ภายในห้องโดยสารบนรถม้า ไซรัสเคาะบัตรเชิญงานเลี้ยงที่คฤหาสน์เจ้ากรมการคลังในมือไป ภายในใจก็จินตนาการภาพงานเลี้ยงระดมทุนไป ยิ่งจินตนาการมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสงสัย ว่าคืนนี้ เขากับ ลูคัส ที่วันนี้รับบทผู้ติดตาม จะต้องอดทนเข้าสังคมชั้นสูงของเวเนเซียนานแค่ไหน
พ่อค้าหนุ่มเหลียวมองผู้ติดตามที่นั่งตัวเกร็งอยู่บนที่นั่งฝั่งตรงข้ามแล้วเหยียดยิ้ม อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าแม้แต่ลูคัสที่ดูจะมีท่าทีสงบ คุ้นชินเรื่องวิถีชนชั้นสูงที่สุดในบรรดาผู้ติดตามทั้งหมด แถมยังเข้ากันกับลูกค้าชั้นสูงได้อย่างดีเยี่ยม ยังรู้สึกอึดอัดกังวลได้ขนาดนี้ คำเล่าลือที่ว่าอาณาจักรนี้เป็นอาณาจักรบ้าพิธีรีตองจนน่าเบื่อ คงเป็นเรื่องจริง
“ทำใจให้สบายเถอะ ถ้าอึดอัดก็เดินเข้าไปในงานแค่พอเป็นพิธี ทนไม่ไหวเมื่อไหร่ก็หลบออกมานั่งรอที่รถม้าก็ได้” ไซรัสบอกผู้ติดตามเรียบๆ เรียกรอยยิ้มโล่งใจให้ผุดพรายบนใบหน้าคนฟัง
ท่ามกลางความเงียบงันในบทสนทนา รถม้าเนื้อไม้สีดำสนิท แกะสลักขอบบนและล่างตัวห้องโดยสารด้วยลวดลายคล้ายน้ำเต้า...ผลไม้จากแดนใต้เรียงซ้อนกันเป็นแถวตามแนวยาว เคลื่อนไปตามถนนปูอิฐอย่างไม่เร่งรีบ ส่งผลให้ผู้โดยสารทันได้ยินเสียงนิทานเพลงที่เป็นที่นิยมในช่วงนี้
‘ภาคกลางมีท่านหญิงดอกกุหลาบทะเลทราย...
มารดานางตายจากแต่ยังเยาว์
บิดามากภาระฝากแม่เลี้ยงเลี้ยงดูเจ้า
เรื่องน่าเศร้าจึงเกิดขึ้นกับโฉมตรู’
“ท่านหญิงกุหลาบทะเลทราย...” ไซรัสพึมพำชื่อที่ได้ยินเบาๆ
“ท่านว่าคุณหนูอัยน์นาจะเข้าร่วมงานเลี้ยงระดมทุนนี่ด้วยรึเปล่า” คำถามจากลูคัส ทำเอาดวงตาสีเทาที่ปกติจะนิ่งเฉยเหมือนปลาตายเกิดมีประกายวูบไหวขึ้นมา
ยิ่งนึกถึงดวงตาหลากอารมณ์คู่นั้น เลือดในกายก็พลันฉีดพล่านอย่างน่าพิศวง
“ข่าวว่าพวกแกรนเทรนท์พยายามแก้ข่าวกันน่าดู” ลูคัสยังคงกล่าวต่อไป “น่าทุเรศนัก กลั่นแกล้งรังแกเขาจนผู้คนเล่าลือไปทั่ว พอรู้สึกว่าเรื่องที่ทำทำให้ตัวเองเสื่อมเสียก็รีบออกมาแก้ตัวด้วยการแสดงละครให้ใครใครเห็นว่าเรื่องราวไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ข้ามีคนรู้จักทำงานในคฤหาสน์แกรนเทรนท์ นางเล่าว่าจนถึงเดี๋ยวนี้ คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องไปๆ กลับๆ ระหว่างเรือนคนรับใช้กับตึกใหญ่เพราะโดนเรียกใช้อยู่เนืองๆ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็ยังคงได้ใช้เฉพาะของที่พี่สาวต่างมารดาอย่างท่านหญิงพริสซิลล่ากับท่านหญิงแอนนาเบลทิ้งแล้วเท่านั้น”
“แม้แต่เจ้าก็ยังชื่นชมท่านหญิงกุหลาบทะเลทราย” ไซรัสออกความเห็นสั้นๆ แล้วเปิดกล่องไม้ในมือตรวจสอบความเรียบร้อยของของขวัญ
“จะบอกว่าท่านไม่สนใจนางงั้นสิ?” ลูคัสเลิกคิ้วถาม
“เจ้าคิดว่าท่านเจ้ากรมการคลังเป็นคนแบบไหน”
ลูคัสหัวเราะหึ “เปลี่ยนเรื่องชัดๆ ท่านนี่ก็แปลกคน หรือรสนิยมท่านจะแตกต่างจากคนอื่น ท่านไม่ชอบผู้หญิงสาวๆ สวยๆ รึไง ตั้งแต่ติดตามท่านมา จนถึงตอนนี้ก็เดือนกว่าแล้ว ข้ายังไม่เคยเห็นท่านชายตาแลผู้หญิงเลยสักครั้ง”
“มีสมาธิหน่อย ลูคัส เราอยู่ที่นี่ก็เพื่องาน”
“ชายคนนั้นเป็นคนกว้างขวางทีเดียว” ลูคัสหันมาออกความเห็นเรื่องงานด้วยสีหน้าอาบรอยยิ้มจางๆ “ดูเผินๆ เหมือนขุนนางใหญ่ใจซื่อที่ทำหน้าที่อย่างเด็ดขาด ตรงไปตรงมา แต่เบื้องหลังดูจะไม่เป็นอย่างฉากหน้า”
“ยังไง”
“คนคนนี้มักคบหาและอำนวยความสะดวกให้เฉพาะพวกที่ให้ผลประโยชน์งามน่ะสิ มันคล้ายๆ กับว่าคนที่ให้ผลประโยชน์จะได้สิทธิพิเศษหลายข้อ ครั้งนึง เจ้าของอาคารหลังที่ท่านซื้อมาก็เคยได้รับสิทธิพิเศษมากมาย แต่หลังจากที่เขาตกอับ สิทธิพิเศษที่เคยได้ ตั้งแต่ช่องทางทำการค้าตลอดจนการงดเว้นภาษีก็สูญสลายไปพร้อมๆ กับความรุ่งเรืองในอดีต”
“ขุนนางพ่อค้า” ไซรัสนิยาม
“ใช่ เป็นพ่อค้าที่ค้าขายผลประโยชน์เป็นหลัก”
“คุณ...” เธอพยายามคุมน้ำเสียงให้ฟังดูนุ่มนวลเหมือนปกติ ทั้งๆ ที่รู้สึกเหมือนโดนขัดคอเพราะประโยคนั้น “หลงทางเหรอคะ”“ไซรัสครับ”“ค่ะ...ใครใครก็เรียกคุณว่าไซรัส ดิฉันจำได้” ปากตอบด้วยท่าทีสงบ แต่สายตาอยู่ไม่สุขกลับเผลอจ้องริมฝีปากเขาแล้วนึกถึงเรื่องในสระน้ำขึ้นมา “มาธากับเพื่อนๆ บอกว่าคุณอาจจะมาตรวจสอบความพึงพอใจลูกค้าด้วยตัวเอง...แล้วคุณก็มาจริงๆ”“ครับ” เขารับคำสั้นๆ พลางเดินตรงมาหาเธอด้วยสีหน้าราบเรียบ ยากจะคาดเดา “แผลนั่นดูดีขึ้นมากเลยนะครับ โชคดีจริงๆ ที่กิ่งไม้ไม่บาดลึกกว่านี้”เพราะไม่รู้ว่าเขาจะมาไม้ไหน อัยน์นาจึงเลือกคลี่ยิ้มน้อยๆ แทนการตอบ“พบคุณก็ดีแล้ว ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณอยู่พอดี” แขกของคฤหาสน์สบตาเธอด้วยแววตาเปี่ยมประกายเอาจริงเอาจังเจิดจ้าทว่ามีสัดส่วนของความยวนเย้าอย่างเปลวไฟ อัยน์นาจึงเลือกตอบกลับปฏิกิริยานั้นด้วยการจ้องลึกลงในตาเขาด้วยแววตาบริสุทธิ์เหมือนน้ำใสสะท้อนแสงดาวสุกสกาวก็เอาสิ ถ้าผู้ชายคนนี้อยากเล่นเกมจ้องตากับเธอ วันน
“แหม แขนคุณถลอกนี่คะ” พริสซิลล่าเปลี่ยนเรื่องคุยทั้งอย่างนั้น เจ้าหล่อนขยับเข้าจับแขนเขา พลิกดู แล้วสั่งน้องสาวด้วยท่าทีสุภาพใจเย็นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “แอนนาเบลจ๊ะ ไปเอาน้ำอุ่นกับผ้าสะอาดมาให้พี่ที สาวใช้พวกนี้ใช้การไม่ได้ แค่ตกใจเข้าหน่อยก็หนีหายออกไปมุงดูกันหมด”แอนนาเบลจะเดินผละออกไป แต่ไซรัสรีบชิงปฎิเสธ“อย่าลำบากเลยครับ แค่รอยถลอกเท่านี้”“ทำไมคะ หรือกลัวอยู่ในห้องด้วยกันสองคนนานๆ แล้วผู้คนจะนินทา”ไซรัสเลือกจะไม่ต่อปากต่อคำ เพียงคุยด้วยไม่เท่าไหร่ เขาก็เดาออกแล้ว ว่าพริสซิลล่าดื้อรั้นและเอาแต่ใจตัวเองแค่ไหนพอเห็นเขาไม่ตอบอะไร เจ้าหล่อนก็อ้าปากพูดเพิ่ม“หรืออยากรีบไปดูใจอัยน์นาเหมือนสาวใช้สองคนล่าสุดที่เข้ามาในห้องนี้” คุณหนูคนโตช้อนตา มองค้อน แล้วเบือนหน้าหนี วางท่าเหมือนตั้งใจงอนให้ง้อตอนนั้นเอง แอนนาเบลก็ชิงเดินหลบออกจากห้องไปเงียบๆ ทั้งห้องจึงเหลือพ่อค้าหนุ่มกับท่านหญิงคนโตของคฤหาสน์เพียงสองคนเท่านั้นไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง&ldquo
กว่าจะรู้ตัวอีกที สองมือแกร่งก็ดึงร่างนุ่มนิ่มเข้ากอดแนบอก ก่อนเสียหลักล้มลงนอนหงาย กลายเป็นเบาะให้เธอ“คุณ...” หญิงสาวอ่อนเยาว์เบิกตากว้าง ไม่รู้ว่าตกใจที่เห็นหน้าเขาหรือตกใจเพราะพลัดตกลงมาเธอแข็งขืนเหมือนพยายามจะดันตัวลุกขึ้นแต่เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป เขายังกอดร่างเธอไว้แน่น การกระทำนั้น เลยกลายเป็นการขยับตัวให้เส้นผมกรุ่นกลิ่นกุหลาบจางๆ คล้อยลงไล้แก้มเขาอย่างไม่ตั้งใจความอ่อนนุ่มที่ขยุกขยิกอยู่บนตัวเขา...กลิ่นดอกไม้หอมรัญจวน...ดวงตาตื่นๆ คู่ที่เคยตรึงสายตาและเชิญชวนให้เขาทำเรื่องผิดบาป สามอย่างนี้ทำให้ทุกอย่างคล้ายหยุดนิ่งไปในวินาทีนั้นเธออยู่ตรงนี้ อยู่บนตัวเขา อย่างแนบชิดไซรัสระบายลมหายใจอย่างยากลำบาก เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ในการประคองร่างบอบบางในอ้อมแขนลุกขึ้นยืน แล้วสอบถามอย่างมีอารยะ“บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ?”“ไม่...ไม่ค่ะ” ทั้งๆ ที่เธอตอบแบบนั้น แต่เขากลับสังเกตเห็นรอยบาดที่ฝ่ามือมันอาจจะเป็นบาดแผลเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับบาดแผลส่วนใหญ่ที่เขาพบเห็นมาใน
นับตั้งแต่นาทีแรกที่รถม้าเคลื่อนผ่านประตูรั้วกว้างขวาง ไซรัสก็รู้สึกถึงความเงียบสงบอันหาได้ยากยิ่งในเมืองหลวงคฤหาสน์แกรนเทรนท์ที่ปรากฏแก่สายตาเขาในยามนี้ ไม่ใช่คฤหาสน์หลังโต รูปทรงโก้หรู เหมือนคฤหาสน์หลังอื่นๆ ในเมืองหลวงแห่งนี้โดยรวมแล้ว อาจจะพูดได้ว่า คฤหาสน์แกรนเทรนท์เป็นคฤหาสน์เก่าคร่ำคร่า รูปทรงโดยรวมดูเรียบเกินกว่าจะบอกว่าสร้างขึ้นตามสถาปัตยกรรมของยุคสมัย ตัวสิ่งปลูกสร้างรายรอบด้วยต้นไม้สูงใหญ่ ประเมินจากรูปทรงภายนอกตัวอาคารแล้ว พอเดาได้ว่ามีชั้นปกติสามชั้น และมีชั้นซึ่งเป็นห้องใต้หลังคาอีกหนึ่งชั้น รวมทั้งหมดเป็นสี่ชั้น ตัวตึกไม่ได้สร้างและตกแต่งด้วยอิฐสีหรือหินอ่อนเหมือนคฤหาสน์หลังอื่นๆ แต่สร้างขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยหินตัดและปูน ดูแล้วชวนให้รู้สึกถึงความเก่าแก่โบราณพวกอนุรักษ์นิยม...หรือไม่ก็พวกประหยัดมัธยัสถ์...ไซรัสประเมินตัวตนเจ้าบ้านจากสภาพคฤหาสน์ยังหรอก...ยังต้องดูให้ถี่ถ้วนกว่านี้ เขาเตือนตัวเองจากประสบการณ์ที่ผ่านๆ มามนุษย์บางคน ก็เก็บซ่อนตัวตนมิดชิด ทำตัวเหมือนน้ำนิ่ง มองภายนอกดูเหมือน
“ต้องแบบนี้สิ” พริสซิลล่าดีดตัวลุกจากที่นั่ง “เห็นนั่นไหมจ๊ะ” เจ้าหล่อนกรีดนิ้วชี้ไปที่ผ้าผืนสวยบนปลายกิ่งต้นไม้ใหญ่ ที่ขึ้นอยู่ใกล้ๆ ระเบียง“ต้นไม้เหรอคะ” อัยน์นาแกล้งถามพาซื่อ ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเหมือนไม่เข้าใจอะไรเลยคงเพราะสีหน้าเธอดูไม่รู้เรื่องรู้ราวเกินไป คนที่จับข้อมือเธอไว้อย่างแอนนาเบลก็เลยหมั่นไส้จนถึงขั้นออกปากด่า“ฉลาดน้อย!”ท่านหญิงคนรองของคฤหาสน์รีบบุ้ยใบ้ไปยังผ้าคลุมไหล่โปร่งบางปักดิ้นเงินดิ้นทองที่พาดอยู่บนกิ่งไม้“นั่นย่ะ ผ้าคลุมไหล่ผืนใหญ่ที่คุณพ่อสั่งทำให้คุณพี่พริสซิลล่าต่างหาก”“ทำไมผ้าคลุมไหล่ถึงไปอยู่บนนั้นได้ล่ะคะ” คนโดนจิกแขนยังคงวางสีหน้าซื่อใส เหมือนไม่เข้าใจอะไรสักนิด“ลมพัดไปน่ะ” พริสซิลล่าตอบพลางชี้นิ้วสั่งให้สาวใช้ยกแก้วชาส่งให้ เจ้าหล่อนสูดกลิ่นหอมจากชา ก่อนถาม “ไหนไหนเราก็เป็นพี่น้องกันนี่เนอะ ถือว่าช่วยพี่สาวอีกสักครั้ง ช่วยปีนขึ้นไปเก็บมาให้หน่อยได้ไหมจ๊ะ?”“ปีนเหรอคะ” อัยน์นาถาม สีหน
“เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าคะ” ความคาใจ ขับให้อัยน์นาออกปากถามอย่างตรงไปตรงมา“เราไม่มีทางรู้หรอก ว่าเรื่องนี้จริงเท็จสักแค่ไหน บางทีมันอาจจะเป็นแค่ความหวาดระแวงของพวกมนุษย์ หรือไม่ก็อาจจะมีอะไรมากกว่านั้น ตั้งแต่โบราณมา ดินแดนหลังแนวภูเขาถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์เสียยิ่งกว่าป่าดึกดำบรรพ์ที่คั่นระหว่างดินแดนเร้นลับที่ว่านี้กับอาณาจักรอัสกันด์เสียอีก คนโบราณเชื่อว่าที่นั่นเป็นที่พำนักของเหล่าเทพ เทวดา การที่ความเชื่อเก่าแก่ถูกแทนที่ด้วยเรื่องพรรค์นี้รวดเร็วชนิดไฟลามทุ่งแบบนี้...มันออกจะผิดปกติ”“คุณพ่อหมายถึงการสร้างกระแสความหวาดกลัวเพื่อให้ทุกคนคล้อยตามโดยไม่ปริปากถาม กับการสร้างความชอบธรรมที่จะทำสงครามกับพวกอสุรกายพวกปีศาจน่ะเหรอคะ...แต่ถ้าเรื่องมันไม่ร้ายแรงอะไร พวกชนชั้นสูงในอาณาจักรเราจะอยากเอาอาณาจักรตัวเองไปเสี่ยงทำไม?”ท่านเจ้ากรมการเมืองจ้องลึกลงในตาลูกสาวคนสุดท้อง คล้ายจะอ่านความคิดบางอย่างชายสูงวัยชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถาม“ลูกคิดว่ายังไงล่ะ”“เป็นไปไม่ไ