยู่ในอ้อมแขนของ เจียวซินเอ่ยบอกเฟยเทียน เฟยเทียนมองไปที่แผงขายถ
“สิ่งนี้คืออันใดหยือ งดงามยิ่ง” เสียงเล็กเอ่ยถามเจียวซินที่ยื่นข้าวผัดมาตรงหน้า“เป็นข้าวผัด เจียวซินเข้าครัวทำเพื่ออาหลงโดยเฉพาะ น่าทานหรือไม่”“น่าทาน แต่ว่ามันมีผักน้องไม่ทานผัก มันขมมากๆ” องค์ชายน้อยทำหน้าแหยงเมื่อนึกถึงผักที่ตนเคยกินก่อนหน้า“ลองชิมดูก่อนเถิด ผักเหล่านี้หวานมิเหมือนที่อาหลงเคยทานเป็นแน่ ทานผักเมื่อเติบใหญ่จะได้แข็งแรง มีพละกำลัง” เจียวซินพยายามหลอกล่อให้อาหลงลองชิมดูก่อน แต่ทว่า…“องค์ชายหนิงหลงมิชอบ พระชายาจะไปบังคับได้อย่างไรเพคะ หม่อมฉันคีบเนื้อตุ๋นให้ดีกว่านะเพคะ” เจียวซินตวัดสายตาขึ้นมองอนุจ้งอย่างแข็งกร้าว จนอนุจ้งตกใจกลัวรีบหดมือเข้าหาตนเองทันที“ไม่ทานผักก็แข็งแรงได้ ดังเช่นท่านอ๋องเป็นแบบอย่าง” อันอ้ายฉิงเห็นช่องให้ทิ่มแทงเจียวซินจึงรีบพูดสอดเข้าไป ทั้งนางยังหมายจะเอาอกเอาใจเฟยเทียน ที่ไม่ชอบทานผักเช่นกัน เฟยเทียนที่ฟังอยู่เผลอไผลพยักหน้าเห็นดีไปกับคำพูดเหล่านั้นด้วยเหตุที่ตนก็ไม่ทานผักเช่นกัน แต่ก็ต้องชะงักนิ่งงันเมื่อเห็นว่าเจียวซินหันมาจ้องหน้าเขาเขม็ง ร่างกายที่ผ่อนคลายของเฟยเทียน ยืดตรง เกร็งขึ้นทันตาเห็น“พวกท่านนี่อย่างไร เป็นผู้ใหญ่แต่มิรู้ความ ม
“เหตุใดเจ้าต้องนอนตรงกลางหนิงหลง” เฟยเทียนพูดขึ้นมาอย่างฮึดฮัด เมื่อพบว่าบนเตียงมีน้องชายตัวน้อยนอนคั่นกลางระหว่างเขาและจางเจียวซินอยู่“เจียวซินบอกว่าน้องตัวน้อย ถ้านอนยิมๆ จะถูกเบียดโตกเตียงไปเลย” เมื่อฟังคำตอบจากน้องชายจึงรู้ต้นสายปลายเหตุคิดจะหลีกหนีข้าหรือ หึ!!“หนิงหลงเจ้าให้เจียวซินนอนริมเช่นนี้ หากตอนกลางคืนนางหนีกลับตำหนักเล่าจะทำเช่นไร” เฟยเทียนคว้าตัวน้องชายมากกกอด พร้อมกระซิบข้างหูน้องชาย องค์ชายตัวน้อยที่ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของพี่ชายจอมเจ้าเล่ห์ถึงกับชะงัก“ไม่สู้เราให้นางนอนตรงกลาง เจ้ากอดทางขวา พี่กอดทางซ้าย นางคงแอบหนีกลับตำหนักไม่ได้แล้ว” องค์ชายน้อยพยักหน้างึกงักอย่างเห็นด้วย เจียวซินได้แต่สงสัยว่าสองพี่น้องพูดคุยอันใดกันเหตุใดทำหน้าตาเคร่งเครียดเช่นนั้น“เจียวซิน น้องนอนยิมด้านในสุดดีกว่า น้องจะกอดเจียวซินทางขวา” องค์ชายน้อยย้ายตัวเองเข้าไปด้านในเรียบร้อย เจียวซินถึงกับอึ้งมิใช่ว่าตกลงกันแล้วหรือ เหตุใดอาหลงถึงทำกับเจียวซินเช่นนี้ได้เล่า“นอนลงได้แล้ว ข้าจะดับเทียนแล้ว” เฟยเทียนยิ้มกริ่ม นอนลงอย่างสบายอกสบายใจ ส่วนเจียวซินได้แต่ฮึดฮัดในใจแต่ก็ยอมเอนตัวนอนแต่โดยดี ร่
ด้านเฟยเทียนเมื่อได้รับจดหมายข่าวจากรองแม่ทัพซีห่าวก็ยินดีที่ รองแม่ทัพซีห่าวได้รับชัยในสงครามกับพวกนอกด่านครานี้และจะเดินทางกลับมาวังหลวงในอีกหนึ่งหนาวข้างหน้า ด้วยเหตุที่ว่าต้องช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากสงครามก่อนจะนำทัพกลับมาเมืองหลวง แต่ยินดีได้ไม่นาน รองแม่ทัพซีห่าวก็ได้รายงานเรื่องที่น่าหนักใจไม่น้อย เนื่องจากหน่วยลาดตระเวนของรองแม่ทัพซีห่าวได้ไปพบการซ่องสุมกำลังหลายพันคนบริเวณชายแดนทางเหนือเยื้องไปทางตะวันออกกำลังจะเริ่มแล้วสินะ“ท่านอ๋อง หม่อมฉันเข้าไปได้หรือไม่เพคะ” เสียงเจียวซินทำให้เฟยเทียนหลุดจากภวังค์“อืม เข้ามาได้…พวกเจ้าออกไปให้หมด” เมื่อเจียวซินเข้ามาเฟยเทียนจึงสั่งให้ทหารและหนิงเออร์ออกไปรอด้านนอก“มีอันใดหรือเพคะ” เจียวซินที่กำลังงุนงงกับคำสั่งของเฟยเทียนเอ่ยถามขึ้น“พี่ชายเจ้าเขียนจดหมายมาถึงเจ้า หากอยากอ่านก็เดินอ้อมมาตรงนี้” เจียวซินที่อยากอ่านจดหมายจากพี่ชายเดินอ้อมไปหาท่านอ๋อง แต่ทว่านางต้องตกใจเมื่อท่านอ๋องรวบตัวนางให้นั่งลงบนตักแกร่งตึกตักๆ ตึกตักๆ“อ๊ะ ท่านอ๋อง…ทำอันใดเพคะ ปล่อยหม่อมฉันเถิดเพคะ”“ข้าก็จะให้เจ้าอ่านจดหมายของพี่ชายเจ้าอย่างไร นั่งเช
“พอเท่านี้ก่อน เจ้าเตะต่อยได้ดีเช่นที่เคยโอ้อวดไว้จริงๆ” เฟยเทียนกล่าวหยุดการประลองในครานี้“เป็นเช่นนั้นเพคะ” เจียวซินยืดอกอย่างภูมิใจ ถือว่านางพอสู้คนได้ แม้จะเจ็บบ้างแต่ก็ไม่มากมายอันใด รอยฟกซ้ำเป็นเรื่องธรรมดาในตอนที่นางเรียนเทควันโดในโลกก่อน“แต่ท่วงท่าของเจ้าช่างประหลาดเหลือเกิน ไปเล่าเรียนจากที่ใดมาหรือ” คำถามของเฟยเทียนทำให้เหล่าทหารต่างพยักหน้าตาม พวกเขาเองก็อยากรู้เช่นกันเผื่อจะได้ไปเล่าเรียนดูบ้าง“เอ่อ เรียนจาก…จากตำราเพคะ มิได้มีผู้ใดสอนหม่อมฉันศึกษาด้วยตนเอง” เฟยเทียนยังไม่ทันได้เอ่ยถามต่อก็มีทหารคนหนึ่งเข้ามาเรียกเฟยเทียน“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ รองแม่ทัพซีห่าวส่งจดหมายมาพ่ะย่ะค่ะ”“ท่านพี่…” เจียวซินพึมพำขึ้น“เจ้าจะไปด้วยหรือไม่ ข้ากับห่าวซวนจะไปทำงานสักครู่” เฟยเทียนกล่าวถามเจียวซิน“หม่อมฉันขอเดินเล่นบริเวณนี้สักครู่นะเพคะ แล้วจะตามเข้าไป”“อืม ส่วนพี่ชายเจ้า หากเขาส่งจดหมายถึงเจ้าข้าจะนำมาให้” เฟยเทียนส่งสัญญาณให้องค์รักษ์เงาทั้งสามติดตามเจียวซินอย่างใกล้ชิด“ขอบพระทัยเพคะ” เมื่อเฟยเทียนเดินจากไป ก็มีทหารหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามา“พระชายา มิได้พบกันเสียนาน พระองค์สบายดีหร
“อันใดของเจ้า” เฟยเทียนถึงกับงุนงง นางยื่นมือมาให้เขาทำไมกัน หรือนางอยากทักทายแบบชาวตะวันตก คิดเช่นนั้นเขาจึงยื่นมือไปจับมือนาง“มิใช่เพคะ…หนึ่งตำลึงเงินเพคะ” เจียวซินเอ่ยทวงขึ้นมาอีกครั้ง“หนึ่งตำลังเงิน ทำไมงั้นหรือ” เฟยเทียนที่ยังงุนงงก็ถามกลับ“ก็ค่าน้ำชากับขนมอย่างไรเพคะ นี่หม่อมฉันนำมาให้ตั้งสองชุด อีกอย่างนะ เพคะ…ขนมนี้หม่อมฉันเข้าครัวเองเลยนะ ดูนี่ อันที่บิดๆ เบี้ยวๆ นี่หล่ะที่หม่อมฉันทำ หนึ่งตำลึงเงินถือว่าลดราคาแล้วเพคะ” เจียวซินอธิบายร่ายยาวเป็นแถบ“ห๊า!! ค่าขนมกับน้ำชา ทั้งที่เงินซื้อวัตถุดิบต่างๆ เป็นเงินข้า ข้ายังต้องจ่ายให้เจ้าอีกหรือ”“ก็ค่าทำ ค่าขนส่งอย่างไรเพคะ…พูดเช่นนี้ท่านจะกินแล้วไม่จ่ายหรือ” เจียวซินลุกขึ้นเท้าสะเอวจ้องท่านอ๋องตาเขม็ง ราวกับยักษ์ที่กำลังเกรี้ยวโกรธ“เห้อออ…จ่ายๆ นี่หนึ่งตำลึงเงินของเจ้า” เฟยเทียนถึงกับถอนหายใจ“ขอบพระทัยเพคะ ท่านอ๋องมีสิ่งใดเรียกใช้หม่อมฉันได้นะเพคะ คิดเพียงงานละหนึ่งตำลึงเงินเท่านั้น ท่านขันทีกับท่านห่าวซวนก็ด้วยเรียกใช้ข้าได้ๆ” เมื่อได้เงินก็ยิ้มแย้มราวกับร่างยักษ์เมื่อครู่มิได้มีอยู่จริง“เป็นถึงชายาเอกของข้าเจ้าจะให้ผู้อื่นเ