เมื่อรินหรือที่ตอนนี้ถูกเรียกว่าไอเดน ถูกพามายังสำนักงานใหญ่ของซินดิเคท โลกของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อาคารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองอาราเลียคือทั้งสำนักงานใหญ่และที่พักของวิกเตอร์ สถานที่นี้มีความโอ่อ่าและหรูหราด้วยการตกแต่งอันไร้ที่ติ แต่กลับแฝงไปด้วยบรรยากาศเยือกเย็นและกดดันจนแทบหายใจไม่ออก
“เธอควรรู้ว่า เธอติดหนี้ฉัน” วิกเตอร์บอกไอเดนในคืนแรก น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่งแต่ทรงพลัง แฝงไปด้วยเจตนาที่ไม่อาจปฏิเสธได้ “ชีวิตใหม่ของเธอเริ่มต้นที่นี่ และเธอต้องทำให้ฉันเห็นว่าเธอมีค่าพอ”
ไอเดนที่ยังคงมึนงงกับเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แม้หัวใจจะเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่เขารู้ดีว่าการต่อต้านนั้นไม่มีประโยชน์
หลังจากพูดคุยกับไอเดนเสร็จ วิกเตอร์หันไปทางพ่อบ้านคนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกล ชายชราในชุดสูทสีดำเรียบง่าย ดูสะอาดสะอ้านและเต็มไปด้วยความภูมิฐาน ขยับเข้าใกล้ด้วยท่าทีสงบนิ่ง
“ดูแลเขาอย่างดี ให้เหมือนคุณชายคนหนึ่ง” วิกเตอร์กล่าวเสียงนิ่งและหนักแน่น “จัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อม และห้ามมีคำถาม”
พ่อบ้านเลิกคิ้วเล็กน้อย ริมฝีปากคล้ายจะพูดบางอย่าง แต่ชะงักไปก่อนที่จะส่งเสียงออกมา เขาโค้งศีรษะเล็กน้อย แต่แววตาที่มองวิกเตอร์เต็มไปด้วยความรู้สึกเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ “รับทราบครับ นายท่าน”
“ฉันหมายความตามที่พูด” วิกเตอร์เสริมด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เด็กคนนี้...มีความสำคัญ”
พ่อบ้านพยักหน้าเล็กน้อย ท่าทางไม่แปลกใจเท่าไร แต่กลับเป็นเหมือนการยืนยันว่าตนเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งในคำพูดของวิกเตอร์ “ผมจะจัดการให้เรียบร้อยที่สุด ไม่ทราบว่ามีอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่ครับ?”
“ไม่มี” วิกเตอร์กล่าวก่อนจะหยุดชั่วครู่ หันกลับมามองพ่อบ้านตรง ๆ “รู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงมอบหมายให้ดูแลเรื่องนี้”
“เพราะผมไม่เคยทำให้นายท่านผิดหวัง และผมเข้าใจว่าการไว้ใจครั้งนี้สำคัญแค่ไหน” พ่อบ้านยิ้มบาง ๆ ท่าทีมั่นใจแต่ไม่อวดดี
รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ไม่บ่อยนักปรากฏขึ้นตรงมุมปากของวิกเตอร์ “ฉันรู้ว่านายเข้าใจ ดูแลเด็กคนนี้ให้เหมือนกับที่เคยดูแลฉันเมื่อตอนเด็ก”
“ผมเข้าใจครับ” พ่อบ้านตอบเสียงเรียบ แฝงไปด้วยความเคารพ “และถ้าเขาเป็นเหมือนกับนายท่านในวัยเยาว์จริง ๆ ผมอาจต้องเตรียมตัวเหนื่อยอีกยาวแน่”
“ก็หวังว่าเขาจะไม่เหมือนฉันทั้งหมด เพราะถ้าเขาเหมือน นายคงต้องเฝ้าระวังเขาตลอด 24 ชั่วโมง” วิกเตอร์หัวเราะในลำคอเล็กน้อย
พ่อบ้านที่ยืนอยู่ตรงหน้าเลิกคิ้วเล็กน้อย รอยยิ้มมุมปากที่หาได้ยากของเขาปรากฏขึ้นอย่างแผ่วเบา “ผมว่าท่านอาจจะลืมไปแล้วว่า ตอนที่ผมดูแลท่านในวัยเด็ก ต้องตื่นตลอด 24 ชั่วโมงอยู่พักใหญ่ จนตอนนี้ผมยังไม่ลืมเลย”
วิกเตอร์หยุดหัวเราะและหรี่ตามองพ่อบ้านด้วยแววตาที่ดูเหมือนจะตำหนิ แต่กลับแฝงความขบขันไว้ในที “ฉันลืมไม่ลงหรอก แต่ฉันก็ไม่ได้ขอให้นายกล่าวถึงมันเสียด้วย”
พ่อบ้านไม่ได้สะทกสะท้านกับสายตาของวิกเตอร์ เพียงแต่ยืดหลังตรงและพยักหน้ารับอย่างนอบน้อม แต่การยอมรับครั้งนี้ก็เต็มไปด้วยความกล้าหาญในแบบที่น้อยคนนักจะกล้าทำต่อวิกเตอร์ ชายที่ทั้งซินดิเคทรู้กันว่าไร้ความปรานีและเยือกเย็น
อาจมีเพียงพ่อบ้านคนนี้ คนเดียวในโลกที่กล้าย้อนวิกเตอร์อย่างตรงไปตรงมา และอาจเป็นเพียงคนเดียวที่เคยได้เห็นรอยยิ้มจริง ๆ ของชายที่คนอื่นรู้จักเพียงด้านมืดของเขา ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนเต็มไปด้วยความไว้วางใจที่ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา เป็นความสนิทสนมที่มาจากกาลเวลาและการร่วมผ่านพ้นสิ่งต่าง ๆ มาด้วยกัน
“เจ้ามันดื้อด้านแบบนี้ตลอด” วิกเตอร์ส่ายหัวเล็กน้อย รอยยิ้มบาง ๆ ที่แทบจะไม่ปรากฏให้ใครเห็นหลุดออกมาชั่วครู่
“และนายท่านก็ไม่เคยบ่นเรื่องนี้มาก่อน” พ่อบ้านตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่สุขุมและสงบเสงี่ยม
หลังจากพูดคุยกับวิกเตอร์เสร็จ พ่อบ้านก็เริ่มดำเนินการทันทีโดยไม่มีคำถามเพิ่มเติม ห้องขนาดกลางที่เงียบสงบซึ่งตั้งอยู่ในปีกที่เป็นส่วนตัวถูกจัดเตรียมให้ไอเดน ห้องนี้ไม่ได้หรูหราเท่าห้องของวิกเตอร์หรือมาร์คัส แต่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งเตียงนอนที่นุ่มสบาย โต๊ะเขียนหนังสือ และอ่างน้ำอุ่นที่พร้อมให้ใช้งาน
พ่อบ้านลงมือสั่งการลูกน้องอย่างกระตือรือร้น แต่ยังคงความสุขุมในทุกการกระทำ
“อย่าลืมผ้าขนหนูใหม่ และเตรียมเสื้อผ้าที่เหมาะสมสำหรับเด็กชายคนนี้” เขากล่าวเสียงเรียบ “และอย่าให้มีอะไรขาดตกบกพร่อง นายท่านต้องการให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ”
ลูกน้องที่ได้ยินเพียงคำว่า “นายท่าน” ต่างรีบปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเร่งด่วน ไม่มีใครกล้าตั้งคำถาม พวกเขารู้ดีว่าการไม่ทำตามที่พ่อบ้านบอกหมายถึงอะไร
จากนั้นพ่อบ้านก็พาไอเดนที่ยังคงมึนงงมาถึงห้องพัก เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่หนักแน่น “คุณชายตัวน้อย อาบน้ำและพักผ่อนเถอะ ทุกอย่างในห้องนี้เตรียมไว้สำหรับคุณชายแล้ว”
“ผม…เอ่อ ผมควรทำอะไร? หรือที่นี่คือ…” ไอเดนที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์พยายามถาม
“ไม่ต้องกังวล” พ่อบ้านตอบขัดขึ้นเบา ๆ “ทุกสิ่งที่นี่เป็นคำสั่งของนายท่าน หน้าที่ของผมคือทำให้แน่ใจว่าคุณชายจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด”
ไอเดนพยักหน้าเบา ๆ แต่ดวงตายังคงฉายแววสงสัย เขามองพ่อบ้านที่คอยดูแลอย่างละเอียด ราวกับพยายามค้นหาความหมายในคำพูดและการกระทำของเขา พ่อบ้านยังคงรักษาท่าทีเรียบนิ่ง ไม่ให้เด็กชายคาดเดาอะไรได้มากไปกว่านี้
หลังจากอาบน้ำเสร็จและเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าชุดใหม่ ไอเดนเดินกลับมาสำรวจห้องพักที่เขาได้รับอีกครั้ง ห้องนี้มีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ตกแต่งเรียบง่ายด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ขัดเงาและพรมสีอ่อนที่ทำให้รู้สึกอบอุ่น แสงไฟนวล ๆ จากโคมไฟตั้งโต๊ะช่วยเพิ่มบรรยากาศที่สงบและผ่อนคลาย
“ดีกว่าห้องโถงเมื่อกี้...” เขารู้สึกว่าห้องนี้มีความอบอุ่นดูสบาย ๆ ต่างจากห้องโถงใหญ่ที่เยือกเย็นและเต็มไปด้วยบรรยากาศกดดัน
ทุกคนที่ดูแลไอเดนในค่ำคืนนี้ แม้จะไม่ได้สบตาเขาเลย แต่กลับทำหน้าที่ของตนอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการอาบน้ำให้เขาหรือทำแผลให้ ทุกคนทำงานอย่างเบามือราวกับกลัวว่าจะทำให้เขาเจ็บ ไอเดนที่มีจิตใจอ่อนโยนไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณพวกเขาทุกครั้ง แม้แต่ตอนที่คนรับใช้เช็ดแผลให้เขาเสร็จ
“ขอบคุณครับ” ไอเดนพูดพร้อมรอยยิ้มเล็ก ๆ แม้เขาจะยังเหนื่อยล้าและงุนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่คำพูดง่าย ๆ ของเขากลับทำให้คนรับใช้ที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก รู้สึกคลายความกังวลลงไปบ้าง
เสียงกระซิบที่พ่อบ้านได้ยินจากลูกน้องสะท้อนถึงความรู้สึกนั้น “คุณชายน้อยคนนี้...ต่างจากมาร์คัสจริง ๆ เขาดูสุภาพและใจดี”
พ่อบ้านยืนนิ่งอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง เขาเฝ้าสังเกตทุกการกระทำของไอเดนเงียบ ๆ ดวงตาเฉียบคมของเขาพินิจพิเคราะห์เด็กชายคนนี้ที่เพิ่งเข้ามาในซินดิเคท
“ไม่ธรรมดา...” เขาคิดในใจ “เด็กคนนี้มีบางอย่างที่พิเศษ เหมือนอย่างที่นายท่านของฉันมองเห็น”
หลังจากที่ทำแผลและแต่งตัวเสร็จ ท้องของไอเดนก็ร้องเสียงดังจนพ่อบ้านที่ยืนรออยู่ด้านนอกต้องเข้ามา
“ดูเหมือนคุณชายจะหิว” พ่อบ้านกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพก่อนสั่งให้คนครัวเตรียมอาหารอ่อน ๆ มาให้ “อาหารจะมาถึงในอีกไม่กี่นาที โปรดรอสักครู่”
ไอเดนที่รู้สึกเหนื่อยล้าจากทุกสิ่งเพียงพยักหน้าและนั่งลงอย่างเงียบ ๆ บนเก้าอี้ข้างเตียง เขามองไปรอบ ๆ ห้องอีกครั้ง ความรู้สึกที่แปลกประหลาดแทรกเข้ามาในใจ แม้ว่าเขาจะยังไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นนัก แต่เขาก็รู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ในห้องนี้
ไม่นานนัก อาหารอ่อน ๆ ที่ยังมีไอร้อนถูกนำมาเสิร์ฟ ไอเดนรับประทานอย่างเงียบ ๆ ทุกครั้งที่คนรับใช้ส่งอะไรให้ เขาก็ไม่ลืมที่จะพูดคำว่า “ขอบคุณ” อย่างจริงใจ ท่าทีสุภาพนั้นสร้างความประทับใจให้พ่อบ้านที่ยืนมองอยู่ในมุมหนึ่ง
เมื่อไอเดนรับประทานอาหารเสร็จ เขาล้มตัวลงนอนบนเตียงที่อบอุ่น ในที่สุดค่ำคืนอันเหน็บหนาวและโหดร้ายก็สิ้นสุดลง แต่เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าความสุขสงบที่ได้รับในคืนนี้ เป็นเพียงการเริ่มต้นของชีวิตใหม่ที่เต็มไปด้วยความลึกลับและอันตราย...
ทุกคนเดินไปยังเขต วิหารเงาแสง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของสวน รินไม่เคยมาเยือนเขตนี้มาก่อน จ้องมองรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น วิหารตั้งอยู่กลางพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้สูงใหญ่กิ่งก้านแผ่ขยายทับซ้อนจนแทบไม่เห็นท้องฟ้า ยกเว้นช่องเล็ก ๆ ที่แสงจันทร์ลอดผ่านลงมา แสงเหล่านั้นตกลงบนตัววิหารที่ทำจากหินขาวเรืองรอง ราวกับมีแสงสว่างในตัว“วิหารนี้เหมือนกับ...ลมหายใจของสวน” รินพึมพำ “สมัยเด็ก ผมได้แต่มองมันจากระยะไกล ไม่เคยได้เข้ามาเลย”เคลที่เดินอยู่ข้าง ๆ เอื้อมมาจับมือรินเบา ๆ “ตอนนี้คุณได้เห็นด้วยตัวเองแล้ว และคุณก็เป็นเจ้าของที่แท้จริงของมัน”“หวานกันอีกแล้ว...จินเจอร์ ถ้าเราไม่มีของกิน ให้ไปกัดขาเคลนะ” เอร่าไม่พลาดที่จะแซวจินเจอร์ร้องเหมียวเสียงยาว เหมือนจะเห็นด้วยเคียแรนส่ายหน้าและหัวเราะเบา ๆ “เอร่า นายจะช่วยสงบสักนิดได้ไหม? ตอนนี้พวกเราจริงจังอยู่นะ”เอร่าหันมามองเคียแรน พร้อมยักคิ
เช้าวันใหม่เริ่มต้นพร้อมกับความกระตือรือร้นในสวนรัตติกาล ทุกคนรวมตัวกันที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่กลางสวน ริน เคล เอร่า และเคียแรนล้อมวงฟังเอลดรินที่กำลังเปิดตำราโบราณอย่างระมัดระวัง หน้ากระดาษที่เก่าแก่เปราะบางเหมือนจะขาดได้ทุกเมื่อ เสียงนกร้องเป็นฉากหลังที่สงบ แต่บรรยากาศรอบโต๊ะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง“ตำราเล่มนี้บันทึกเรื่องราวของสวนรัตติกาลอย่างละเอียดที่สุด” เอลดรินเริ่มพูด พร้อมเปิดไปยังหน้าที่มีแผนที่โบราณของสวน ตัวอักษรจางหายไปบางส่วนจากกาลเวลา “นี่เป็นผลงานของอัศวินผู้พิทักษ์สวนคนแรก ๆ ที่อาศัยอยู่ในยุคสร้างหัวใจแห่งอาราเลีย”เคลเลื่อนตัวเข้ามาใกล้ แววตาเต็มไปด้วยความสนใจ “นี่คือแผนที่ของสวนทั้งหมดหรือครับ? ดูละเอียดกว่าที่ผมเคยเห็นมาอีก”เอลดรินพยักหน้า “ใช่ มันไม่เพียงแค่บอกทาง แต่ยังอธิบายถึงพลังและความเชื่อมโยงของพื้นที่ในสวนด้วย”เคียแรนที่เพิ่งมาอยู่สวนได้ไม่นานขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้วสวนนี้แบ่งเป็นเขตชัดเจนเลยหรือครับ? ผ
หลังจากการพูดคุยอย่างเคร่งเครียดเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลียและแผนการของมาร์คัส รินที่มองเอลดรินสังเกตเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของชายชรา เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง “เอลดริน ท่านดูเหนื่อยมากเลย ท่านเดินทางไกลมาขนาดนี้แล้ว ยังต้องเล่าเรื่องที่หนักหนาอีก ท่านควรพักก่อนดีไหม?”เอลดรินยิ้มอ่อน เมื่อเห็นความกังวลในสายตาของริน “ผมสบายดี แต่ก็ยอมรับว่าร่างกายไม่เหมือนเก่าแล้ว”“ถ้าอย่างนั้น” รินหันไปมองทุกคน “พวกเราควรพักก่อนดีไหม? การตามหาหัวใจแห่งอาราเลียไม่น่าจะเร่งด่วนถึงขนาดรอไม่ได้ เราเตรียมตัวให้พร้อมและเริ่มกันพรุ่งนี้เช้าดีกว่า”“ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง! พูดตรงๆ นะ ตอนนี้ผมหิวสุดๆ ถ้าพรุ่งนี้เช้าต้องเริ่มตามหาทันที โดยที่ไม่มีมื้อเย็นนี่ ผมคงหมดแรงแน่ๆ” เอร่ายกมือขึ้นเห็นด้วยทันทีเคลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รินพยักหน้าเห็นด้วย “ฟังดูเข้าท่า แต่เราต้องเตรียมที่พักให้เอลดรินด้วย มีห้องว่างอยู่ท้ายสวน มันค่อนข้างเงียบสงบและมีข้าวของเครื่องใช้ครบ
เอลดรินนั่งลงข้างโต๊ะหินกลางสวนรัตติกาล ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านใบไม้ลงมา ท่าทางของเขาเคร่งขรึมและดวงตาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ริน เคล เคียแรน และเอร่าล้อมรอบเขา บรรยากาศเงียบสงบในสวนดูเหมือนจะถูกแทนที่ด้วยความตึงเครียด“ท่านดูเหมือนคนที่ผ่านอะไรมาเยอะ ทำไมท่านถึงมาที่นี่ในเวลานี้?” รินมองเอลดรินด้วยความสงสัยเอลดรินถอนหายใจยาว น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความกังวล “ผมไม่มีทางเลือก ผมต้องรีบเตือนพวกท่าน กลุ่มซินดิเคทกำลังสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับหัวใจแห่งอาราเลีย และพวกมันไม่สนใจว่าวิธีการนั้นจะชั่วร้ายแค่ไหน คนของผมหลายคนถูกทำร้าย บางคน...ก็ตาย หนังสือโบราณจำนวนมากถูกพวกมันแย่งชิงไป”คำพูดของเอลดรินเหมือนเปลวไฟที่จุดประกายความโกรธ รินลุกขึ้นทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด “มาร์คัสอีกแล้ว! มันเป็นปีศาจ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์แค่เพราะต้องการอำนาจ! ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยังไม่หยุด”“และตอนนี้พุ่งเป้ามาที่สวน ถ้าเขาคิดว่าพวกเราจะยอมให้เขาได้หัวใจแ
หลังจากคืนกวาดล้างครั้งใหญ่ มาร์คัสยืนอยู่บนยอดของอำนาจ เขามองลงไปยังซากปรักหักพังของกลุ่มคนที่ครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่ข้างไอเดนและต่อต้านเขา ความพึงพอใจฉายชัดในแววตา ราวกับว่าเขาได้ปลดปล่อยพันธนาการที่เคยกดขี่มาตลอดชีวิตในห้องโถงใหญ่ของฐานทัพซินดิเคท มาร์คัสจัดงานเลี้ยงฉลองที่เต็มไปด้วยความหรูหราและมัวเมา บรรดาลูกน้องและพวกขุนนางชั้นต่ำที่หวังเกาะกระแสอำนาจของเขาต่างร่วมยินดี แต่ในใจของทุกคนแฝงไปด้วยความกลัวต่อความโหดเหี้ยมของชายผู้ไร้ความปรานีมาร์คัสไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากกำจัดไอเดนและควบคุมกลุ่มซินดิเคท เขาเริ่มสั่งให้ทำการกวาดล้างทุกคนที่เขาสงสัยว่าอาจทรยศ สายลับและนักฆ่าถูกส่งไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อกำจัดศัตรูเก่าและใหม่ รวมถึงผู้ที่เคยช่วยไอเดนหนีรอดในอดีต“ฉันไม่ต้องการสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบ” มาร์คัสกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ขณะมองดูรายชื่อเป้าหมายการลอบสังหารที่ยาวเหยียดในมือของเขา “หากพวกมันไม่ก้มหัวให้ฉัน ก็ไม่มีความจำเป็นที่พวกมันจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”&nbs
เช้าวันหนึ่งที่แสงอาทิตย์สาดแสงอ่อนโยนทอดผ่านกลีบดอกไม้ที่แบ่งบาน สวนเต็มไปด้วยเสียงนกร้องเพลงคลอเคล้ากับเสียงลมพัดเบา ๆ ทว่าความเงียบสงบนั้นถูกทำลายโดยกระแสลมแปลกประหลาดที่พัดวูบหนึ่ง ใบไม้ปลิวไหวในทิศทางที่ไม่มีใครคาดคิด กลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นชื้นคล้ายควันไม้และกลิ่นหญ้าหลังฝนตกเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นจากส่วนลึกของสวน ทั้งที่ไม่มีใครเปิดประตูให้ เสียงนั้นเหมือนจะสะท้อนในอากาศราวกับมาจากทุกทิศทาง เคลสัมผัสถึงบางสิ่งผิดปกติในทันที เขาขยับตัวมาข้างหน้า มือจับด้ามดาบแน่น ดวงตาคมมองตรงไปยังต้นเสียง ขณะที่เคียแรนก้าวมาข้างหน้าเพื่อปกป้องริน“ใครกันที่กล้าบุกรุกมาที่นี่?” เคลเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำเย็น ดวงตาจับจ้องไปยังเงาที่ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นจากเงามืดในหมู่แมกไม้ ชายชราผู้หนึ่งก้าวออกมาช้า ๆ เสื้อคลุมสีมอมแมมของเขาปลิวไสวไปตามลม แม้เสื้อผ้าจะดูธรรมดา แต่ตัวเขากลับมีบางสิ่งดึงดูดความสนใจได้ในทันที มือถือไม้เท้าที่มีลวดลายแกะสลักงดงาม เรืองแสงเบาบางเหมือนกับมีพลังบางอย่างซ่อนอยู่