5 คราประจวบเหมาะ
คำโบราณว่าไว้...เนื้อคู่กันแต่ชาติปางก่อน มีเหตุให้ต้องดลใจ
... ... ... ...
หลังจากกลับมาได้สามเดือน น้ำใสได้ตีพิมพ์บทความ ‘จุดประกายการเดินทางท่องแดนพุทธภูมิ’ ลงในนิตยสาร ‘โคมแดง’ ระหว่างนี้เขายุ่งกับการสะสางงานต่างๆ จนลืมเรื่องราวแปลกประหลาดของเธอผู้นั้น
นามปากกา ‘ซุปน้ำใส’ ของชายหนุ่มกลายเป็นประเด็นที่กล่าวขวัญถึงในสถานที่แห่งหนึ่ง
“เฮ้ย... น่าสนใจ นี่เขาขึ้นต้นย่อหน้าหนึ่ง เอ่ยถึงผู้หญิงคนหนึ่ง.... มาดู มาดู...
การหลุดพ้นคือ ความว่าง เพิ่งตระหนักได้ราวตัวผู้รู้ผุดขึ้นกลางจิต
จากเธอผู้หนึ่งที่ได้แนะนำปรัชญาลุ่มลึกโดนใจข้าพเจ้า...”
“เขียนดีมากเลย จนฉันเองอยากไปอีก...” ดอกหอมอมยิ้มกล่าวลอยๆ ใจหวนนึกถึงเขาผู้นั้น
“ยัยดอกหอม... แกน่ะลางานไปเป็นเดือนแล้วนะ... ยังไม่ซาบซึ้งในรสพระธรรมอีกเหรอ” วารีเพื่อนร่วมงานขำ
“เอ่อ... มันรู้สึกโล่งปลอดโปร่งเบาสบาย กลับมานี่...งานสุมหัว กลับมาเครียดเหมือนเดิม” ดอกหอมไม่เคยได้หยุดพักเลย เธอรับงานเขียนฟรีแลนซ์ให้สำนักพิมพ์แห่งนี้ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ปีสาม
“พรุ่งนี้หัวหน้าให้ไปประชุมงานของสมาคมที่แกรนด์สุขุมวิท ไปไหม...” วารีชวนเธอ
“ไม่ว่างเลยจริงๆ จะเข้าไปตอนช่วงหลังเบรกแรกได้ไหม” ดอกหอมถอนหายใจกับต้นฉบับกองโตบนโต๊ะ
ณ สมาคมวันนั้นได้มีการประชุมเลือกบทความดีเด่นประจำปี มีเหตุการณ์ประจวบเหมาะดลใจให้ดอกหอมมาในจังหวะนั้น ขณะเธอกำลังแง้มบานประตูห้องประชุม มือหนึ่งเอื้อมผ่านหลังไป เสียงกล่าวขอโทษดังขึ้นก่อนผลักประตู
“ขอโทษครับ จะเข้าไปไหมครับ” เสียงคุ้นหูมาก ดอกหอมหันหน้าไปมองเต็มตา
“เอ้า...คุณ” เสียงชายหนุ่มทักขึ้น ตื่นเต้นดีใจ เธอคนนั้นนั่นเอง
“เข้าไปกัน...มีที่นั่งข้างหน้าว่างอยู่สองที่” เขาชวนทันที
ระหว่างนั้นเธอได้ยินเสียงกล่าวต้อนรับจากบนเวที ให้ชายหนุ่มที่นั่งข้างเธอ ขึ้นไปกล่าวถึงเรื่องราวในบทความของเขา
“ผมได้รับแรงบันดาลใจจากสาวผู้หนึ่ง บทความของผมเลยได้รับการคัดเลือก อยากมอบความดีให้เธอด้วยเช่นกัน...” จากนั้นเขาเอ่ยชื่อเธอ ทุกคนในห้องประชุมปรบมือแสดงความยินดี
หลังจากนั้นเป็นช่วงเวลาเบรกรับประทานอาหารเที่ยง ชายหนุ่มจึงเอ่ยเชิญชวนไปห้องอาหารเมนูพิเศษ เขาอยากขอบคุณเธอที่จุดประกายให้เขาได้เขียนบทความชิ้นนี้
“ผมตามหาคุณไม่พบหลังจากวันนั้น ผมต้องเดินทางต่อไปสาวัตถี ว่าจะชวนคุณไปด้วย”
“หมดเวลา ...ต้องกลับมาทำงานแล้วค่ะ”
“เอ้า...ผมนึกว่าคุณเป็นนักเขียนอิสระ”
“ไม่ค่ะ... เขียนนิยายเท่าที่มีเวลาว่างเท่านั้น นอกนั้นเวลาเป็นของสำนักพิมพ์”
“ผมอยากถาม... คุณเล่าเรื่องแมวตัวนั้นว่าอยู่ในฝัน มันจริง...หรือว่าอยู่ในนิยายของคุณ” เขาอมยิ้มขณะถามเธอ
“ประมาณนั้นด้วยล่ะ แต่จริงๆ มันคือในฝันของฉันมาตลอด”
“ผมฝันเรื่องราวเกี่ยวกับคุณ ผมเลยแน่ใจว่า เราสองคนต้องมีบุพกรรมในอดีตร่วมกัน” น้ำใสเอ่ยขึ้น ทำให้ดอกหอมคิดว่า เขาอาจเป็นคนที่ใช่ซึ่งเธอเองคิดมาตลอดเหมือนกันว่า อะไรดลใจให้ต้องไปปฏิบัติธรรมตรงที่แห่งนั้น
“ผมเจอหนุ่มคนหนึ่งมาตามหาคนรัก ผมเลยเข้าใจว่าเป็นคุณ”
“ขนาดนั้นเลย...”
“สาวคนรักของเขา ชื่อ ดอกหอม”
“โห... เลยรู้ความลับของฉันเลย” เธอหัวเราะคิกคัก
“แล้วเรื่องเป็นยังไง ขอโทษนะครับ อยากรู้” เขายิงคำถามนี้ หากไม่ใช่เธอจะไม่เสือกเรื่องนี้เด็ดขาด
“ปฏิเสธสิคะ... คนเรามันเน่าไปแล้ว จะเก็บมาล้างมาต้มมาขัดยังไง มันก็ไม่เหมือนเดิม”
“โอ้... เปรียบเปรยสมเป็นนักเขียน”
“ผมถามคำเดียว หากมีคนขอคุณร่วมเดินทางชีวิต จะไปไหม”
“เป็นคำถามยากที่สุดนะคะ”
“ทำไม...”
“การเดินทางร่วมกันเป็นอะไรที่ยากมาก... good company ที่จะเข้ากันได้คงมีแต่ในนิยาย”
“เส้นทางชีวิตของคนสองคน มีอะไรให้ศึกษากันชั่วชีวิต แล้วเราจะร่วมกันศึกษาไหม ขอคำตอบแค่นี้ ผมให้เวลา”
“นานเท่าไหร่คะ”
“ต้นปีหน้าผมต้องเดินทางข้ามโลกไปดินแดนที่โคลัมบัสค้นพบชาวอินเดียแดง”
“อีกสามเดือนเองนะคะ ขอเวลาศึกษาก่อนได้ไหม”
“แล้วแต่... ผมไม่อยากสละโสดที่โน่น” เขามองหน้าหญิงสาวขำๆ
“โอเค... แล้วจะให้คำตอบไปค่ะ”
“แอดไลน์ผม ถ้าอยากคุยกันหลังจากนี้” เขาเข้าใจทำให้สถานการณ์ประจวบเหมาะ
หลังจากเขาและเธอได้คุยกันบ้างนัดเจอกันบ้าง ทำให้ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองไปถึงจุดที่เรียกว่า คู่รัก วันหนึ่งคำถามค้างคาใจของน้ำใสจึงผุดขึ้น
“ขาวมณี คือใคร...”
“เขาคือตัวละครหนึ่งในนิยายรักข้ามมิติของฉัน”
“ผมเก็บไปฝันถึง...ได้ยังไง” เขาทำหน้าสงสัย
“นั่นคือเรื่องประหลาด... ฉันเองไม่เข้าใจเหมือนกัน”
“ผมฝันเป็นตุเป็นตะ...ขนาดนั้น คงไม่น่าใช่ล่ะ”
“นั่นอาจเป็นเพราะ...เราเคยคู่กันมาแต่ชาติไหน... เคยได้ยินคำโบราณไหม”
“ยังไง... ผมเองมีเหตุให้ดลใจพบคุณวันแรก รู้สึกเหมือนเคยรู้จักกัน”
“นั่นล่ะ... คือคำโบราณว่าไว้เลย เนื้อคู่แต่ชาติปางก่อน”
“และสุดประหลาดคือ เรื่องราวที่ผมฝันทำไมถึงได้เหมือนนิยายของคุณ ทั้งที่ผมไม่เคยอ่าน”
“ก็ฉันบอกแล้ว...”
“เจ้าแมวตัวนั้น... วาโฆบา ผมขนลุก...มันอยู่ในฝันทุกคืน”
“ฉันเคยไปเมืองคุชราต มีชาวพื้นเมืองกลุ่มหนึ่งบูชาแมวยักษ์ วาโฆบา ที่ในเทวาลัย หลังจากกลับมาฉันฝันถึงเรื่องนี้ตลอด และในฝันฉันมีเรื่องราวเหมือนนิยายที่เขียน”
เขาตกลงรับสาวน้อยนักเขียนนิยายสมจริง เข้ามาร่วมเดินทางชีวิตไปด้วยกันก่อนออกเดินทางไปร่วมทุกข์ร่วมสุขยังแดนไกล
“น้ำใส เข้าใจหาคู่เหมาะ...เหม็ง...” ดิน เพื่อนร่วมงานเดินเข้ามากระซิบเขาในงาน
“ยังไง...วะ”
“ก็เห็น backdrop นั่นแล้ว เพื่อนรักหาคู่ได้สุดยอด”
“อะไร...พูดให้เข้าใจหน่อย”
“ซุปน้ำใส ยัยดอกหอม... นักเขียนบทความเจอนักเขียนนิยาย” ดินหัวเราะเสียงดัง
“เออ... มันคือคู่บุพกรรม...ว่ะ”
ขณะเจ้าบ่าวกำลังเดินควงคู่เจ้าสาวขึ้นสู่เวที... เสียงหนึ่งดังขึ้น
เมี้ยว...!!!
“เอาอีกแล้ว…วาโฆบา”
˜ จบ ˜
5 หลงรักในวัยเด็กเหม่ยหลินท่องเที่ยวต่อไปกับ Bölgee จนถึงมอสโคว์ซึ่งเป็นเมืองบ้านเกิดของชายหนุ่ม เขาพาเธอไปแนะนำกับครอบครัวของเขาที่มีแม่และน้องชายที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ นอกตัวเมืองของมอสโคว์ อุณหภูมิต้นเดือนกันยายนประมาณ 8 องศาเมื่อเธอไปถึง สาวน้อยจากคุนหมิงเมืองที่ค่อนข้างอบอุ่นกว่าที่นี่มากแทบจะไม่อยากเดินออกนอกตัวอาคารไปไหน แต่ด้วยความที่อยากเก็บภาพจึงทำให้ชายหนุ่มแซวขึ้น“ไม่อยากออกไปไหนก็ได้...พักแต่ในโรงแรม ดมกลิ่นอายเมืองล่ะกัน” เสียงหัวเราะหึๆ ในลำคอทำให้เธอจ้องตาเขาแบบเอาเรื่อง“อย่ามาเยาะเย้ยกันน่ะ Don’t put me down, please. ขอร้องอย่าทำให้ฉันรู้สึกแย่” น้ำเสียงเหม่ยหลินกระชากแรงจนชายหนุ่มเข้ามาโอบไหล่และจับคางเธอหันไปมองเขา“เธอนี่ไม่เปลี่ยนจริงๆ...รู้ไหม ผมเจอเธอคนนั้นบนตู้รถไฟวันนั้น ทำให้ย้อนถึงอดีต” เสียงนิ่มๆ ขณะจับคางเธออยู่ แววตาคู่นี้ทำให้เหม่ยหลินนึกถึงเด็กชายผอมขี้ก้างคนนั้นจากมโนภาพขึ้นมาทันที ภาพลางเลือนที่เธอถูกดึงหางเปียและจดจำอย่างไม่มีวันลืมคือเธอหน้าคะมำลงไปกองกับพื้นห้องเรียน เมื่อผ้าพันคอสีเขียวถูกกระชากออกไปมือเธออย่างแรง“ฉันงง งงกับคำพูดของนาย..
4 ผ้าพันคอ (แห่งความทรงจำ)เหม่ยหลินนั่งรถไฟออกจากกุ้ยหลินหลังจากลาชายหนุ่มนามว่าบูลกีไปที่จงซานคนเดียว ส่วนเขาได้แอดเธอไว้ที่ WhatsApp เผื่อว่าเธออาจเปลี่ยนแผนเดินทางต่อไปถึงรัสเซีย เขายินดีที่จะเป็นผู้นำทางท่องเที่ยวที่บ้านของเขาเอง เธอได้ยินเขาพูดรับคำซึ่งไม่คิดว่ามันจะจริงจังอะไรนักบนยอดเขาเหมยฮัวที่จงซาน เธอมองเห็นท้องทะเลกว้างตรงอ่าวเป็นสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเพิร์ล หรือภาษาจีน “จูเจียง” เหม่ยหลินถ่ายภาพดอกเหมยบนเทือกเขาจงซานแห่งนี้ที่กำลังเบ่งบานต้อนรับต้นฤดูหนาวเธอหลับตาแล้วอธิษฐานขอสารภาพบาปอยู่ในใจที่เธอทำให้แม่เล็กต้องเป็นห่วง ขอฟ้าดินจงยกโทษให้กับสาวน้อยไร้เดียงสาที่อาจหาญเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอจากบ้านไกลหลายหมื่นลี้ขนาดนี้ได้เธอนึกย้อนถึงตำนานนกกระเรียนสีขาวที่แม่เล็กเคยเล่าให้ฟังเพื่อกล่อมเธอก่อนนอนทุกคืนตั้งแต่เล็กจนเติบโตเป็นสาว ฟังซ้ำๆ ทุกวันจนเธอเห็นภาพนกกระเรียนโบยบินเรียงตัวกันสร้างสะพานรักเพื่อให้เทพธิดาทอผ้ากับหนุ่มเลี้ยงวัวได้สมปรารถนาในวันชีซี วันขึ้น 7 ค่ำเดือน 7 ของทุกปี ซึ่งตรงกับวันนี้ดอกเหมยกำลังชูช่อประดับประดาบนยอดเขาเหมือนต้
3 Roommate (ที่กุ้ยหลิน)โลกภายนอกเป็นอะไรที่เหม่ยหลินแทบไม่เคยได้รับรู้และไม่ได้สัมผัสเลยด้วยซ้ำ จึงเป็นอีกหนึ่งข้อที่แม่เล็กมักจะกังวลใจและหนักใจกับเธอเมื่อรู้ว่าเธอจะต้องเดินทางแบบอินดี้ท่องเที่ยวไปไกลคนเดียว ถึงแม้ว่าเหม่ยหลินดูเป็นคนมองโลกในแง่ดีแต่ก็ไม่ละเลยที่จะระมัดระวังตัวเองอย่างสูง เธอรอบคอบทุกด้านไม่ว่าจะเรื่องภัยเงียบหรือแบบปะทะตัว เธอเรียนศิลปะการต่อสู้ ‘กังฟู’ มาตั้งแต่สิบสองขวบซึ่งรับรองว่าเธอเอาตัวรอดได้แน่นอน ในกระเป๋าแบบเป้สะพายข้างใบน้อยมีสเปร์พริกไทยไว้พ่นใส่ตาของคนร้าย รวมทั้งเข็มมีด้ามจับไว้โจมตีบริเวณที่ลับในขณะจู่โจม แม่เล็กพอรู้ว่าเธอมีอาวุธไว้ป้องกันตัวหลากหลายชนิดถึงกับหัวเราะอย่างเอ็นดู แต่เธอก็ยังอดห่วงเหม่ยหลินไม่ได้ว่าถ้าคนร้ายมีอาวุธร้ายแรงจะป้องกันตนเองลำบาก ข้อนั้นเหม่ยหลินได้รับปากและปลอบแม่เล็กให้วางใจอย่ากังวลไปเลยเพราะเธอจะใช้ไหวพริบแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าด้วยตนเองให้จงได้ระหว่างที่เหม่ยหลินค้นหากระดาษเปียกที่พกมาไว้เช็ดทำความสะอาด เธอดันทำกระเป๋าเป้ตกลงไปที่พื้นต่อหน้าชายหนุ่มที่กำลังมองเธออย่างขำๆ อีกครั้ง และแล้ว“What’s that little bottle? ข
2 หนุ่มจาก Rossiyaเธอแอบมองแม่เล็กเดินหันหลังแล้วยังหันกลับมามองเธออีกจนรถไฟขบวนที่เธอนั่งอยู่เคลื่อนออกไปจนลับสายตา และแล้วความทรงจำเก่าๆ ก็พรั่งพรูออกมาจากสมอง วันนั้นที่เธอจากบ้านนาของแม่และพ่อเพื่อมาอยู่กับแม่เล็ก บุพการีทั้งสองหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อเดินทางไปเยี่ยมเยียนปู่กับย่าที่ตอนใต้สุดเขตเกาฉุนของนานกิง แม่เล็กทราบข่าวจึงมารับพี่ชายกับเธอมาเลี้ยงดูในฐานะญาติที่ใกล้ชิดแม่เล็กเป็นน้าสาวคนเล็กของตระกูลที่ไม่มีครอบครัว เธอมีอาชีพเป็นครูที่โรงเรียนอนุบาลเล็กๆ ในตัวเมืองคุนหมิง ซึ่งมีฐานะพอที่จะอุปถัมภ์เธอและพี่ชายได้ เธอระลึกถึงบุญคุณของแม่เล็กอยู่เสมอและคิดไว้ว่าหากวันใดเธอสามารถมีทุนทรัพย์มากเพียงพอสิ่งแรกที่อยากทำที่สุด คือจะซื้อบ้านหลังใหม่เพื่อให้แม่เล็กได้อยู่อย่างสุขสบายครั้งนี้เธอรู้สึกผิดมากๆ แต่ก็ได้ตัดสินใจไปแล้ว จะให้หวนคืนคงไม่ใช่วิสัยอย่างเธอแน่นอน เธอจะไปประกาศความรู้สึกบาปที่ทำผิดต่อแม่เล็กบนยอดเขาของเมืองจงซาน เป็นคำประกาศิตที่ต้องเดินทางไปให้ถึงตามความตั้งใจดั่งกับว่าเหมือนอะไรดลใจให้ต้องทำเช่นนั้นตามแผนที่วางไว้เหม่ยหลินจะไปเที่ยวที่กุ้ยหลินก่อน เธอ
คำโปรยฤดูวสันต์แห่งยอดเขาเหมยฮัว...ส่งเสียงให้หัวใจไปหาฝันไกลถึง...มอสโคว์-------------------1 เป้าหมายที่จงซานZhongshan จงซานเป็นเป้าหมายของเหม่ยหลินมานานมากแล้ว เธอได้แต่เก็บไว้ในความใฝ่ฝันเสมอมาว่าสักวันหนึ่งต้องเดินทางจากคุนหมิงไปเที่ยวที่นี่ให้ได้ ใครต่อใครทั้งขำและกระเซ้าเธอว่าทำไมต้องไปไกลถึงมณฑลกว่างตง“ต้องมีอะไรอยู่ที่นั่นแน่ๆ เลย ใช่ปะ เหม่ยหลิน...” เสียงแหย่นิดๆ ของเพื่อนซี้อย่างลี่เจิน ไม่เพียงแต่ทำให้เหม่ยหลินต้องหันมาจ้องหน้าเธอเท่านั้น แต่สาวเซอๆ คนนี้ยังยักไหล่อย่างคนไม่แยแสเลย“Mei Hua Mei Hua Man Tian Xia ...เหม่ย ฮัว...เหมย...ฮัว มาน เทียน เซี้ย” เหม่ยหลินฮัมทำนองเพลง ‘เหมยฮัว’ ขึ้นมาต่อหน้าลี่เจิน จนเธอร้องตามคลอไปด้วย แถมหัวเราะทั้งยังจับไหล่ของเหม่ยหลินโยกไปมาขณะร้องเพลงไป“Wo Mei Wang Ji Ni, Ni Wang Ji Wo, Lian Ming Zi Ni Du Shuo Cuo…หวอ เมย วาน จี หนี่ หนี่ วาน จี ว่อ เหลี่ยน หมิง ฉือ หนี่ โตว ชัว ชวอ” ลี่เจินยังร้องเพลง ‘Ni Zen Me Shuo หนี่ เจิน เมอ ชัว’ ขึ้นมาเหมือนแซวเพื่อนสาวที่พลอยร้องตามไปด้วยอีก...“สงสัยไปตามเอารักทิ้งๆ ขว้างๆ คืนมาแหงๆ เลย” ลี่เจิน
5 ตัวตนที่แท้จริงครึ่งปีถัดมาเซซิลได้ย้ายมาอยู่ที่เวนิสอย่างถาวร เพราะเธอถูกว่าจ้างให้มาทำงานที่โรงแรมที่เธอเคยมาพักครานั้น ตอนที่เธออยากหนีตามหัวใจ มาตามล่าหาฝันกับหนุ่มเวนิส แต่แล้วต้องผิดหวังอย่างแรง“จากครั้งนั้น...จนมาถึงวันนี้เรามาอยู่ตรงนี้เหมือนฝัน” เซซิลพูดเงยหน้าขึ้นจ้องแววตาสีเขียวอ่อนที่แฝงเสน่ห์ลึกลับนั้นไว้“โกรธผม...มากไหมที่ไม่ไปรับที่สนามบิน แถมหายหัวไปจนถึงเย็น” มาร์คพูดเบาๆ กระซิบที่ใบหูเธออย่างรู้สึกผิด“โกรธ...จนหน้าแดงเลยล่ะ” เซซิลหัวเราะคิกคักหยอกกลับไป“ไม่จริงล่ะมั๊ง...ก็นั่งเรือกอนโดล่าไปกับผมเฉยเลยในวันแรก” มาร์คเล่นสายตามองเซซิลอย่างบอกไม่ถูกว่า เขาเองอยากเล่นซ่อนหากับเธอตอนนั้น“ผมได้อีเมล์จากป้าผม ท่านเคยไปปารีสและเจอคุณที่ทำงานพาร์ทไทม์เป็น Front Reception อยู่ที่โรงแรม Hôtel Montmartre เลยเป็น matchmaker จับคู่ให้ผมเลย” มาร์คพูดขึ้นลอยๆ แต่จริงจังมาก“แล้วกลัวเหรอว่าเจอหน้าแล้ว ฉันจะหนีคุณ” เซซิลถามได้ get to the point แทงใจดำ เขาคงกลัวว่าแก่เกินไปสำหรับสาวน้อยอย่างเธอ“ตอน chat คุยกันส่งรูปมาให้ตอนสมัยหนุ่มๆ ซิท่า...” เซซิลขยิบตาหัวเราะกลับไปพร้อมห
4 ไกด์พิเศษเซซิลตกใจเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ตรงหัวเตียงดังขึ้น เธอคิดว่านาฬิกาปลุกจากมือถือของเธอไม่ทำงานแน่ๆ เมื่อเปิดดูจึงรู้ว่าจริงๆ เธอหลับลึกจนไม่ได้ยินเสียงสัญญาณปลุกของมันนั่นเอง“Merde…ตายล่ะ...เมื่อวานลืมถามชื่อและเลขห้องพักของชายคนนั้น” เซซิลมองเวลาในมือถือและพึมพำบ่นตำหนิตนเองเธอเร่งแต่งตัวแทบกระโจนออกจากห้องพักที่อยู่บนชั้นสามวิ่งตัวปลิวลงมาที่ห้องอาหารของโรงแรม ปรากฏว่าชายคนเมื่อวานไม่ได้ปรากฏกายในห้องอาหาร อาจเป็นเพราะเลยเวลานัดไปประมาณ 15 นาที เซซิลคิดว่าแค่เวลา 15 นาทีก็ไม่น่าจะกินข้าวได้รวดเร็วปานนั้น เธอร่ำๆ ว่าจะออกไปสอบถามตรงเคาน์เตอร์ว่าใครพอจะรู้จักชายคนที่ส่งเธอตรงลอบบี้เมื่อวานบ้างไหม แต่เธอพลาดอย่างไม่รู้ตัวจริงๆ ...เพราะไม่รู้จักชื่อของนายคนนั้นเลยมัวแต่คุยกันไปเรื่อยเปื่อย คิดว่าเขาและเธอคงไม่จำเป็นต้องถามไถ่ชื่อเสียงเรียงนามแค่คนร่วมเดินทางในเรือลำเดียวกันเท่านั้นเซซิลเลยตัดสินใจกินอาหารมื้อเช้าแบบเรื่อยๆ เฉื่อยๆ นั่งคิดอะไรเพลินๆ ไปว่าเขาคงไม่มารอสาวน้อยตื่นสายอย่างเธอแน่นอน“Don’t invite me to share the table…ไม่คิดเชื้อเชิญให้นั่งด้วยเลยรึ” เสียงทุ
3 ล่องเรือกับหนุ่มแปลกหน้าก่อนจะลงเรือเซซิลยืนรับลมชิลล์ๆ ฤดูร้อนที่นี่เป็นอะไรที่น่ารื่นรมย์ อากาศดีมากสำหรับเดือนกรกฎาคม นครแสนโรแมนติกนี้มีลักษณะเป็น Lagoon ‘ลากูน’ ทะเลสาบขนาดใหญ่ซึ่งเชื่อมเกาะต่างๆ เข้าหากันด้วยสะพาน แต่ละเกาะคือผืนแผ่นดินที่มีสถานที่สำคัญต่างๆ ตั้งเรียงรายอยู่ ผู้คนเดินทางไปมาแต่ละเกาะด้วยรถบัส เรือ หรือรถไฟ ซึ่งในตัวเมืองเวนิสมีรถไฟสายหลัก คือ Venezia Santa Lucia“Oops…sorry อุ๊ย ขอโทษนะคะ ฉันจองเรือลำนี้คนเดียวนะ!!!” เซซิลอุทานและคิ้วขมวดทำหน้า...งง เมื่อเห็นชายหน้าตาคมเข้มนัยน์ตาสีเขียวอ่อนอายุราว 50 ต้นๆ กำลังจะขึ้นเรือลำเดียวกับเธอ“Oh…you must be mistaken….โอ๊ะ คุณคงเข้าใจอะไรผิด...นะครับ” เสียงชายวัยกลางคนปลายๆ เคร่งขรึมดูเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ จนเซซิลคิดว่าเธอคงขอ withdraw ถอยจากการปะทะไปก่อนดีกว่า เธอจะเดินกลับไปที่โรงแรมแล้วจองเรือลำใหม่กับพนักงาน front เธอคิดว่าโชคดีที่ยังไม่จ่ายค่าเรือลำนี้ พนักงานช่วงบ่ายที่เธอลงทะเบียนกรอกใบ check-in ด้วย บอกเธอว่ากลับมาจากล่องเรือแล้วค่อยมาชำระ แปลกดีเธอคิดอยู่ในใจว่าเกิดมาไม่เคยเจอบริการแบบนี้มาก่อนในชีวิต“เราจองเ
2 วางแผนล่องเรือเซซิลนอนนิ่งมองเพดานห้องที่เพิ่ง check-in หวนนึกถึงเนื้อเพลงนี้ยิ้มให้กับตัวเองอย่างเย้ยหยัน โลกนี้มีอะไรประหลาดมากเกินกว่าคาดคิด เธอรอชายหนุ่มอยู่ที่ลอบบี้นานเกือบหนึ่งชั่วโมงเผื่อว่า...เขาคนนั้นน่าจะมาพบเธอเจอกันเป็นครั้งแรกตัวเป็นๆ“C’ est pas normal??? ….Non non…Ah non!!! ผิดปกติไหมนี่...ไม่น่ะ เออ...ไม่หรอก” เซซิลมองเพดานพร่ำเพ้ออยู่คนเดียว ใจเสียวแวบๆ ว่าถ้าจะถูกนายคนนี้หลอกหรือไม่ ก็ยังดีที่ไม่ต้องมาเจอกันแบบนี้...เที่ยวมันเองก็ไม่เห็นเป็นไรนี่“Travel alone like lonely planet โดดเดี่ยวเที่ยวโสด...ฮ้า...ฮ้า ฮ้า...” เสียงหัวเราะขื่นๆ ของเซซิลดังกังวานอยู่ในห้องเซซิลนึกถึงเรื่องราวการติดต่อกันทางออนไลน์ ไม่ได้นึกสงสัยหรือเอะใจว่า ทำไมชายหนุ่มถึงไม่อยากคุยแบบเห็นหน้าผ่าน VDO call สักครั้งเลย มีแต่ส่งรูปมาให้ว่าไปไหนบ้างรวมถึงบ้านช่องที่ทำงาน เธอนึกว่าบ้าสิ้นดีทำไมถึงโง่ขนาดนี้ ดีนะที่ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นไม่งั้นคงช็อกตายแหงๆ ถ้าเกิดหน้าตาอัปลักษณ์หรือพิกลพิการจะยังไง ไม่ใช่เธอเป็นคนแล้งน้ำใจหรือเห็นแก่ตัว แต่สิ่งที่เธอบอกกับใครๆ คือว่า ชีวิตนี้เกลียดคนโกหกเซซิลว