คุณหนูลำดับที่ห้าของท่านนายอำเภอจางแห่งแคว้นฉู่ หนึ่งในหกแคว้นภายใต้การปกครองของอาณาจักรต้าเหลียง ดินแดนที่ไม่เคยมีในแผนที่ยุค 2022 ที่ตะวันฉายเคยอยู่แม้แต่น้อย ซึ่งหากคนไม่โง่เท่าไรก็คงพอจะเดาชะตากรรมของตัวเองได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว
...เธอตกบันไดเวทีจนคอหักตาย!...
“ดีออก! ยายปานฤดี ร้าย ยายคนอำมหิต! แค่ฉันได้ค่าตัวแพงกว่า มีงานมากกว่า ก็ถึงกับอิจฉาผลักฉันตกบันไดจนคอหักตายนางบ้า เงินที่เก็บฉันก็ยังไม่ได้ใช้ ผัวก็ยังไม่เคยลองมี ดีออก!”
หญิงสาวสบถพ่นคำด่าทอออกมาแล้วก็ก้มลงไปมองช่วงล่างพลางนึกไปถึงร่างเก่าที่เฝ้าถนอมอย่างดีมาถึงยี่สิบเอ็ดปีเต็ม พลันนั้นความเสียดายก็พุ่งจู่โจม ตายทั้งที่ยังไม่เคยเปิดซิงทดลองของดีที่แม่ให้มาเลยสักหนเดียว!
“ปวดใจจริง ๆ เลยนางตะวันเอ๊ย...จะตายทั้งทีเงินที่เก็บก็ไม่ได้ใช้ ซิงก็ไม่ทันได้เสีย อะไรมันจะเสียชาติเกิดขนาดน้าน!”
“อุ๊ย! คุณหนูห้าท่านตื่นแล้ว”
คงเพราะมัวเสียดายช่วงล่างของร่างเก่าดังไปหน่อยแม่สาวใช้ต้นห้องนาม ‘ฟางปี้เหลียน’ นางจึงตื่นขึ้นมา แต่พอตะวันฉายหรือบัดนี้ก็คือ ‘จางเยว่เซียง’ บุตรลำดับที่ห้าของท่านนายอำเภอจางเสียนอี ก็พลันนึกขึ้นได้ถึงการฟื้นขึ้นมาครั้งแรกแล้วแม่สาวใช้ตัวดีกรีดร้องออกไปจนคนทั้งจวนแห่งนี้แห่กันมาแล้วมีสภาพเช่นไร นางก็เร่งกระโดดลงไปตะครุบปิดปากกว้างเสียงใสของอีกฝ่ายทันควัน
“อย่าเอ็ดไปสิปี้เหลียน! เจ้าอยากให้ท่านย่าแบกไม้หน้าสามมาฟาดหน้าข้าอีกหรือไร”
ไม่ทราบได้ว่าสาวใช้นางนี้มารดาเลี้ยงมาด้วยดอกลำโพงหรือไรจึงเสียงดีเหลือเกิน ซึ่งพอคุณหนูห้าผู้เรียบร้อยอ่อนโยนนุ่มนิ่มราวคนไร้กระดูกวันนี้กระโดดแทบเสยก้านคอของตนเองไม่พอยังพูดจาแจ่มชัดไม่ใช่พูดหนึ่งครั้งนางต้องตะแคงหูฟังแล้วถามซ้ำไปอีกห้ารอบจึงรู้ความกันสักครั้ง ฟางปี้เหลียนก็ตกตะลึงตาค้างไปครู่หนึ่งก่อนจะได้สติแล้วส่งสัญญาณมือว่านางจะไม่ตะโกนเสียงดังปลุกคนทั้งจวนอีกแล้ว
“เจ้าไม่ตะโกนแล้วแน่นะ?”
ซึ่งฟางปี้เหลียนก็พยักหน้าว่าตกลง จางเยว่เซียงคนใหม่จึงยอมปล่อยมือ พอนั่งพักหายใจจนสงบ พลันท้องน้อยของจางเยว่เซียงก็ปวดจี๊ดบอกเป็นภาษากายว่าอยากขับน้ำเสียออกจากร่างกายแล้ว มองไปโดยรอบก็ไม่เห็นจะมีห้องน้ำ แต่คิดอีกทีที่แห่งนี้มันคือยุคโบราณจะมีส้วมในห้องนอนคงเป็นไปไม่ได้
“ปี้เหลียนข้าปวดฉี่”
“???”
เครื่องหมายคำถามเป็นงองูขึ้นเต็มหน้าผากของสาวใช้ตัวดีทันที จางเยว่เซียงหรือตะวันฉายจึงต้องเรียบเรียงคำพูดเสียใหม่ปวดฉี่มันคงล้ำยุคเกินไป เด็กสาวคงไม่เข้าใจ
“ข้าปวดเบา”
“อ้อ...รอสักครู่เจ้าค่ะ ปี้เหลียนจะไปหยิบกระโถนมาให้”
จางเยว่เซียงระบายลมหายใจโล่งอก แต่เพียงครู่ปัญหาใหม่พลันบังเกิดหากต้องฉี่ในกระโถนแล้ววางเอาไว้ในห้อง นางมิต้องทนดมกลิ่นของเสียของตนเองจนสมองฝ่อหรือไร?
“ข้าไม่เอากระโถนข้าจะไปห้องน้ำ”
“????”
สาวใช้คนเก่งมองผู้เป็นนายอย่างอึ้งและทึ่งเพราะไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายสื่อ ปวดฉี่แทบเล็ดแต่พูดสื่อสารกับสาวใช้ก็ยังไม่เข้าใจ นางร้ายผู้ข้ามภพอยากวิ่งเอาหัวโขกกับต้นเสาให้ตายเหมือนในซีรีส์ ติดที่ว่ากลัวสมองจะกระทบกระเทือนจนโง่หนักกว่าเก่าจึงตัดสินใจไม่ทำเช่นนั้นแล้วหันมาเรียบเรียงคำพูดเสียใหม่ว่า ‘ห้องน้ำ’ ในยุคนี้เขาเรียกว่าสิ่งใด
“สุขา...ข้าจะไปห้องสุขาที่เขาเอาไว้ปลดทุกข์น่ะ”
แล้วกว่าจะสื่อสารกันเข้าใจจางเยว่เซียงก็เดินเสียทรงยิ่งกว่าเป็ดเป็นตะคริว เพราะกลัวว่าตนเองจะเก็บกลั้นปัสสาวะที่เป็นของเสียยามนี้ไปปล่อยให้ถูกที่ถูกทางไม่ทันนั่นเอง พอได้ปลดปล่อยของเสียออกไปนางจึงโล่งกิริยา ในยามเดินขากลับนั้นจึงผิดไปราวกับเมื่อครู่นี้หาใช่คนเดียวกัน
“คุณหนูห้าหิวหรือไม่เจ้าคะ”
พอใกล้ถึงห้องนอนฟางปี้เหลียนก็พลันนึกได้ว่าคุณหนูของนางสลบไปตั้งสองวันอาจจะหิวแล้วก็เป็นไปได้ ซึ่งก็จริงพอสาวใช้ตัวน้อยถามท้องเจ้ากรรมก็ร้องตอบไปก่อนปากเสียอีก
“มีอะไรก็ยกมาเลย”
ไหน ๆ ก็ไม่ใช่ดาราที่ต้องระวังและควบคุมเรื่องการกินแล้ว มื้อแรกของภพนี้นางก็ขอจัดหนักสักมื้อเถิด ก็คนเราต้องท้องอิ่มสมองมันถึงจะแล่น แล้วเมื่อกินอิ่มสมองของนางก็แล่นฉิวจริงเสียด้วย ในขณะที่จางเยว่เซียงทิ้งกายนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงจนฟางปี้เหลียนคิดว่าคุณหนูห้าของนางหลับไปแล้ว นางจึงแยกไปนอนบริเวณหน้าเตียงของผู้เป็นนายอีกครั้ง ทว่าแท้จริงแล้ว จางเยว่เซียงคนใหม่กำลังเรียงลำดับภาพในหัวอีกครั้ง
หลังจากได้เริ่มเรียงลำดับภาพในความทรงจำอีกครั้ง จึงได้ความกระจ่างว่าท่านนายอำเภอจางเสียนอีนั้นมีบุตรสาวสามคน มีบุตรชายสามคน ซึ่งทั้งสามคนนั้นดันกลับมีวาสนาน้อยคลอดออกมาไม่เกินสามเดือนก็ต่างตายลงไปทั้งสามคน จึงเหลือเพียงจางเยว่ซินคุณหนูสี่กับนางจางเยว่เซียงคุณหนูห้า ส่วนคุณหนูหกนั้นยังเล็กวัยเพียงสามขวบปีและยังเป็นบุตรที่เกิดจากภรรยาใหม่ของท่านนายอำเภอจางที่เพิ่งแต่งเข้าจวนได้ไม่กี่หนาวที่ผ่านมานี้เอง
ถึงจางเยว่ซินและจางเยว่เซียงจะเป็นฝาแฝดที่เกิดห่างกันเพียงสองชั่วยาม แต่ท่านฮูหยินผู้เฒ่า หรือเหล่าฮูหยินจาง หรือหญิงชราที่จะเอาไม้หน้าสามมาฟาดศีรษะนางในช่วงกลางวันที่ผ่านมานั้น แท้จริงนางก็คือท่านย่าของเด็กสาวทั้งสอง ทว่ากลับรักลำเอียงเลี้ยงดูเพียงจางเยว่ซิน ปล่อยจางเยว่เซียงให้มารดานั้นได้เลี้ยงดูเอาเอง ซึ่งที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะส่วนหนึ่งไม่ชอบสะใภ้เช่นเกาเยว่เหนียงที่เป็นเพียงลูกสาวชาวนาผู้หนึ่ง
ด้วยเพราะบุตรชายไม่ยอมแต่งภรรยารองเข้าจวนอีก หญิงชราที่หมายตาคุณหนูตระกูลดีหวังส่งเสริมหน้าที่การงานบุตรชายจึงยิ่งไม่พึงใจ แล้วยิ่งหลานชายที่คลอดออกมาคนแล้วคนเล่ากลับตายลงไปจนเหลือเพียงหลานสาวสองคน หญิงชราเลยชิงชังสะใภ้หนักขึ้นไปอีก และกล่าวหาว่าเกาเยว่เหนียงเป็นสตรีอัปมงคล
และคงเพราะอยู่อย่างลำบากใจในที่สุดนางเลี้ยงลูกสาวเช่นจางเยว่เซียงได้เพียงเข้าวัยสิบสองขวบปีก็จากไป จนผ่านไปหนึ่งปีฮูหยินผู้เฒ่าจางจึงบีบน้ำตาขู่จะปลิดชีพตนเองหากท่านนายอำเภอจางไม่ตบแต่งฮูหยินคนใหม่เข้ามาเพื่อจะได้มีทายาทสืบสกุลจาง
สุดท้ายบุตรชายย่อมทนเห็นมารดาตายไม่ลง จึงยินยอมแต่งฮูหยินจางคนใหม่ที่ครั้งนี้เป็นเหล่าฮูหยินจางนั้นเลือกเองกับมือเลยได้บุตรสาวของท่านโหวหลิว ที่นางนั้นนอกจากจะเป็นบุตรีของท่านโหวแล้ว ‘หลิวซือเยียน’ นางยังเป็นน้องสาวร่วมมารดาเดียวหลิวเต๋อเฟยเป็นหน้าเป็นตาให้สกุลจางสาสมใจอีกด้วย
แต่สุดท้ายผ่านไปสามฤดูหนาวเสี่ยวฮูหยินจางกลับคลอดบุตรสาวออกมาหักหน้าของหญิงชราจนไม่มีชิ้นดีจวบจนนี่ก็ผ่านมาถึงสามหนาวต่อมาเสี่ยวฮูหยินจางก็ไม่มีท่าทีว่าจะตั้งครรภ์อีกเลย แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่ค่อยจะเกี่ยวกับเจ้าของร่างนี้เท่าใด
หากว่าเมื่อสามเดือนก่อนท่านย่าจอมเจ้ากี้เจ้าการจะไม่พาจางเยว่ซินไปงานชมบงกชที่จวนสกุลรองของหนานเฉิงกั๋วกง ผู้เป็นหลานรักของไทเฮา แล้วความงดงามเกิดไปสะดุดตาของหนานเฉิงกั๋วกงหนุ่ม จนวันรุ่งขึ้นแม่สื่อก็ตามมาถึงจวนสกุลจางเจรจาสู่ขอโดยมิสอบถามความสมัครใจของจางเยว่ซินเลยสักครึ่งคำ ว่านางเต็มใจจะแต่งให้กั๋วกงหนุ่มหรือไม่
ดังนั้นจึงทำให้คนที่ตลอดมาถูกท่านย่าของนางเลี้ยงดูอย่างตามใจ สิ่งใดหลานสาวทำผิดก็มักพลิกคดีเป็นหลานสาวในดวงใจนั้นถูกเสมอนั่นจึงทำให้นางเสียผู้เสียคนถึงขั้นคิดการใหญ่หวังจะแอบหนีตามบุรุษที่ตนเองรักไปเสียก่อนวันงานวิวาห์ แล้วทิ้งเอาไว้เพียงปัญหาใหญ่ให้บิดารวมถึงคนสกุลจางนั้นต้องรับผิดชอบและกลัดกลุ้ม แทบล้มประดากันไปเอง
ทว่าหากนั่นคิดว่าจางเยว่ซินร้ายกาจ และคิดเห็นแก่ตนแล้วก็เหมือนจะยังดูเบาคุณหนูสี่ผู้นั้นเกินไปเสียแล้ว เพราะบังเอิญหรืออาจเป็นโชคร้ายเป็นคราวเคราะห์หรือชะตาของจางเยว่เซียงคงถึงฆาต เด็กสาวบังเอิญไปเก็บดอกบัวที่บึงด้านหลังจวนเลยพบเห็นการหลบหนีนั้นเมื่อสามวันก่อน คนนิสัยนิ่มนุ่มและซื่อตรงย่อมห้ามปรามพี่สาว มิคาดจางเยว่ซินกลับลงมือใช้ดุ้นฟืนฟาดเข้าที่ท้ายทอยของผู้เป็นน้องสาวอย่างจังในยามที่จางเยว่เซียงนั้นหันหลังเตรียมวิ่งกลับไปเรียกคนมาสกัดหนทางหนีของคุณหนูสี่ มิให้นางหนีงานมงคลไปได้
จนกายเล็กนั้นทรุดลงหมดสติไปทันที และแทนที่จางเยว่ซินเห็นเช่นนั้นจะเร่งหนีไป นางกลับเรียกให้ชายคนรักที่เป็นท่านพ่อบ้านใหญ่นั้นเข้ามาช่วยกันจับร่างหมดสติของฝาแฝดคนน้องโยนลงบึงบัว หวังให้จางเยว่เซียงตายลงไปเสีย นางจะได้ไม่ไปบอกบิดากับท่านย่าว่านางนั้นหนีไปกับท่านพ่อบ้านที่แก่คราวบิดาผู้นั้น
ทว่าเสียงของหนักตกลงไปในบึงเรียกให้ฟางปี้เหลียนที่เพิ่งตามผู้เป็นนายสาวมาช่วยเก็บดอกบัวจึงเร่งวิ่งมาดู พอเห็นอาภรณ์คุ้นตาลอยไหว ๆ อยู่ในบึงพร้อมมีโลหิตสีแดงเริ่มแผ่กระจายในบึงน้ำขนาดใหญ่ นางจึงตะโกนเรียกหาคนงานมาช่วย แต่อนิจจาเด็กสาวคนซื่อเช่นจางเยว่เซียงกลับจบชีวิตลงไปในวัยเพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น
“นี่มันชีวิตจริงยิ่งกว่าละครชัด ๆ”
คนที่เพิ่งเรียงลำดับภาพในหัวดังต่อจิ๊กซอว์จนครบพึมพำออกมาอย่างยากจะเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ เพราะทดลองหยิกตนเองไปหลายสิบครั้งก็เจ็บมันทุกครั้ง! จะเป็นอันใดไปได้อีกหากมิใช่นางได้มาเกิดใหม่อยู่ในร่างของสตรีอาภัพนามจางเยว่เซียงเสียแล้ว เงินก็ไม่ทันได้ใช้ ผู้ชายก็ยังไม่เคยตกถึงท้อง กลับต้องตายกลายมาเป็นเด็กสาวนุ่มนิ่มนางนั้น
...กรรมหรือเวรใดกำหนดกันเล่า?...
บทส่งท้ายวันเวลานั้นช่างมิเคยหยุดรอผู้ใด บัดนี้ชีวิตใหม่ของอดีตนางร้ายข้ามภพเช่นจางเยว่เซียงหรือก็คือหนานเฉิงกั๋วกงฟูเหรินเผลอไปเล็กน้อย บัดนี้ก็ผ่านมาถึงเจ็ดหนาวเข้าไปแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาก็เป็นเช่นปุถุชนทั่วไปนั่นก็คือมีทั้งสุข และทุกข์ยากผสานกันไป บุตรชายฝาแฝดทั้งสองคนของนางคลอดออกมาอย่างปลอดภัยหลังจากพิธีแต่งงานของซั่วเจา และฟางปี้เหลียนผ่านไปได้ราวสองเดือน สวีฉีเฟิ่งคือคนที่ดีใจจนน้ำตาไหลในยามที่เขาได้โอบอุ้มเด็กแฝดสองคน และตลาดเจ็ดหนาวที่ผ่านมา 'สวีเฉิงซี' และ 'สวีเฉียวฟ่าน' ก็แข็งแรง และฉลาดเฉลียวสมวัย มิมีสิ่งใดผิดปกติเช่นที่นางกังวลมาตลอดหลังจากตนเองถูกวางยาในคราวนั้น ส่วนฟางปี้เหลียน และซั่วเจาอีกสองหนาวหลังจากแต่งงานกัน พวกเขาก็ให้กำเนิดบุตรสาวหนึ่งคน และอีกห้าหนาวต่อมาก็เป็นบุตรชายอีกหนึ่งคน ครอบครัวแซ่ซั่วจึงอบอุ่นมีความสุขกันตามประสา ส่วนนางเมื่อหนึ่งหนาวก่อนก็เพิ่งให้กำเนิดบุตรสาวมาเป็นแก้วตาให้กับบุรุษแซ่สวีทั้งสาม และตัวของนางเอง ชีวิตของหนานเฉิงกั๋วกงสวีนั้นเจ็ดหนาวผ่านมาก็ยังคงต้องเดินทางหนึ่งหนาวแทบมิได้หยุดหย่อน ซึ่งในบางครั้งนางก็ติดตามเขาไปบ้าง แต่บางครั้งก็รั้
ตอนพิเศษ2ราวครึ่งชั่วยามฟางปี้เหลียนก็ก้าวเท้าออกจากห้องอาบน้ำด้านหลังมาพร้อมกับผ้าเช็ดตัวผืนที่พันพันห่อรอบศีรษะ เพราะนางทนไม่ไหวจำต้องสระผมด้วย ชายของเสื้อคลุมตัวที่นางสวมนั้นสั้นเพียงโคนขาเรียวเปิดเผยให้เห็นช่วงขาอ่อนวับแวม ส่วนหัวไหล่นวลเนียนลาดลงมารับกับเนินอกอันอวบอิ่มนั้นถูกเนื้อผ้าของเสื้อคลุมปกปิดมิดชิดเช่นปกติ ฝ่ายเจ้าบ่าวที่นอนรอท่าอยู่แล้ว เมื่อเห็นเจ้าสาวของตนเดินออกมาจากห้องอาบน้ำเกือบจะถึงฉากที่กางกั้นเอาไว้สำหรับแต่งกาย เขาก็ลุกพรวดพราดขึ้นตรงไปประคองร่างงาม พลางโอบกอด และซบจมูกลงตรงช่วงลำคอขาวเนียนแล้วไถลเลยไปถึงลาดไหล่ "อะ!...ดะ...เดี๋ยวสิเจ้าคะ ขออาเหลียนสวมอาภรณ์ และเช็ดผมให้แห้งเสียก่อน" ถึงนางจะอาบน้ำถ่วงเวลาทำใจมาเป็นครึ่งชั่วยามแล้วโดยแท้ ทว่าเพียงเขาจู่โจมนางกลับสะท้านเยือกกับเคราเขียวที่เพิ่งโกนของเจ้าบ่าวซึ่งเสียดสีกับเนื้ออ่อนนุ่มบริเวณลำคอ"มิต้องสวมแล้ว สวมไปก็ถูกข้าถอดออกอยู่ดี" คนอดทนรอให้ถึงราตรีนี้มาหลายเดือนกล่าวทึ่มทื่อมิอ้อมค้อมสักน้อยจนฟางปี้เหลียนนั้นเขินอายใบหน้าร้อนผ่าวจึงอดจะบ่นพึมพำเสียมิได้ "ท่านพี่น่ะ!" ทว่านางพึมพำออกมาได้เพียงเท่านั
ตอนพิเศษ1เข้าเดือนสี่หิมะเริ่มสลาย กลีบดอกเหมยก็ร่วงโรยใกล้หมดต้น บ่งบอกว่าบัดนี้เข้าสู่ปลายฤดูหนาว และคงกำลังจะเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิมาเยือนแผ่นดินต้าเหลียงแล้ว วันที่จวนสวีกลับคึกคักอย่างยิ่ง ทั่วบริเวณเนื้อที่กว่าหนึ่งร้อยหมู่บัดนี้ถูกตกแต่งประดับประดาด้วยสีแดงระยิบระยับสดใสแสบตา เพราะวันนี้กำลังจะมีงานมงคลเกิดขึ้นนั่นเอง ซึ่งงานวิวาห์ในวันนี้นั้นจะเป็นของผู้ใดไปมิได้นอกจากท่านหัวหน้าซั่วเจาหนุ่มวัยฉกรรจ์ผู้เยือกเย็น กับแม่นางฟางปี้เหลียน คนสนิทของทั้งนายท่านสวี และนายหญิงสวีนั่นเอง แขกเหรื่อนั้นคราวแรกทั้งเจ้าบ่าว และเจ้าสาวมิคาดว่าจะมากมายเพราะทั้งคู่มิใช่คนมีฐานันดรอันใด ผู้เป็นฝ่ายเจ้าสาวนั้นนางเป็นเพียงสาวใช้กำพร้า มีญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวคือท่านหมอฟางผู้แก่ชรามากแล้ว ส่วนฝ่ายเจ้าบ่าวนั้นคงมิต้องกล่าวเพราะมีเพียงสวีฉีเฟิ่ง พ่อบ้านซูจิ้งเหยา เฉาคุน ติงฮ่าว และเหิงเซา เท่านั้นที่เหลือก็เป็นลูกน้องใต้ปกครองอีกราวสองร้อยกว่าชีวิตที่ยังอยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น แต่บัดนี้กลับมีแขกมาร่วมงานนับแล้วคงเกินห้าถึงหกร้อยคน ซึ่งในคราวนี้เพราะเวลาถูกเลื่อนมาจากกำหนดเดิมถึงสามเดือนกว่า ทางสกุ
ตอนที่ 50และแล้วพ้นผ่านไปเพียงหนึ่งวัน ข่าวจากวังหลวงก็เริ่มทยอยส่งมาให้สวีฉีเฟิ่งได้ทราบ เริ่มจากตำหนักลี่ฮวาของเฉียนเต๋อเฟยที่อยู่ ๆ ก็เกิดเพลิงไหม้จนวายวอด คนเกือบทั้งตำหนักตายลงสิ้น ทั้งที่นี่คือฤดูหนาวหิมะหนาแน่น แต่ต่อให้เป็นฤดูฝนน้ำมาก แต่หากเป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้ อยากให้มอดม้วยมลายสิ้นก็ต้องเป็นไปตามนั้น ส่วนเด็กสาวที่กวนเหยานักฆ่าสาวผู้นั้นฝากฝังเอาไว้ แน่นอนว่าต้องได้รับการช่วยเหลือตามคำพูดที่เขาได้รับปากคนตายไปแล้ว เพียงแต่ช่วยเหลือนางออกมาแล้วเขาก็จัดการส่งไปยังโรงเตี๊ยมของสกุลสวีให้นางเลือกว่าจะทำงานใดเลี้ยงชีพตนเอง แล้วลำดับต่อมาก็เป็นสกุลเฉียนที่ถูกข้อหายั่วยุองค์ชายสี่ทำการก่อกบฏคิดลอบปลงพระชนฮ่องเต้ ห้าร้อยเจ็ดสิบสามคนถูกประหารจนสิ้น ส่วนองค์ชายสี่ถูกเนรเทศไปอยู่ชายแดนฝั่งเยี่ยนเป่ยตลอดชีวิตมิอาจกลับมาเหยียบเมืองหลวงได้อีกต่อไป ส่วนทางด้านเหยียนเหม่ยซินนั้นได้คลอดบุตรออกมาเป็นหญิง และเพื่อความบริสุทธิ์ไร้ข้อกังขา ฮ่องเต้จึงประทานหมอหลวงให้ไปพิสูจน์สายเลือดถึงหกคนว่าที่แท้บิดาของเด็กน้อยนั้นเป็นสวีฉีเฟิ่งจริงหรือไม่ ซึ่งย่อมแน่นอนว่าไม่ใช่ แล้วความจริงที่ว่าเหยีย
ตอนที่ 49...ตำหนักฉางชุน... กายแกร่งของหนานเฉิงกั๋วกงหนุ่มก้าวผ่านโค้งประตูของตำหนักใหญ่ที่มีทหารองครักษ์ และขันทีมากมายคุ้มกันแข็งขันสมกับเป็นตำหนักของมังกรแห่งต้าเหลียง “ฝ่าบาท หนานเฉิงกั๋วกงมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีคนสนิทเร่งเข้าไปโค้งกายกระซิบกระซาบบุรุษในอาภรณ์ลำลองมิได้เต็มพิธีการเช่นในยามออกว่าราชการยังท้องพระโรงใหญ่ของมหาราชวัง “อืม…ให้เขาเข้ามาได้” ผู้กำลังเคร่งเครียดอยู่กับม้วนฎีกามากล้นเอ่ยอนุญาตโดยมิได้ละสายตาจากงานในมือแม้แต่น้อย “ฉีเฟิ่งถวายพระพรฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” กายสูงใหญ่ของหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบเอ็ดหนาวผู้อยู่ด้านหลังโต๊ะทรงงานเงยหน้าขึ้นจากกองฏีกามากมายตรงหน้าได้ในท้ายที่สุด เมื่อคนที่เขาทราบดีอยู่แล้วว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งสวีฉีเฟิ่งนั้นจะต้องมาเข้าเฝ้าเป็นแน่ เพราะข่าวคราวการสูญเสียเลือดเนื้อเชื้อไขไปมิใช่อันใดที่บุรุษจะยอมรับได้ “แวะมาพบข้าได้สักครานะเฟิ่งเอ๋อร์ มานั่งตรงนี้พูดจากันให้ดีเถิด” หากเรียกกันเช่นนี้ย่อมหมายความว่าฮ่องเต้มิต้องการพูดคุยกันอย่างฮ่องเต้กับขุนนาง แต่เขาคงต้องการพูดคุยกันอย่างญาติสนิทมากกว่า แต่จะฐานะใดวันนี้สวีฉีเฟิ่งจะมิอ่อนข้อเด็ดข
ตอนที่ 48พอเขาขยับกายโอบอุ้มผู้เป็นภรรยา ก็สัมผัสได้กับความเปียกชื้นบ่งบอกชัดเจนถึงของเหลวจึงยกมือขึ้นมาดู ภาพหยาดโลหิตสีเข้มพร้อมกลิ่นคาวกลับทำเอาเขาอุทานลั่นพลางหน้าตาซีดเซียว ส่วนหัวใจนั้นเจ็บปวดราวกับถูกมือขนาดยักษ์ยื่นมาบีบบี้ขยี้จนแหลกเหลวกลายเป็นน้ำเสียแล้ว …ไม่นะเจ้าก้อนขนมทังหยวน (ขนมบัวลอย) ของบิดา เจ้าอย่าเป็นอันใดไปนะ!… “นายท่านเร่งพานายหญิงไปด้านในก่อนเถิดขอรับ อาเหลียนเร่งไปตามท่านพ่อบ้านใหญ่มาเร็วเข้า” เป็นซั่วเจาที่มีสติมากกว่าผู้เป็น ‘นายท่าน’ เขาจึงร้องเตือนทางสวีฉีเฟิ่ง เสร็จแล้วหันไปร้องบอกให้ฟางปี้เหลียนเร่งไปตามผู้มีความรู้ทางการแพทย์เช่นซูจิ้งเหยามาดูอาการของจางเยว่เซียงก่อนที่ท่านหมอจะมาถึงจวน “ท่านพี่…” จางเยว่เซียงนั้นเกร็งมือกำหน้าอกเสื้อของสามีเอาไว้แน่นจนเห็นข้อนิ้วขาว พยายามกัดฟันอดทนต่อสู้กับความเจ็บปวดที่บีบรัดรุนแรงในช่องท้อง นางพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วปล่อยออกสุด หวังบรรเทาอาการปวดนั้นมิให้กัดกินสติของนางจนสิ้นนั่นเอง ส่วนภายในใจนั้นจางเยว่เซียงนั้นกลับกังวลห่วงใยลูกน้อยที่นางเพิ่งทราบว่ามีเขามาอยู่ด้วยเพียงสองเดือนเท่านั้น แต่บัดนี้นางกำลัง