แชร์

8

ผู้เขียน: Scince
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-08-08 18:47:26

"ยาย" เสี่ยวเหลียนเองก็คาดไม่ถึงกับการตัดสินใจครั้งนี้เช่นกัน เธออยากออกไปจากบ้านหลี่น่ะใช่ แต่ไม่อยากกลับบ้านที่ชนบท ที่นี่สังคมดีกว่าเห็นๆ 

ยายหลิวไม่สนใจใครทั้งนั้น ท่านจ้องมองเข้าไปในห้องนอน ตรึงสายตาไว้ที่ลูกสาวของตัวเอง 

"ซือเอ๋อร์ แม่เข้าใจดีว่าแกกำลังลำบากใจแค่ไหน การที่แม่กับหลานมาอยู่ที่นี่ คงทำให้แกต้องลำบากไม่น้อย ต่อไปนี้มันจะไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้วล่ะ"

ท่านหันมาทางหลานสาว "เสี่ยวเหลียน ลุกไหวหรือเปล่า"

แต่พอมมาคิดอีกทีก็ยิ้มย่องในใจ ดวงตาเป็นประกาย เพราะนี่คือความคิดหลังจากนี้ของเธอ กำลังคิดหนักอยู่พอดีว่าจะหาทางออกจากบ้านหลี่ได้ยังไงโดยที่ยายหลิวจะยอมพยักหน้าเห็นด้วย รอให้ได้ก้าวขาออกจากบ้านหลี่ก่อนเรื่องอื่นแล้วค่อยว่ากันเถอะ

สำหรับเธอแล้วคิดว่ายังไงผู้เป็นแม่ก็ไม่มีทางพยักหน้าตอบตกลงเห็นด้วยกับความคิดนี้ และเชื่อว่าพ่อเลี้ยงเองก็รักแม่ของเธอมากพอที่จะไม่เข่นฆ่า บางทีการแยกบ้านอยู่อาจจะเป็นทางออกของเรื่องทั้งหมด และยังคงรักษาสถานะครอบครัวเอาไว้ แม้ว่าจะอ่อนบางยิ่งกว่าใยแมงมุมแล้วก็ตาม

"เมืองนี้มันใหญ่เกินไปสำหรับเราสองยายหลานจริงๆนั่นแหละ สู้กลับบ้านอยู่บ้านของเราไม่ได้" ยายหลิวตอบอย่างเด็ดเดี่ยว "เงินเก็บที่มีในตอนนี้ คงพอให้ปลูกบ้าน คิดว่าไปถึงเงินช่วยเหลือจากทางการก็ใกล้จะออกแล้วล่ะ" 

เพราะรีบร้อนกลัวหลานสาวไม่มีที่อยู่ ท่านเลยไม่ได้อยู่รอเงินช่วยเหลือจากทางการ ได้แต่ฝากฝังเพื่อนบ้านและผู้นำหมู่บ้านให้จัดการให้ ถึงอย่างไรเรื่องแบบนี้ก็ต้องใช้เวลา 

เสี่ยวเหลียนได้ยินก็น้ำตาคลอ เธอรู้สึกตื้นตันใจในความรักที่ยายหลิวมีให้กับหลานสาว ยอมหักไม่ยอมงอคือนิยามของยายหลิว และนี่คือการประกาศสงครามอย่างแท้จริง มันคือการตัดขาดความสัมพันธ์ที่เปราะบางนี้ลงอย่างสิ้นเชิง

หลี่เหว่ยหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด "ไม่ได้นะครับคุณป้า เรื่องทั้งหมดมันเป็นความผิดของผมเอง จะให้พวกคุณต้องย้ายออกไปแบบนี้ได้ยังไง ผมจะไปคุยกับพี่ใหญ่เดี๋ยวนี้เลย"

แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันก้าวเท้าออกไป เสียงของเสี่ยวเหลียนก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

"ไม่ต้องหรอกค่ะอาสี่"

ทุกคนหันมามองเธอด้วยความประหลาดใจอีกครั้ง

เสี่ยวเหลียนค่อยๆ แกะมือของหลี่เฟินที่กอดเธอไว้ออกอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ายายหลิว เธอมองลึกเข้าไปในดวงตาของหญิงชราแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและหนักแน่น

"ฉันเห็นด้วยกับการตัดสินใจครั้งนี้ของยายค่ะ" แต่ไม่กลับชนบทอย่างแน่นอน 

คำพูดของเธอทำให้ยายหลิวเองก็ยังต้องเลิกคิ้วมองด้วยความแปลกใจ

เสี่ยวเหลียนพูดต่อ "การอยู่ที่นี่ต่อไปมีแต่จะสร้างความลำบากใจให้แม่เปล่าๆ ทั้งยังสร้างความขัดแย้งไม่รู้จบ แยกออกไปอยู่กันตามลำพังอาจจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย"

เธอรู้ดีว่านี่คือการตัดสินใจที่เสี่ยงอย่างยิ่ง แต่หลังจากที่ได้เห็นความเจ็บปวดของแม่และได้ยินคำพูดของหลี่เฟิน เธอก็เข้าใจในทันทีว่า ครอบครัวที่แตกร้าวนี้มันไม่สามารถเยียวยาได้ด้วยการอยู่ร่วมกันอีกต่อไป 

การแยกตัวออกมาคือการปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเองและยาย และยังเป็นการปลดปล่อยแม่ของเธอออกจากสถานะคนกลาง ที่น่าอึดอัดใจนี้ด้วย

‘ที่สำคัญที่สุด...มันคือการได้มาซึ่งอิสรภาพที่แท้จริง’ เธอคิดในใจ ‘อิสรภาพที่จะกำหนดชีวิตของตัวเองโดยไม่ต้องอยู่ใต้เงาของใคร’

ยายหลิวมองลึกเข้าไปในดวงตาของหลานสาว ท่านเห็นความมุ่งมั่นและความคิดที่สุขุมเกินวัยอยู่ในนั้น ท่านเข้าใจในทันทีว่านี่ไม่ใช่การตัดสินใจที่หุนหันพลันแล่น แต่เป็นการตัดสินใจที่ผ่านการไตร่ตรองมาอย่างดีแล้วของหลานสาวคนนี้ คิดไม่ถึงเหมือนกันว่า หลานสาวที่อยากอยู่กับแม่มากขนาดนั้น จะยอมกลับบ้านอย่างว่าง่าย

"ดี" ในที่สุดยายหลิวก็พยักหน้ารับ "ในเมื่อคิดดีแล้ว...เราก็ไปกันเถอะ"

"เดี๋ยวก่อนค่ะ" เสียงร้องห้ามดังขึ้นมาจากประตูห้องนอน หลิวซือวิ่งออกมาจากห้องด้วยใบหน้าที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา เธอมองแม่และลูกสาวของตัวเองสลับกันไปมา "แม่คะ เสี่ยวเหลียน จะพายายไปแก แกทำอะไรของแกอีก แค่นี้มันยังวุ่นวายไม่พออีกหรือไง"

ยายหลิวมองหน้าลูกสาว รู้สึกเอือมระอา “หลิวซือ ขนาดนี้แล้วแกยังคิดไม่ได้อีกเหรอ เจ้าของบ้านพูดมาขนาดนี้ จะให้แม่กับหลานทนอยู่ได้ยังไง”

คำพูดของยายหลิวคือความจริงที่เจ็บปวด หลิวซือทรุดตัวลงนั่งร้องไห้โฮอย่างหมดหนทาง

เสี่ยวเหลียนรู้สึกเจ็บแปลบในใจ แต่เธอก็รู้ดีว่านี่คือหนทางที่ต้องเลือก เธอเดินเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้าผู้เป็นแม่

"แม่คะ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน แต่เราก็ยังเป็นแม่ลูกกันเสมอนะคะ พอเราหาที่พักได้แล้ว ฉันจะส่งข่าวมาบอก แล้วพอฉันตั้งตัวได้มีงานทำ ฉันจะกลับมาถามแม่อีกครั้ง ว่ายังอยากจะมีพวกเราเป็นครอบครัวอยู่หรือเปล่า"

มันคือคำสัญญา...คำสัญญาที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตทั้งหมด

หลี่เจียงที่ยืนฟังอยู่นาน มั่นใจว่าแม่ยายพูดจริงก็รีบออกมา ตัวเขาเองก็พอจะรู้มาบ้างว่านอกจากลูกสาวแล้ว แม่ยายก็ไม่เคยอ่อนข้อใครกับใคร ท่านเปนคนหัวแข็งคนหนึ่งเลยก็ว่าได้

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ แล้วนี่เก็บข้าวของจะไปไหนกัน” เขาถามเหมือนไม่รู้ว่าในห้องนี้เกิดอะไรขึ้น

“พี่ใหญ่มาก็ดีแล้ว มาช่วยพูดกับคุณป้าหน่อยสิครับ ท่านกำลังจะพาเสี่ยวเหลียนกลับบ้านที่ชนบท ผมห้ามเท่าไหร่ท่านก็ไม่ฟัง” ถ้าไม่ติดว่าเขาเองที่เป็นต้นเหตุ ก็ไม่ได้อยากจะมายุ่งเรื่องนี้สกเท่าไหร่ อยากให้ลูกเขย แม่ยายปรับความเข้าใจกันเองมากกว่า แต่เพราะตนยังไม่หลุดพ้นเลยยังไปไหนไม่ได้

“ย้ายกลับ แม่พูดเล่นหรือเปล่าครับ กลับไปแล้วจะไปอยู่ที่ไหน อีกไม่ถึงเดือนเสี่ยวเหลียนก็ต้องไปเรียนแล้ว”

“หมายความว่ายังไงคะ ไหนพ่อบอกว่า…”

“เฟินเอ๋อร์ ลูกแอบฟังผู้ใหญ่คุยกันอีกแล้วใช่ไหม พ่อบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าแอบฟัง พอฟังแล้วไม่ได้ความก็เอามาพูดต่อจนผู้ใหญ่เข้าใจผิดกันไปหมด” น้อยครั้งมากที่หลี่เจียงจะตำหนิลูกสาว แต่ครั้งนี้เขาจำเป็นต้องทำ

เรื่องที่น้องสาวบอกให้ไล่สองยายหลานออกจากบ้านน่ะใช่ แต่เขามาชั่งน้ำหนักดูแล้ว ถ้าทำแบบนั้น เกิดเรื่องนี้รู้ถึงหูเพื่อนบ้าน ต่อไปเขาคงสู้หน้าใครที่ไหนไม่ได้ แต่ถ้าหากสองคนนั้นยืนยันที่จะไปจริงๆ ต้นเหตุต้องไม่ใช่มาจากครอบครัวหลี่ หากแต่เป็นเพราะพวกเขาอยากไปเอง

“ใช่แล้ว เฟินเอ๋อร์ เป็นเพราะลูกนี่เองที่ไปพูดให้ยายกับพี่สาวเข้าใจผิด เรื่องของผู้ใหญ่เด็กไม่เกียว กลับเข้าห้องไปเลยไป” หลิวซือมองเห็นทางที่แม่กับลูกสาวจะไม่ต้องย้ายออกแล้ว เลยช่วยพูดแก้หน้าให้สามี

ยายหลิวยืนฟังเงียบๆแต่ไม่ยอมพูดอะไรสักคำ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ถ้าผู้ใหญ่ไม่พูด แล้วเด็กมันจะกล้าพูดออกมาได้ยังไง แต่ลูกสาวก็คล้อยตามสามีขนาดนี้แล้ว ท่านจะพูดอะไรได้อีก

เสี่ยวเหลียนฟังแล้วถึงกับอึ้ง อีกไม่กี่ก้าวก็จะเป็นอิสระจากคนพวกนั้นแล้วแท้ๆ สุดท้ายย่าหลี่ที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนมาช่วยพูดเกลี้ยกล่อม พร้อมทั้งคุกเข่าขอขมายายหลิวที่ทำกิริยายไม่เหมาะสม ทั้งยังอ้างว่าเพิ่งกลับจากไปสั่งสอนลูกสาวที่บ้านลูกเขยมา ทำให้สองยายหลานเหมือนคนน้ำท่วมปาก ต้องเอาเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าแล้วแขวนไว้ตามเดิม

 

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   64

    เช้าวันถัดมา เสี่ยวเหลียนก็รีบตื่นตั้งแต่เช้า เพื่อที่จะมาช่วยยายหลิวจัดเตรียมของไหว้ ปล่อยให้สามีนอนอยู่บนเตียงเมื่อคืนทั้งเธอและเขาต่างเปิดประสบการณ์และทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำแต่ไม่กล้า เรียกได้ว่าอิ่มเอมทั้งสองฝ่าย แต่ต้องมาเสียใจทีหลังเพราะปวดระบมไปทั้งร่าง“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ออกมานอกห้องก็เห็นตะเกียงถูกจุดอยู่“อรุณสวัสดิ์” ยายหลิวทักทายหลานสาว“ทำไมไม่เปิดไฟละค จะเปิดจุดตะเกียงอีกทำไม” ไม่พูดเปล่า แต่ยังเดินไปเปิดไฟในบ้านอีกด้วย“เห็นว่ายังเช้ามืดอยู่ กลัวว่าแสงไปจะเข้าไปในห้องรบกวนการนอนของผู้พัน”“เขาไม่เรื่องมากขนาดนั้นหรอกค่ะ” เธอส่ายหน้าให้กับความเอาใจใส่ของท่านที่มีต่อหลานเขย“แกน่ะไม่เคยคิดอะไรเผื่อใครต่างหากล่ะ ช่วงที่พวกเราเดินทางมาซูโจวผู้พันแทบไม่ได้พักผ่อนเลยเพราะมัวแต่เฝ้าของ กลับมาเหนื่อยๆ ก็มาเจอเรื่อง

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   63

    หลังจากที่ซ่งเฉวียพาแม่ของเขากลับไปแล้ว จางเสวี่ยอวี้ก็ตัดสินใจคุยเรื่องนี้กับภรรยาอย่างจริงจัง เพราะอีกไม่กี่วันเขาก็ไปรวมกับสหายยังจุดนัดพบเนื่องจากว่าเขาเดินทางล่วงหน้ามาก่อนสหายหลายวัน คำนวณเวลาดูแล้วคงเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน สหายในกองทัพก็น่าจะเดินทางมาถึงยังจุดนัดพบ“วันนี้คุณใจร้อนเกินไปนะครับ” เขาพูดกับคนในอ้อมกอด ตอนนี้เธอกำลังอ้อนเขาเหมือนแมวน้อยก็ไม่ปาน“ฉันรู้ค่ะ แต่บอกตามตรงว่าพอรู้ว่าย่าซ่งถูกทุบตี ภายในใจฉันก็รู้สึกไม่ยินยอม” เธอตอบอย่างเอาแต่ใจ“อืม แค่รอยฟันเด็ก ไม่ได้เหมารวมว่าแม่ของเขาจะเป็นคนทำนะครับ”“ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆนะคะ ทำไมต้องลงไม้ลงมือกันขนาดนั้นด้วย ทั้งยังเป็นใต้ร่มผ้าที่คนอื่นไม่สังเกตเห็นอีกด้วย ถ้าวันนี้เราไม่เห็นหรือเรากลับมาช้ากว่านี้ ท่านจะมีชีรอดจนถึงสิ้นปีหรือเปล่า คนเต็มบ้านทำไมไม่มีใครสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ ถ้าท่านจะความจำเสื่อมฉันว่าก็

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   62

    ตอนนี้เวลาหกโมงเย็น คนที่ออกไปหาปลาก็ทยอยกลับเข้าบ้าน รวมถึงคนบ้านซ่งด้วยเหมือนกัน ผู้นำหมู่บ้านกลับเข้าบ้านมาก่อนลูกชายไม่นาน วันนี้ท่านมีประชุมในตัวเมืองเลยกลับถึงบ้านช้ากว่าทุกวัน“แค่คนแก่คนเดียวทำไมคุณถึงดูแลไม่ได้ คนอื่นต้องลงเรือหาปลากันทั้งวัน ตากแดดตากลม นี่ให้อยู่บ้านเลี้ยงลูกดูแลแม่แค่นี้ก็ยังทำไม่ได้” พี่ใหญ่ซ่งด่ากราด เนื่องจากกลับมาถึงบ้านแล้วภรรยาบอกข่าวร้ายว่าแม่เขาหนีออกจากบ้านอีกแล้ว“ใจเย็นๆ น่าพี่ใหญ่” ซ่งเฉวียน ชายหนุ่มรูปร่างกำยำ ผิวคล้ำเพราะออกเรือหาปลาทุกวันตบไหล่พี่ชาย ด้วยกลัวว่าเขาจะลงไม้ลงมือกับพี่สะใภ้ใหญ่“แกจะให้ฉันใจเย็นอยู่ได้ยังไงเจ้าสาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หล่อนทำพลาด เดือนนี้กี่ครั้งแล้วที่แม่หายตัวไป”“เอาน่า ลองแยกกันหาดูอีกทีแล้วกันครับ พ่อเอาปลาไปขายให้ส่วนกลางก่อนที่ปลาจะตายแล้วไม่มีราคา” ซ่งเฉวียนบอกกับผู้เป็นพ่อ

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   61

    ข่าวเรื่องสองยายหลานกลับบ้านมาตอนนี้ดังไปทั่วทั้งหมู่บ้านสายน้ำแล้ว เสี่ยวเหลียนไม่มีเวลาสนทนากับใคร เธอวุ่นอยู่กับการทำความสะอาดบ้าน หน้าที่รับแขกเลยเป็นของยายหลิวและหลานเขย“ไอหยา…วาสนาเสี่ยวเหลียนนี่ดีจริงๆ เลยนะ ได้สามีเป็นคนเมือง”“นั่นน่ะสิ แล้วนี่จะกลับมาอยู่ที่นี่กันแล้วเหรอ”“จะเป็นไปได้ยังไง มีผู้ชายที่ไหนแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงบ้างล่ะ”“แกลืมไปหรือเปล่า ก็ลูกสาวนางหลิวไง แม่เสี่ยวเหลียนก็แต่งพ่อเสี่ยวเหลียนเข้าบ้านมาไม่ใช่เหรอ”“ฮ่าๆ จริงสิเนอะ เกือบลืมเรื่องนี้ไปเลย”แต่แล้วรองเท้าจากที่ไหนไม่รู้ลอยมากลางวงสนทนา จางเสวี่ยอวี้ปฏิกิริยาเร็ว เขาใช้ถาดขึ้นมากันเอาไว้ ไม่ให้ยายหลิวถูกลูกหลง กลายเป็นว่ารองเท้ากระทบกับถาด ลอยไปฟาดปากคนที่หัวเราะอย่าพอเหมาะพอเจาะจนหุบปากไม่ทัน

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   60

    ยายหลิวพอรู้ว่าหลานสาวและหลานเขยจะไปส่งที่ซูโจวก็ทั้งดีใจและเกรงใจ ดีใจที่จะได้พาหลานสาวกลับไปไหว้ บอกกล่าวบรรพบุรุษตระกูลหลิว และเกรงใจหลานเขย เพิ่งกลับมาจากทำงานต่างเมืองแท้ๆ ยังไม่ทันได้หายเหนื่อยก็ต้องออกเดินทางอีกแล้ว“ลำบากหลานเขยแล้ว” ยายหลิวพูดขึ้น ขณะที่หลานเขยช่วยท่านยกกระเป๋าขึ้นไปบนรถไฟ“ไม่เป็นไรครับ”จางเสวี่ยอวี้ยิ้มรับ วันนี้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะเมื่อคืนได้ปลดปล่อยเต็มที่หลังจากที่กักเก็บลูกๆ มานาน ต่างจากจ้าวเสี่ยวเหลียนที่แทบไม่อยากจะขยับตัว“ของีบหน่อยนะคะ” ขึ้นบนรถไฟได้ เธอก็หลับมาตลอดทางยายหลิวส่ายหน้าให้กับความขี้เซาของหลานสาว แต่เพราะเธอเป็นคนเมารถ ท่านเลยเข้าใจปว่าหลานสาวน่าจะเมารถไฟด้วยเหมือนกัน ทั้งที่ความจริงแล้วเธอเมาอย่างอื่นที่สามีมอบให้ต่างหากล่ะตลอดการเดินทาง จางเสวี่ยอวี้ดูแลสองยายหลานเป็นอย่างดี จองตั๋วนอนให้จะได้โดยสารสะดวก ทั้งยังเป็นคนดูแลความเรียบร้อย เรียกได้ว่ามีเขาอยู่ ยายหลิวสบายตลอดทั้งทางใช้เวลาเดินทางห้าวันก็มาถึงซูโจว ชายหนุ่มมองไปรอบๆ เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งสายน้ำ เนื่องจากมีคลองขนส่งตลอดทั้งเส้นทาง ผู้คนสัญจรทางเรือมากกว

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   59

    จ้าวเสี่ยวเหลียนยื้อให้ยายอยู่ด้วยกันจนกระทั่งถึงเดือนกันยายน อากาศเริ่มเย็นลงเล็กน้อย ถึงเวลาที่ท่านจะต้องกลับซูโจวแล้วจริงๆ“ทำไมไม่อยู่ต่ออีกสักหน่อยละคะ รอให้ถึงวันชาติฉันกับพี่เสวี่ยอวี้จะได้ไปส่งยายได้” หญิงสาวต่อรอง“กลับวันนี้หรือวันไหนก็เหมือนกัน จะยื้อต่อไปอีกทำไม” ยายหลิวส่ายหน้า มือก็สาละวนอยู่กับการจัดกระเป๋าสำหรับเดินทางช่วงหลังแต่งงานเธอไม่ได้กลับบ้านเพื่อไปไหว้ครอบครัวเดิม เพราะครอบครัวของเธอก็คือยายหลิว ในเมื่อยายอยู่กับตัวเองที่นี่ ก็ไม่จำเป็นต้องกลับส่วนหลิวซือเองก็ได้ติดอะไร ด้วยรู้อยู่แล้วว่าลูกสาวเลือกอยู่ข้างใคร และเธอเองก็ถือว่าตัวเองทำหน้าที่แม่ได้อย่างเต็มที่ ส่งลูกสาวขึ้นเรือลำเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้วเรียบร้อยจะว่าไปจ้าวเสี่ยวเหลียนเองก็ถือว่าโชคดีกว่ามาก แม้ว่าแรกเริ่มจะไม่ดีเท่าที่ควร แต่หลังจากเลือกที่จะตกลงปลงใจกับจางเสวี่ยอวี้แล้ว ชีวิตของเธอเรียกได้ว่าเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขณะที่สองยายหลานคุยกันอยู่นั้น จางเสวี่ยอวี้ก็กลับมาจากปฏิบัติงานนอกพื้นที่พอดี ที่ยายหลิวยอมใจอ่อนอยู่ต่อนานนับเดือนขนาดนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอยากอยู่เป็นเพื่อนหลานสาว

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status