“พี่ชิงหรงชุดที่พี่ใส่ฉันชอบมากเลยค่ะ” ซุยหลันซีชอบจริงๆ ในยุคสมัยนี้ยังพอมีกี่เพ้าแบบดั้งเดิมให้เห็น นั่นก็คือการปักลวดลายด้วยมือ ไม่เหมือนกับในยุคที่เธอจากมา ลายบนผ้าจะเป็นการใช้เครืองจักรพิมพ์ลาย งานฝีมือแบบดั้งเดิมแทบจะ ไม่มีใครอนุรักษ์แล้ว
“อย่าบอกฉันนะว่าชุดที่พี่ใส่อยู่ตอนนี้ เป็นฝีมือพี่ตัดเอง?” ซุยหลันซีมองสำรวจขึ้นลงชุดที่หลี่ชิงหรงสวมใส่ ชุดนี้ตัดเย็บได้ประณีตมากจริงๆ
“ใช่แล้วล่ะ ชุดนี้พี่ตัดเย็บและปักลายเอง” หลี่ชิงหรงยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “พี่ชอบเสื้อผ้ามาก แล้วยังมีความฝันว่าในอนาคตอยากจะมีร้านตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นของตัวเอง แต่ตอนนี้ทำได้แค่ฝันไปก่อน”
“ฉันว่าฝีมือการตัดเย็บของพี่ดีมากเลยนะคะ ถ้าฉันมีเงินจะขอเป็นหุ้นส่วนเปิดร้านกับพี่”
ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวของซุยหลันซีทันที
ฝีมือตัดเย็บของพี่สาวข้างบ้านดีมากจริงๆ ถ้านำเอาแบบเสื้อผ้าในอีกสี่สิบปีข้างหน้ามาผลิตขาย น่าจะขายดี เพราะแบบเสื้อผ้าแปลกใหม่ดูล้ำสมัยกว่าในตอนนี้
แม้เทคโนโลยีทางด้านเนื้อผ้าและลายผ้าในสมัยนี้คงเทียบไม่ได้กับในอีกหลายสิบปีข้างหน้า แต่จุดเด่นคือในยุคนี้ยังคงงานฝีมือการปักผ้าไว้อยู่
หลี่ชิงหรงฟังความคิดของหญิงสาวตรงหน้าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เพราะคิดว่าเป็นไปได้ยากเหลือเกิน แต่ก็ไม่ได้แย้งอะไร
“แต่ละคนมีความถนัดไม่เหมือนกันนี่คะ ว่าแต่... พี่สาวฉันขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ?”
“ได้สิ เธออยากรู้เรื่องอะไรถามมาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”
ดวงตาของซุยหลันซีเป็นประกาย “ฉันอยากจะทำงานค่ะ แต่ฉันเพิ่งมาถึงที่นี่ ไม่รู้ว่าต้องไปหางานทำที่ไหน พี่พอจะแนะนำฉันหน่อยได้ไหมคะ?”
“เธอทำอะไรเป็นบ้างล่ะ พี่สาวคนนี้จะได้แนะนำได้ถูก”
ซุยหลันซีครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ร่างนี้นอกจากแต่งตัวสวยๆ แล้ว อย่างอื่นก็แทบจะทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง แต่ความที่เธอชอบแต่งตัวกลับส่งผลดี เธอมีความรู้เกี่ยวเรื่องผ้าอย่างไม่น่าเชื่อ
นิสัยของร่างนี้ แม้จะชอบรังแกเหยียดหยามผู้อื่น แต่เธอมีงานอดิเรก ยามว่างเธอศึกษาเรื่องการปักผ้า ฝีมือการปักผ้าของเธอเข้าขั้นมหัศจรรย์ ดูเหมือนเธอจะมีเทคนิควิธีการปักผ้าแบบที่ไม่เหมือนใคร
มาอาศัยอยู่ในร่างนี้ ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำได้ดีเหมือนเจ้าของไหม ซุยหลันซีนึกหวั่นใจอยู่เล็กน้อย
“ฉัน... เขียนนิยายได้ วาดรูปเป็น และอาจจะปักผ้าได้อีกนิดหน่อยค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เหมาะเลย ถ้าเธอวาดรูปได้ ตอนนี้อยู่บ้านว่างๆ ไม่ได้ทำอะไร ทำไมไม่ลองออกแบบเสื้อผ้าส่งไปที่ที่โรงงานเฟิงหยุนล่ะ เถ้าแก่เนี้ยของพี่กำลังหานักออกแบบคนใหม่มาทำงานที่โรงงาน”
ได้ยินดังนั้น ซุยหลันซีก็ตาลุกวาวด้วยความสนใจ เธอคลี่ยิ้มกว้างถามหลี่ชิงหรง “จริงเหรอคะ เขามีข้อกำหนดอะไรบ้างไหม?”
“ก็แค่ออกแบบชุดที่คิดว่ามันขายได้ ไม่จำกัดว่าจะเป็นแบบไหนนะ” หลี่ชิงหรงเอียงคอขมวดคิ้วตอบ
“ขอบคุณมากนะคะ พี่ชิงหรง ฉันจะลองดู” ซุยหลันซีรู้สึกตื่นเต้นกับข่าวนี้เป็นอย่างมาก
“ว่าไงเล่อเล่อ ยังกินไม่อิ่มอีกเหรอ” หลี่ชิงหรงเอ่ยถามลูกชายเมื่อเห็นว่าเวลาผ่านไปนานแล้ว
“อิ่มแล้วครับ” เล่อเล่อตอบ มือน้อยๆ ลูบท้องป่องของตัวเอง
“เอาล่ะ วันนี้มารบกวนเธอนานแล้วพี่กลับบ้านก่อนดีกว่า วันนี้พี่หยุดงานเพราะจะไปทำธุระที่อำเภอ ตอนบ่าย วันพรุ่งนี้ก็ต้องกลับไปทำงานแล้ว” พูดจบหลี่ชิงหรงก็ลุกขึ้นยืน
“ระหว่างที่พี่ไปทำงาน ใครดูแลเล่อเล่อเหรอคะ”
“ใกล้ๆ ตึกที่เราอยู่มีศูนย์รับเลี้ยงเด็ก คนที่ดูแลเด็กๆ ชื่อป้าหวัง คู่สามีภรรยาส่วนใหญ่ต้องไปทำงาน จึงเอาลูกไปฝากให้ป้าหวังเลี้ยงเพราะอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะต้องเข้าโรงเรียน”
“เอาแบบนี้ไหมคะ ช่วงนี้ฉันไม่ได้ไปทำงานที่ไหนอยู่บ้านตลอด พี่พาเล่อเล่อมาไว้กับฉันก็ได้ค่ะ” ซุยหลันซีเสนอ ช่วงนี้ออกแบบชุดเพื่อเอาไปเสนอโรงงาน อย่างไรก็ไม่ได้ออกไปไหนอยู่แล้ว พี่สาวข้างบ้านจะได้ประหยัดค่าเลี้ยงดู
“จะดีเหรอ?” หลี่ชิงหรงถามด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ
“ดีแน่นอนค่ะ เพราะฉันก็เหงาเหมือนกัน ตอนนี้ยังไม่ได้ทำอะไรฉันดูแลเล่อเล่อให้ก่อนก็ได้ค่ะ”
“อย่างนั้นก็ขอบคุณเธอมากนะ” หลี่ชิงหรงยิ้มกว้าง ก่อนจะพาลูกชายกลับบ้าน
ซุยหลันซีส่งทั้งคู่ที่ประตู แล้วกลับมาเก็บล้างถ้วยชาม ในหัวเธอกำลังแล่น เต็มไปด้วยความคิดมากมายที่อยากจะลงมือทำ ความสามารถของเธอจากยุคก่อน สามารถนำมาเริ่มต้นทำได้ แต่ปัญหาคือยุคนี้ไม่มีอินเทอร์เน็ต หากจะเขียนนิยายก็ต้องไปติดต่อสำนักพิมพ์ที่พิมพ์หนังสือพิมพ์ขาย
ความหวังและความตื่นเต้นเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ เธอรู้สึกว่าชีวิตใหม่ในเมืองกว่างโจวอาจไม่ได้ยากลำบากอย่างที่คิดไว้ก็เป็นได้
ตอนนี้สิ่งแรกที่ต้องทำคือออกแบบเสื้อผ้าตามที่พี่สาวข้างบ้านแนะนำก่อน จับพลัดจับผลูได้เป็นนักออกแบบก็จะได้มีรายได้ ชีวิตดำรงอยู่ได้ด้วยเงิน เมื่อมีเงินเรื่องอื่นๆ ก็จะง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
แต่จะออกแบบเสื้อผ้าคงต้องออกไปดูว่าคนในสมัยนี้สวมใส่กันแบบไหน ซุยหลันซีคิดในใจ พลางเลือกชุดที่จะใส่ออกไปข้างนอก เตรียมพร้อมออกสำรวจยุคสมัยที่ยากจะมีใครได้มีโอกาสมาสัมผัสด้วยตาตนเองเหมือนเช่นเธอในเวลานี้
ตอนที่จัดเสื้อผ้าเก็บเข้าตู้ เธอไม่มีเวลามาสนใจชุดเหล่านี้ พอวันนี้ได้มาเห็น ซุยกลันซีอดชมรสนิยมเจ้าของร่างไม่ได้ เสื้อผ้าทุกตัวตัดเย็บอย่างประณีต ลายที่ปักดูมีชีวิตชีวาราวกับของจริง
เธอหยิบกี่เพ้าคอจีนสีชมพูไข่มุก ปักลายดอกเหมยสีแดงเข้ม ผ่าข้างเหนือเข่าเล็กน้อยมาสวม
ซุยหลันซีมองตัวเองในกระจก ใบหน้างดงามผิวขาวเนียนละเอียด เอวคอดกิ่วสะโพกผาย เพิ่งได้เห็นหน้าตาและเรือนร่างนี้ชัดเต็มสองตา เธอถึงกับตกตะลึง ร่างนี้ช่างแตกต่างกับตัวตนของเธออย่างเทียบกันไม่ติด เธอในยุคก่อนหน้าชอบสวมกางเกงย้วยๆ เสื้อยืด เพราะเป็นนักเขียน นักวาด ทำงานอยู่แต่ในบ้าน ไม่ได้ออกไปไหน ไม่รู้ว่าจะต้องแต่งหน้าแต่งตัวไปทำไมให้เสียเวลาวาดรูป เขียนนิยาย
มองตัวเองในกระจกหมุนซ้ายหมุนขวา ก็รู้สึกว่ายังขาดอะไรบางอย่าง เธอไปค้นในกระเป๋าถือ พบลิปสติกสีแดงกับแป้งตลับ หยิบแป้งออกมาทาหน้า และทาลิปสติก ปล่อยผมยาวตรงนุ่มเด้งสยายเต็มแผ่นหลัง ทำให้ใบหน้าที่ดูขาวซีดก่อนหน้านี้มีสีสันขึ้นมา คว้ากระเป๋าถือดูแล้วน่าจะหรูที่สุดในยุคนี้ออกจากบ้าน
ลงมาถึงด้านล่างมองซ้ายขวาก็จนใจ เธอต้องการไปย่านการค้า ที่นั่นน่าจะช่วยให้เธอได้ข้อมูลเพื่อนำมาวาดแบบเสนอโรงงาน แต่ไม่รู้จะไปทางไหน เมื่อกี้ก็ดันลืมถามพี่สาวข้างบ้าน
ถอนหายใจอยู่เฮือกหนึ่ง สุดท้ายก็ถามทางคนที่เดินผ่านมา บอกเธอว่าย่านการค้าที่คนนิยมไปกันมากที่สุดอยู่ที่ถนนเป่ยจิงลู่ อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ นั่งรถสามล้อไปก็ได้
“พ่อค่ะ รถยนต์คันใหญ่มาจากไหนเหรอคะ”ซุยหลันซีเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยท่านนายพลหวนคิดไปถึงในวันที่ถูกปล่อยจากคุกในวันที่ได้รับอิสรภาพกลับคืนมา ก่อนที่เขาจะออกจากคุก ท่านนายพลกุ้ยได้เข้าไปพบเข้าถึงด้านในจุดที่เตรียมตัวปล่อยนักโทษนายพลทั้งสองนั่งเผชิญหน้ากันเป็นครั้งสุดท้าย“ท่านนายพลกุ้ย ผมขอขอบคุณที่เห็นแก่มิตรภาพเก่าแก่” ท่านนายพลซุยกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ หลังจากลงนามในเอกสารมอบทรัพย์สินให้พรรคและยังมีการสัญญาว่านายพลซุยหานจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับทางทหารและทางการเมืองอีก และจะไม่เข้ามาที่ปักกิ่งอีกตลอดชีวิตเช่นกัน“อาหาน เราเป็นเพื่อนกันมานาน” ท่านนายพลกุ้ยตบบ่าเบาๆ “ผมรู้ว่าคุณรักลูกสาวมาก นี่เป็นเงินก้อนหนึ่ง เพียงพอสำหรับซื้อบ้านที่กว่างโจว และสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายไปจนตลอดชีวิต” เขาส่งกระเป๋าหนังสีน้ำตาลให้“และนี่...” ท่านนายพลกุ้ยยื่นกุญแจรถพร้อมเอกสารการเป็นเจ้าของให้ “รถคันใหม่ สำหรับครอบครัวของคุณ”ท่านนายพลซุยรับมาด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณมาก ผมจะไม่ลืมน้ำใจนี้”“แค่สัญญากับผมว่า จะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุขกับครอ
เมื่อถึงวันที่ซุยหลันซีกับเติ้งเว่ยหมิงต้องไปรับท่านนายพลซุยกับเติ้งหลิวป๋อที่ปักกิ่ง ซุยหลันซีที่ตั้งครรภ์ได้เข้าเดือนที่ห้าแล้วก็เกิดอาการแพ้ท้องอย่างหนัก ทำให้ไม่สามารถไปรับบิดาของเธอได้“หลันหลัน คุณพักผ่อนอยู่ที่บ้านเถอะนะ”เติ้งเว่ยหมิงเอ่ยเสียงนุ่มพลางจัดผ้าห่มให้ภรรยาที่นอนพิงหมอนอยู่บนเตียง ซุยหลันซีส่ายหน้าน้อยๆ ดวงตาฉายแววกังวล “พี่เว่ยหมิง ฉันอยากไปรับพ่อด้วย...”“ไม่ได้หรอก” เติ้งเว่ยหมิงขัด พลางลูบท้องกลมของภรรยาเบาๆ “ลูกในท้องสำคัญที่สุด หมอบอกแล้วว่าต้องพักผ่อนให้มากๆ”ซุยหลันซีกุมมือสามีไว้ ใบหน้าเศร้าสร้อย “แต่ฉันคิดถึงพ่อมาก...” เสียงสั่นเครือ “ไม่ได้เจอกันตั้งหลายเดือน”“พี่เข้าใจ” เติ้งเว่ยหมิงโอบไหล่ภรรยา“แต่ท่านนายพลคงไม่อยากเห็นหลานในท้องต้องลำบาก ใช่ไหม?”“ฉันฝากพี่ช่วยบอกพ่อด้วยนะคะว่าหลันหลันคิดถึง แล้วก็...” ซุยหลันซีชะงัก มือกุมท้องแน่น“เป็นอะไรครับ?” เติ้งเว่ยหมิงถามอย่างตกใจ“คลื่นไส้อีกแล้วค่ะ” ซุยหลันซีรีบคว้าถ้วยน้ำขิงที่วางอยู่ข้างเตียงขึ้นมาจิบ“นี่แหละครับ เหตุผลที่คุณต้องอยู
ซุยหลันซีรีบบอกหลานชายพร้อมกับช่วยดันร่างเล็กของเด็กชายขึ้นไปที่กลางเวทีเมื่อเด็กชายมาถึง พิธีกรก็ให้เขาไปยื่นอยู่ข้างผู้เป็นแม่ เล่อเล่อยืนอยู่ท่ามกลางสายตานับร้อยคู่ก็เกิดความประหม่า แต่เพราะมีมือที่อบอุ่นของแม่กอบกุมมือเขาไว้ เด็กชายจึงค่อยลดความประหม่าลงได้ในที่สุด พิธีกรส่งไมโครโฟนให้กับหลิวเจิ้งเย่“เล่อเล่อ วันนี้อาได้ทำพิธีแต่งงานอย่างถูกต้องกับแม่ของเล่อเล่อแล้ว แต่ว่าอายังไม่ได้ขออนุญาตจากเล่อเล่อเลย” หลิวเจิ้งเย่หยุดพูดสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกล่าวออกไป“เล่อเล่อ ต่อไปนี้อนุญาตให้อาเป็นพ่ออีกคนของเล่อเล่อได้ไหม อาสัญญาว่าจะทำหน้าที่พ่อของเล่อเล่อให้ดีที่สุด จะไม่ลำเอียง จะไม่ทำโทษอย่างไม่มีเหตุผล และที่สำคัญเล่อเล่อจะเป็นคนสำคัญของอาอีกคน ได้ไหม?”เล่อเล่อเงยหน้ามองไปที่หลี่ชิงหรงเมื่อเห็นแม่ของตนพยักหน้าให้ก็เอ่ยตอบเสียงเบา“พ่อครับ” เล่อเล่อโผเข้ากอดหลิ้วเจิ้งเย่พร้อมกับร้องไห้ออกมา หลิวเจิ้งเย่ก็น้ำตาคลอไปเหมือนกัน “เล่อเล่อมาเป็นลูกชายคนโตของพ่อนะ” เล่อเล่อครางรับอืออาผู้คนส่งเส
เช้าตรู่ของวันมงคล บ้านเจ้าสาวตกแต่งด้วยโคมแดงและตัวอักษรมงคลที่ติดไว้บนประตูไม้สีสดที่เพิ่งผ่านการทาสีและปรับปรุงบ้านไปไม่นานมานี้ผ้าไหมสีแดงสดปักลวดลายหงส์คู่ถูกแขวนประดับทั่วบริเวณ เพิ่มความรู้สึกอบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยความเป็นสิริมงคล กลิ่นธูปหอมที่จุดไว้หน้าโต๊ะบรรพบุรุษอบอวลไปทั่วห้อง เสียงหัวเราะคิกคักของญาติๆ ที่ช่วยกันจัดเตรียมพิธีดังแทรกมากับเสียงข้าวของที่ถูกขนย้ายเสียงเครื่องดนตรีดังกังวานไปทั่วลานกว้างของหน้าบ้านขนาดสองชั้นของหลี่ชิงหรง ผ้าแดงประดับประดาพลิ้วไหวตามสายลมอ่อน สะท้อนแสงแดดยามเช้าเป็นประกายระยิบระยับบนผ้าไหมสีแดงสดที่พันกายหลี่ชิงหรง ในห้องเตรียมตัวสำหรับเจ้าสาวชุดแต่งงานที่เธอสวมใส่เป็นผลงานการออกแบบล่าสุดของซุยหลันซีที่ตั้งใจรังสรรค์ให้เป็นของขวัญพิเศษสำหรับเพื่อนบ้านที่เปรียบเสมือนพี่สาวอีกคนท่อนบนเป็นชุดกี่เพ้าแขนสั้น คอจีนตั้งสูงประดับกระดุมมงคลสีทองเก้าเม็ด ปักลายดอกโบตั๋นด้วยด้ายสีทองและสีแดงอย่างวิจิตร เน้นให้เห็นสรีระส่วนบนอย่างงดงามแต่ไม่โป๊เปลือย ช่วงเอวคอดรับกับทรวดทรงของหลี่ชิงหรงอย่างพอเหมาะส่วนกระโปรงคือจ
รถบรรทุกขนาดกลางจอดนิ่งหน้าบ้านสองชั้นหลังงาม กำแพงสีขาวสะอาดตา หลังคากระเบื้องสีเทาเข้ม ประตูไม้แกะสลักอย่างประณีต กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยมาตามสายลมยามเช้า ผสมกับไอเย็นจากลำธารด้านหลังบ้าน“สามหมื่นห้าพันหยวน...” ซุยหลันซีพึมพำขณะยืนอยู่กลางห้องโถง สายตากวาดมองไปรอบๆ อย่างพินิจพิเคราะห์ ตัวเลขที่ดูสูงลิ่วแต่คุ้มค่า เพราะนอกจากพื้นที่กว้างขวางแล้ว บ้านหลังนี้มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยที่สุดในยุคสมัยนี้แสงธรรมชาติสาดส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาในห้องโถง ปรากฏลวดลายของแสงและเงาบนพื้นไม้ขัดมัน ห้องครัวกว้างขวางมีชั้นวางของและพื้นที่ทำครัวที่จัดวางอย่างลงตัว แม้ยังไม่มีตู้เย็นหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าทันสมัยแต่ระบบไฟฟ้าที่เพิ่งติดตั้งใหม่และปลั๊กไฟที่เตรียมไว้ก็พร้อมรองรับอนาคต น้ำประปาไหลแรง ที่สำคัญอยู่ในย่านที่ไม่มีความพลุกพล่าน ใกล้โรงเรียน ซึ่งต่อไปลูกๆ ของเธอจะได้ไปโรงเรียนได้อย่างสะดวก แถมยังไม่ไกลจากตลาดมากนัก ห่างจากโรงงานเฟิงหยุนแค่เพียงเดินทางด้วยรถโดยสารประมาณยี่สิบนาทีเท่านั้นที่สะดวกที่สุดคือบ้านหลังนี้อยู่ใกล้กับร้านตัดเสื้อหรงหลันของเธอนั่นเอง
หลังจากเรื่องเข้าใจผิดระหว่างถังจิงฮวากับเติ้งเว่ยหมิงคลี่คลายลง เวลาก็ผ่านมาอีกหนึ่งเดือนเสียงหัวเราะสดใสของเล่อเล่อดังแว่วมาจากมุมหนึ่งของบ้านหลี่ชิงหรง วันนี้ซุยหลันซีกับหลี่ชิงหรงไม่ได้ไปทำงาน เนื่องจากว่าเป็นวันหยุด พวกเธอทั้งสองคนกำลังนั่งออกแบบชุดแต่งงานของหลี่ชิงหรงกับหลิวเจิ้งเย่ที่จะจัดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า“หลันหลัน จดหมายมาค่ะ” เสียงของหลี่ชิงหรงดังแทรกเข้ามาในความคิด พร้อมกับซองจดหมายสีน้ำตาลยื่นมาตรงหน้าซุยหลันซีเงยหน้าขึ้นจากงานออกแบบที่กำลังทำค้างอยู่ ยื่นมือออกไปรับซองจดหมายดังกล่าวพร้อมกับเอ่ยขอบคุณ“ขอบคุณมากค่ะ”หัวใจของคนที่ถูกเรียกชื่อเต้นแรงขึ้นเมื่อสังเกตเห็นตัวอักษรที่คุ้นตาบนซองจดหมาย เป็นลายมือของเติ้งหลิวป๋อ พ่อของสามีเธอ นิ้วเรียวยาวค่อยๆ แกะซองออกอย่างระมัดระวัง สายตากวาดอ่านข้อความในจดหมายอย่างรวดเร็ว“พี่ชิงหรง!”เธอร้องเรียกหุ้นส่วนเสียงดัง“พ่อ... พ่อของฉันจะได้กลับบ้านแล้ว!”น้ำตาแห่งความปีติไหลอาบแก้ม เธอลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความดีใจ แต่ทันใดโลกก็หมุนคว้าง เมื่อลุกขึ้นอย่างรว