เติ้งเว่ยหมิงกำลังเก็บถ้วยชามบนโต๊ะไปล้าง จู่ๆ มือขาวๆ ของซุยกลันซีก็แย่งถ้วยในมือไปถือไว้พร้อมกับบอกว่า
“พี่ไปพักผ่อนเถอะ งานพวกนี้ฉันทำเอง”
เติ้งเว่ยหมิงได้ยินถึงกับชะงัก มองหญิงสาวอย่างแปลกใจ
“ต่อไปนี้งานบ้านทุกอย่าง ฉันจะเป็นคนจัดการเอง พี่ไปทำงานข้างนอกมาก็เหนื่อยทั้งวันแล้ว กลับมาบ้านพี่ควรจะได้พักผ่อน” คำตอบของซุยหลันซีถึงกับทำให้เติ้งเว่ยหมิงพูดไม่ออก เขาตะลึงไปแล้วจริงๆ
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่ค่ะ ฉันพูดว่าฉันทำได้ ฉันก็หมายความตามนั้นจริงๆ พี่ไปนั่งพักเถอะค่ะ” เธอพูดพลางดันร่างของชายหนุ่มให้เดินไปนั่งที่เก้าอี้ยาวตัวที่เขานอนเมื่อคืนนี้
คล้อยหลังซุยหลันซีเดินกลับไปห้องครัว เติ้งเว่ยหมิงยังคงนั่งอึ้งอยู่ที่เดิม พักใหญ่กว่ารู้สึกตัว สะบัดหัวด้วยความไม่แน่ใจ แล้วลุกเดินเข้าไปในห้องนอนหยิบเอาเสื้อผ้าออกมาเพื่ออาบน้ำ
‘นี่ใช่คุณหนูผู้แสนเย่อหยิ่งคนนั้นจริงๆ หรือ’
พอออกจากห้องน้ำก็พบว่าซุยหลันซีจัดการเก็บล้างห้องครัวเรียบร้อย พอดีกับที่เติ้งเว่ยหมิงอาบน้ำเสร็จแล้วเช่นกัน ชายหนุ่มเดินเข้าไปหยิบหมอนกับผ้าห่มกำลังจะเดินออกไปจากห้องนอนก็ต้องหยุดชะงักฝีเท้าตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาวตรงหน้า
“พี่เว่ยหมิง พี่นอนที่นี่เถอะ พี่ตัวใหญ่ขนาดนี้เก้าอี้แม้จะยาวแต่ก็ไม่ยาวเท่ากับขาของพี่ นอนหลับไม่สบายตัวแล้วต้องออกไปทำงานนอกบ้านทุกวัน เหนื่อยกลับมาบ้าน ก็ควรได้พักผ่อนให้ดีๆ หน่อย” ซุยหลันซียืนอยู่หน้าประตูห้องนอนเอ่ยขึ้น
“มันจะดีเหรอ? เธอแน่ใจนะ?” เติ้งเว่ยหมิงถามอย่างไม่มั่นใจและยังกังวลใจอยู่ลึกๆ
“ฉันเชื่อในความเป็นสุภาพบุรุษของพี่ค่ะ ถึงแม้ว่าพี่จะนอนข้างนอก แต่ถ้าพี่จะทำอะไรฉันมันก็ง่ายนิดเดียวไม่ว่าจะนอนที่ไหน ตราบใดที่อยู่บ้านเดียวกัน ก็เหมือนกันนั่นแหละคะ พี่นอนพักไปก่อนเลยนะคะ ฉันขอตัวไปอาบน้ำก่อน” พูดจบแล้วก็ไม่รอให้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอได้พูดอะไร จัดการหยิบผ้าเช็ดตัวและชุดนอนถือเดินออกไปที่ห้องน้ำทันที
เติ้งเว่ยหมิงจึงเอาที่นอนไปเก็บพร้อมกับเดินไปนั่งพิงหัวเตียงหยิบหนังสือมาอ่าน เพราะเวลาก็ยังไม่ดึกมาก เขายังไม่ง่วงเท่าไหร่ แต่เหมือนจะอ่านไม่เข้าหัว ดังนั้นพอได้ยินเสียงปิดประตูห้องน้ำเขาจึงเก็บหนังสือ ขยับตัวเข้าไปด้านในของเตียงแล้วล้มตัวลงนอน เผื่อว่าหญิงสาวเข้านอนจะได้ไม่ต้องเสียเวลาปลุกเขา
ซุยหลันซีอาบน้ำเสร็จกลับเข้ามาในห้อง วางเสื้อลงในตะกร้า มองไปที่เตียงเห็นว่าชายหนุ่มนอนหลับไปแล้ว เธอจึงเดินไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง หยิบครีมขึ้นมาทาผิว
เติ้งเว่ยหมิงค่อยๆ หันกลับมาลืมตาแอบมองเธอ ผิวของเธอขาวเนียนละเอียด เขาถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ แม้จะรู้ว่าไม่สมควร แต่ภาพงดงามตรงหน้าก็ทำให้เขาอดใจไม่ไหว
ซุยหลันซีเหมือนได้ยินเสียงแปลกๆ จึงหันไปมอง ชายหนุ่มรีบพลิกตัวหันกลับไปแทบไม่ทัน หญิงสาวไม่ได้คิดอะไรมาก เมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อยก็เดินออกไปนอกห้องนอน หยิบกระดาษและดินสอออกมาวาดแบบชุดที่คิดเอาไว้ในหัว เพื่อที่จะส่งเข้าร่วมแข่งขันที่โรงงานเฟิงหยุน
ผ่านไปพักใหญ่เตียงด้านข้างยังว่างเปล่า เติ้งเว่ยหมิงจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกไปด้านนอก พบว่าหญิงสาวกำลังตั้งอกตั้งใจนั่งวาดอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มเดินเท้าเบาเข้าไปใกล้ๆ ยืนมองเธออยู่นาน จนอดเอ่ยปากออกมาไม่ได้
“ผมไม่เคยรู้ว่าคุณวาดรูปได้เก่งขนาดนี้”
ซุยหลันซีสะดุ้งสุดตัว จนเกือบจะร่วงตกจากเก้าอี้ แต่ที่ร่วงลงไปจริงๆ คือดินสอ เติ้งเว่ยหมิงรีบก้มลงเก็บดินสอยื่นส่งให้เธอ เป็นจังหวะเดียวกับที่เธอพรวดพราดลุกจากเก้าอี้ แต่เพราะนั่งวาดรูปอยู่นานทำให้ขาเป็นเหน็บชา ยืนไม่มั่นคง โงนเงนทำท่าจะล้ม ชายหนุ่มรีบโอบประคองซุยหลันซีเอาไว้ได้ทันท่วงที
กลิ่นหอมอ่อนๆ จากร่างในอ้อมแขนลอยแตะจมูกเติ้งเว่ยหมิง ชายหนุ่มไม่กล้าหายใจแรง
“ขอบคุณค่ะ พี่ทำให้ฉันตกใจ” หญิงสาวยกมือลูบอก ขยับตัวออกจากอ้อมแขนของชายหนุ่มอย่างเนียนๆ เกรงว่าชายหนุ่มจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นระรัวราวกับตีกลองของเธอเข้า
“ผมเห็นว่าคุณยังไม่นอนก็เลยออกมาดู”
“อ้อ ฉันกำลังออกแบบเสื้อผ้าเพื่อส่งเข้าแข่งขันที่โรงงานเฟิงหยุนค่ะ พี่ชิงหรงบอกว่าคนชนะนอกจากจะได้เงินรางวัลแล้ว ยังจะได้เป็นนักออกแบบเสื้อผ้าที่โรงงานอีกด้วย ช่วงนี้ฉันว่างอยู่พอดี แล้วก็พอจะออกแบบเป็น เลยอยากจะลองดู”
“ผมก็ได้ยินมาเหมือนกัน โรงงานเฟิงหยุนเป็นลูกค้าของโรงงานที่ผมทำงานอยู่เหมือนกัน”
“โอ้ ค่ะ ว่าแต่ทำไมพี่ยังไม่นอนคะ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปทำงาน รับรองว่าฉันจะไม่ทำเสียงดังรบกวนพี่เด็ดขาด”
ซุยหลันซีเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะก่อนออกมาเห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาหลับไปแล้ว
“คุณก็เข้านอนเถอะ ดึกแล้ว พรุ่งนี้ค่อยวาดต่อ”
หญิงสาวพยักหน้า แล้วเก็บอุปกรณ์วาดภาพ ชายหนุ่มรอจนเธอเก็บเรียบร้อยจึงบอกให้เธอเข้าห้องนอนไปก่อน แล้วเดินไปปิดไฟ
เธอยืนลังเลอยู่หน้าเตียง ชายหนุ่มก็เข้าใจ เขาบอกให้เธอนอนด้านใน ส่วนเขาจะนอนด้านนอกเอง เพราะต้องตื่นแต่เช้า จะได้ไม่เป็นการรบกวนเธอ
เมื่อล้มตัวลงนอน ซุยหลันซีก็หันหลังให้เติ้งเว่ยหมิงแล้วหลับตาลงไม่นานก็ผล็อยหลับไป เพราะเหนื่อยจากการออกไปสำรวจแหล่งการค้าตลอดบ่าย
ตรงกันข้ามกับเติ้งเว่ยหมิงที่นอนตาแข็งค้าง ครุ่นคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาว หรือเธอจะมีอาการป่วย?
กลิ่นหอมจากกายเธอรบกวนชายหนุ่มตลอดทั้งคืน กว่าจะหลับตาลงได้ก็ล่วงเข้าสู่เช้าวันใหม่แล้ว
“พ่อค่ะ รถยนต์คันใหญ่มาจากไหนเหรอคะ”ซุยหลันซีเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยท่านนายพลหวนคิดไปถึงในวันที่ถูกปล่อยจากคุกในวันที่ได้รับอิสรภาพกลับคืนมา ก่อนที่เขาจะออกจากคุก ท่านนายพลกุ้ยได้เข้าไปพบเข้าถึงด้านในจุดที่เตรียมตัวปล่อยนักโทษนายพลทั้งสองนั่งเผชิญหน้ากันเป็นครั้งสุดท้าย“ท่านนายพลกุ้ย ผมขอขอบคุณที่เห็นแก่มิตรภาพเก่าแก่” ท่านนายพลซุยกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ หลังจากลงนามในเอกสารมอบทรัพย์สินให้พรรคและยังมีการสัญญาว่านายพลซุยหานจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับทางทหารและทางการเมืองอีก และจะไม่เข้ามาที่ปักกิ่งอีกตลอดชีวิตเช่นกัน“อาหาน เราเป็นเพื่อนกันมานาน” ท่านนายพลกุ้ยตบบ่าเบาๆ “ผมรู้ว่าคุณรักลูกสาวมาก นี่เป็นเงินก้อนหนึ่ง เพียงพอสำหรับซื้อบ้านที่กว่างโจว และสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายไปจนตลอดชีวิต” เขาส่งกระเป๋าหนังสีน้ำตาลให้“และนี่...” ท่านนายพลกุ้ยยื่นกุญแจรถพร้อมเอกสารการเป็นเจ้าของให้ “รถคันใหม่ สำหรับครอบครัวของคุณ”ท่านนายพลซุยรับมาด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณมาก ผมจะไม่ลืมน้ำใจนี้”“แค่สัญญากับผมว่า จะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุขกับครอ
เมื่อถึงวันที่ซุยหลันซีกับเติ้งเว่ยหมิงต้องไปรับท่านนายพลซุยกับเติ้งหลิวป๋อที่ปักกิ่ง ซุยหลันซีที่ตั้งครรภ์ได้เข้าเดือนที่ห้าแล้วก็เกิดอาการแพ้ท้องอย่างหนัก ทำให้ไม่สามารถไปรับบิดาของเธอได้“หลันหลัน คุณพักผ่อนอยู่ที่บ้านเถอะนะ”เติ้งเว่ยหมิงเอ่ยเสียงนุ่มพลางจัดผ้าห่มให้ภรรยาที่นอนพิงหมอนอยู่บนเตียง ซุยหลันซีส่ายหน้าน้อยๆ ดวงตาฉายแววกังวล “พี่เว่ยหมิง ฉันอยากไปรับพ่อด้วย...”“ไม่ได้หรอก” เติ้งเว่ยหมิงขัด พลางลูบท้องกลมของภรรยาเบาๆ “ลูกในท้องสำคัญที่สุด หมอบอกแล้วว่าต้องพักผ่อนให้มากๆ”ซุยหลันซีกุมมือสามีไว้ ใบหน้าเศร้าสร้อย “แต่ฉันคิดถึงพ่อมาก...” เสียงสั่นเครือ “ไม่ได้เจอกันตั้งหลายเดือน”“พี่เข้าใจ” เติ้งเว่ยหมิงโอบไหล่ภรรยา“แต่ท่านนายพลคงไม่อยากเห็นหลานในท้องต้องลำบาก ใช่ไหม?”“ฉันฝากพี่ช่วยบอกพ่อด้วยนะคะว่าหลันหลันคิดถึง แล้วก็...” ซุยหลันซีชะงัก มือกุมท้องแน่น“เป็นอะไรครับ?” เติ้งเว่ยหมิงถามอย่างตกใจ“คลื่นไส้อีกแล้วค่ะ” ซุยหลันซีรีบคว้าถ้วยน้ำขิงที่วางอยู่ข้างเตียงขึ้นมาจิบ“นี่แหละครับ เหตุผลที่คุณต้องอยู
ซุยหลันซีรีบบอกหลานชายพร้อมกับช่วยดันร่างเล็กของเด็กชายขึ้นไปที่กลางเวทีเมื่อเด็กชายมาถึง พิธีกรก็ให้เขาไปยื่นอยู่ข้างผู้เป็นแม่ เล่อเล่อยืนอยู่ท่ามกลางสายตานับร้อยคู่ก็เกิดความประหม่า แต่เพราะมีมือที่อบอุ่นของแม่กอบกุมมือเขาไว้ เด็กชายจึงค่อยลดความประหม่าลงได้ในที่สุด พิธีกรส่งไมโครโฟนให้กับหลิวเจิ้งเย่“เล่อเล่อ วันนี้อาได้ทำพิธีแต่งงานอย่างถูกต้องกับแม่ของเล่อเล่อแล้ว แต่ว่าอายังไม่ได้ขออนุญาตจากเล่อเล่อเลย” หลิวเจิ้งเย่หยุดพูดสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกล่าวออกไป“เล่อเล่อ ต่อไปนี้อนุญาตให้อาเป็นพ่ออีกคนของเล่อเล่อได้ไหม อาสัญญาว่าจะทำหน้าที่พ่อของเล่อเล่อให้ดีที่สุด จะไม่ลำเอียง จะไม่ทำโทษอย่างไม่มีเหตุผล และที่สำคัญเล่อเล่อจะเป็นคนสำคัญของอาอีกคน ได้ไหม?”เล่อเล่อเงยหน้ามองไปที่หลี่ชิงหรงเมื่อเห็นแม่ของตนพยักหน้าให้ก็เอ่ยตอบเสียงเบา“พ่อครับ” เล่อเล่อโผเข้ากอดหลิ้วเจิ้งเย่พร้อมกับร้องไห้ออกมา หลิวเจิ้งเย่ก็น้ำตาคลอไปเหมือนกัน “เล่อเล่อมาเป็นลูกชายคนโตของพ่อนะ” เล่อเล่อครางรับอืออาผู้คนส่งเส
เช้าตรู่ของวันมงคล บ้านเจ้าสาวตกแต่งด้วยโคมแดงและตัวอักษรมงคลที่ติดไว้บนประตูไม้สีสดที่เพิ่งผ่านการทาสีและปรับปรุงบ้านไปไม่นานมานี้ผ้าไหมสีแดงสดปักลวดลายหงส์คู่ถูกแขวนประดับทั่วบริเวณ เพิ่มความรู้สึกอบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยความเป็นสิริมงคล กลิ่นธูปหอมที่จุดไว้หน้าโต๊ะบรรพบุรุษอบอวลไปทั่วห้อง เสียงหัวเราะคิกคักของญาติๆ ที่ช่วยกันจัดเตรียมพิธีดังแทรกมากับเสียงข้าวของที่ถูกขนย้ายเสียงเครื่องดนตรีดังกังวานไปทั่วลานกว้างของหน้าบ้านขนาดสองชั้นของหลี่ชิงหรง ผ้าแดงประดับประดาพลิ้วไหวตามสายลมอ่อน สะท้อนแสงแดดยามเช้าเป็นประกายระยิบระยับบนผ้าไหมสีแดงสดที่พันกายหลี่ชิงหรง ในห้องเตรียมตัวสำหรับเจ้าสาวชุดแต่งงานที่เธอสวมใส่เป็นผลงานการออกแบบล่าสุดของซุยหลันซีที่ตั้งใจรังสรรค์ให้เป็นของขวัญพิเศษสำหรับเพื่อนบ้านที่เปรียบเสมือนพี่สาวอีกคนท่อนบนเป็นชุดกี่เพ้าแขนสั้น คอจีนตั้งสูงประดับกระดุมมงคลสีทองเก้าเม็ด ปักลายดอกโบตั๋นด้วยด้ายสีทองและสีแดงอย่างวิจิตร เน้นให้เห็นสรีระส่วนบนอย่างงดงามแต่ไม่โป๊เปลือย ช่วงเอวคอดรับกับทรวดทรงของหลี่ชิงหรงอย่างพอเหมาะส่วนกระโปรงคือจ
รถบรรทุกขนาดกลางจอดนิ่งหน้าบ้านสองชั้นหลังงาม กำแพงสีขาวสะอาดตา หลังคากระเบื้องสีเทาเข้ม ประตูไม้แกะสลักอย่างประณีต กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยมาตามสายลมยามเช้า ผสมกับไอเย็นจากลำธารด้านหลังบ้าน“สามหมื่นห้าพันหยวน...” ซุยหลันซีพึมพำขณะยืนอยู่กลางห้องโถง สายตากวาดมองไปรอบๆ อย่างพินิจพิเคราะห์ ตัวเลขที่ดูสูงลิ่วแต่คุ้มค่า เพราะนอกจากพื้นที่กว้างขวางแล้ว บ้านหลังนี้มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยที่สุดในยุคสมัยนี้แสงธรรมชาติสาดส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาในห้องโถง ปรากฏลวดลายของแสงและเงาบนพื้นไม้ขัดมัน ห้องครัวกว้างขวางมีชั้นวางของและพื้นที่ทำครัวที่จัดวางอย่างลงตัว แม้ยังไม่มีตู้เย็นหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าทันสมัยแต่ระบบไฟฟ้าที่เพิ่งติดตั้งใหม่และปลั๊กไฟที่เตรียมไว้ก็พร้อมรองรับอนาคต น้ำประปาไหลแรง ที่สำคัญอยู่ในย่านที่ไม่มีความพลุกพล่าน ใกล้โรงเรียน ซึ่งต่อไปลูกๆ ของเธอจะได้ไปโรงเรียนได้อย่างสะดวก แถมยังไม่ไกลจากตลาดมากนัก ห่างจากโรงงานเฟิงหยุนแค่เพียงเดินทางด้วยรถโดยสารประมาณยี่สิบนาทีเท่านั้นที่สะดวกที่สุดคือบ้านหลังนี้อยู่ใกล้กับร้านตัดเสื้อหรงหลันของเธอนั่นเอง
หลังจากเรื่องเข้าใจผิดระหว่างถังจิงฮวากับเติ้งเว่ยหมิงคลี่คลายลง เวลาก็ผ่านมาอีกหนึ่งเดือนเสียงหัวเราะสดใสของเล่อเล่อดังแว่วมาจากมุมหนึ่งของบ้านหลี่ชิงหรง วันนี้ซุยหลันซีกับหลี่ชิงหรงไม่ได้ไปทำงาน เนื่องจากว่าเป็นวันหยุด พวกเธอทั้งสองคนกำลังนั่งออกแบบชุดแต่งงานของหลี่ชิงหรงกับหลิวเจิ้งเย่ที่จะจัดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า“หลันหลัน จดหมายมาค่ะ” เสียงของหลี่ชิงหรงดังแทรกเข้ามาในความคิด พร้อมกับซองจดหมายสีน้ำตาลยื่นมาตรงหน้าซุยหลันซีเงยหน้าขึ้นจากงานออกแบบที่กำลังทำค้างอยู่ ยื่นมือออกไปรับซองจดหมายดังกล่าวพร้อมกับเอ่ยขอบคุณ“ขอบคุณมากค่ะ”หัวใจของคนที่ถูกเรียกชื่อเต้นแรงขึ้นเมื่อสังเกตเห็นตัวอักษรที่คุ้นตาบนซองจดหมาย เป็นลายมือของเติ้งหลิวป๋อ พ่อของสามีเธอ นิ้วเรียวยาวค่อยๆ แกะซองออกอย่างระมัดระวัง สายตากวาดอ่านข้อความในจดหมายอย่างรวดเร็ว“พี่ชิงหรง!”เธอร้องเรียกหุ้นส่วนเสียงดัง“พ่อ... พ่อของฉันจะได้กลับบ้านแล้ว!”น้ำตาแห่งความปีติไหลอาบแก้ม เธอลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความดีใจ แต่ทันใดโลกก็หมุนคว้าง เมื่อลุกขึ้นอย่างรว