ชีวิตประจำวันของซุยหลันซีกับเติ้งเว่ยหมิงก็เป็นไปตามปกติ เติ้งเว่ยหมิงออกไปทำงานทุกวัน ส่วนซุยหลันซีก็หัดทำอาหาร ทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า และยังดูแลเล่อเล่อในตอนกลางวัน ระหว่างที่เด็กชายนอนพักกลางวัน เธอก็เอางานออกแบบชุดมาทำไปเรื่อยๆ จนวันนี้แบบที่วาดก็สำเร็จ
“หลันหลัน มันสวยมาก พี่ไม่เคยเห็นชุดอะไรแบบนี้มาก่อนเลยนะ” เมื่อหลี่ชิงหรงกลับมาจากทำงานแล้วมารับลูกชายเพื่อกลับบ้าน ซุยหลันซีจึงถือโอกาสเอาแบบที่เธอวาดเสร็จแล้วออกมาให้กับหลี่ชิงหรงดู
“เพิ่งวาดเสร็จบ่ายนี้เองค่ะ กะว่าจะลงสีอีกสักเล็กน้อยก็พร้อมจะเอาไปส่งที่โรงงานได้เลย” ซุยหลันซียิ้มรับคำชม
“ดีๆ อย่างนั้นวันพรุ่งนี้ไปกับพี่ ดีไหม?”
หลี่ชิงหรงเสนอตัวด้วยความยินดี อย่างไรเธอก็ทำงานที่โรงงานนี้อยู่แล้ว
“ขอบคุณค่ะพี่ชิงหรง วันพรุ่งนี้ฉันต้องรบกวนพี่แล้วนะคะ”
หลังจากนั้นหลี่ชิงหรงก็พาลูกชายกลับบ้าน ซุยหลันซีเดินเข้าครัวลงมือทำอาหารไว้รอเติ้งเว่ยหมิงกลับมาจากทำงาน
เสียงเปิดประตูบ้านดังขึ้น เป็นเวลาเดียวกับที่ซุยหลันซีทำกับข้าวเสร็จชายหนุ่มเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า คิ้วหนาเข้มขมวดเป็นปมอยู่ตลอดเวลา เติ้งเว่ยหมิงเอ่ยทักทายภรรยาสองสามคำแล้วขอตัวไปอาบน้ำ กลับเข้ามาอีกทีบนโต๊ะก็มีอาหารจัดวางไว้เรียบร้อยแล้ว เขานั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามซุยหลันซี หญิงสาวเปิดเปลือกตาขึ้นมองชายหนุ่ม เม้มปากอย่างไม่แน่ใจ เพราะดูท่าทางของเติ้งเว่ยหมิงไม่เหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา วันนี้เขาเงียบผิดปกติ
“พี่เว่ยหมิง พี่เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมวันนี้พี่เงียบผิดปกติ หรือว่าอาหารที่ฉันทำไม่อร่อย?” ซุยหลันซีหยุดการกินอาหารค่ำ เอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ
เติ้งเว่ยหมิงได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจออกมา เขาวางตะเกียบลง ทั้งที่ไม่ได้แตะอาหารเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ที่ทำงานมีปัญหานิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรหรอก คุณไม่ต้องเป็นห่วง”
ตั้งแต่พฤติกรรมของซุยหลันซีเปลี่ยนแปลงไป ราวกับเป็นคนละคน แม้จะยังสงสัยว่าเธอแกล้งทำหรือเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ กันแน่ แต่ก็ทำให้เติ้งเว่ยหมิงไม่ได้รู้สึกเกลียดชังเธออีกต่อไป เขารู้สึกว่าเป็นแบบนี้นับว่าดีอยู่ไม่น้อย ความสดใสและรอยยิ้มของหญิงสาวทำให้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะทุกครั้งที่ได้ยินคำพูดที่นุ่มนวล ได้เห็นรอยยิ้มหวานๆ ยามที่เธอพูด
“ได้ยังไงค่ะ ถ้ามันเล็กน้อยแล้วพี่จะมานั่งทุกข์ใจจนกินไม่ได้แบบนี้เหรอคะ? พี่เว่ยหมิง เราแต่งงานกันแล้ว ถึงแม้ว่าจะแค่ในนาม แต่ตอนนี้เราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน มีเรื่องอะไรพี่ก็ต้องบอกกับฉัน ฉันเป็นภรรยาของพี่นะ”
ซุยหลันซียื่นมือนุ่มนิ่มของเธอไปจับมือของเติ้งเว่ยหมิง มองสบตาเขาด้วยความเป็นห่วงอย่างแท้จริง เติ้งเว่ยหมิงสัมผัสได้กับความจริงใจนั้นจึงถอนหายใจอีกครั้ง
“ผ้าที่ผลิตมารอบนี้สีมันเพี้ยน ลูกค้ายกเลิกใบสั่งซื้อ หัวหน้าบังคับให้พี่ต้องชดใช้ให้กับโรงงาน เพราะวันนั้นเป็นเวรของพี่ที่ต้องคุมเครื่องจักร แต่พี่สาบานได้ว่าพี่ทำตามตารางแม่สีที่อยู่ในเอกสารสั่งงานทั้งหมด แต่ก็ไม่รู้ว่ามันกลายเป็นสีอ่อนไปได้ยังไง”
“นี่เป็นสาเหตุที่สองสามวันมานี้พี่ดูเครียดๆ ใช่ไหมคะ ผ้าผลิตรอบหนึ่งกี่เมตรเหรอคะ แล้วเสียหายไปเท่าไหร่ ตีเป็นเงินเท่าไหร่คะ?” ซุยหลันซีถามออกมาเป็นชุด พอได้ยินว่าสามีต้องชดใช้จึงเป็นกังวลขึ้นมาแล้ว
“ผ้ารอบหนึ่งผลิตครั้งละหนึ่งพันเมตร ถ้าเป็นผ้าฝ้ายพิมพ์ลายธรรมดาราคาต้นทุนไม่เกินเมตรละหยวน แต่เพราะรอบนี้เป็นผ้าไหมราคาจึงตกอยู่ที่เมตรละสี่หยวน ผมต้องชดใช้เงินเป็นจำนวนทั้งหมดสี่พันหยวน แต่เถ้าแก่บอกว่า เห็นแก่ผมที่ทำงานมานานแล้ว และไม่เคยทำผ้าเสียสักครั้ง เถ้าแก่จึงจะไม่เอาเรื่องถ้าผมสามารถขายผ้ารอบนี้ได้หมด” เขาอธิบายพร้อมกับถอนหายใจ รู้สึกอึดอัดใจเมื่อคิดว่าจะต้องขายผ้าล็อตนี้ให้หมด
ซุยหลันซีได้ยินก็ขมวดคิ้วแน่น “เยอะถึงขนาดนั้น ถ้าเมื่อก่อนที่คุณพ่อยังไม่เกิดปัญหา เงินแค่นี้พวกเราชดใช้ได้สบาย แต่ว่าตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวฉันมีเงินแค่ห้าร้อยหยวนเท่านั้นเอง”
“ตอนนี้ผมก็กำลังหาทางติดต่อโรงงานตัดเย็บในเมืองอยู่ แต่ว่าผ้ามันสีเพี้ยนไปแล้ว จึงไม่ค่อยมีโรงงานไหนสนใจ”
“พี่เว่ยหมิงพรุ่งนี้พี่เอาตัวอย่างผ้ามาให้ฉันสักยี่สิบเมตรได้ไหมคะ? ฉันคิดว่าในเมื่อไม่มีใครซื้อ เราลองเอามาตัดเย็บเป็นชุดสำเร็จขายดีไหม”
ซุยหลันซีลุกจากเก้าอี้เดินไปที่โต๊ะทำงาน หยิบกระดาษแบบที่เธอเพิ่งวาดเสร็จส่งให้กับเติ้งเหวยหมิงดู
“พี่ดูนี่สิค่ะ ฉันออกแบบเสร็จบ่ายนี้เอง พี่ชิงหรงยังบอกว่ามันสวยมาก ตอนแรกฉันว่าจะเอาไปเสนอที่โรงงานเฟิงหยุนค่ะ”
ชายหนุ่มรับเอากระดาษมาดู ปรากฏว่าแบบวาดบนกระดาษมีความสวยงามและแตกต่างจากที่เขาเคยเห็นมาก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก แบบที่ซุยหลันซีวาดเต็มไปด้วยรายละเอียดของลายผ้าที่น่าจะเป็นลายปักมากกว่าพิมพ์ลายอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากพิจารณาแบบแล้วก็สังเกตเห็นสิ่งที่เขาไม่คิดว่ามันจะบังเอิญขนาดนั้น เติ้งเว่ยหมิงตาสว่างวาบ “ลวดลายของผ้านี่คล้ายกับลายของผ้าที่ผมทำสีเพี้ยนเลยนะ”
“ยังไงนะคะ?”
“แบบที่คุณวาดเป็นรูปดอกไม้มีขนาดใหญ่กว่า แต่ละดอกอยู่ห่างกันไปหน่อย ส่วนผ้าที่มีปัญหาขนาดลายดอกจะเล็กกว่าและอยู่ชิดติดกัน” เติ้งเว่ยหมิงอธิบายพร้อมกับชี้มือไปยังจุดต่างๆ ในแบบ
“อย่างนั้นยิ่งดีเลยค่ะ ถ้าผ้าของพี่มีลวดลายใกล้เคียงกับแบบที่ฉันวาด ฉันว่าเราอาจจะหาทางแก้ไขได้ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้พี่อย่าลืมเอาตัวอย่างผ้ามาให้ฉันนะคะ ตอนนี้พี่ก็กินข้าวเถอะค่ะ” ซุยหลันซีไม่ลืมที่จะคะยั้นคะยอให้สามีกินมื้อเย็น เติ้งเว่ยหมิงเมื่อเห็นว่าเขาอาจจะมีหนทางแก้ไขปัญหาได้ใบหน้าก็ผ่อนคลายลง จึงได้ลงมือกินข้าวอีกครั้ง
คืนนั้นหลังจากที่กินข้าวเสร็จ ทั้งคู่ก็เข้านอนกันตามปกติ
ซุยหลันซีหลับสนิท ตกดึก ลมฤดูใบไม้ร่วงทำให้อากาศเย็นลงเล็กน้อย เธอขยับตัวซุกหาความอบอุ่นโดยไม่รู้ตัว เติ้งเว่ยหมิงตัวแข็งทื่อเมื่อหญิงสาววาดแขนโอบกอดเขาเอาไว้ทั้งคืน ชายหนุ่มนอนตัวเกร็ง กว่าจะข่มตาให้หลับลงได้ก็ใกล้เช้าของอีกวันไปแล้ว
เมื่อเขาตื่นขึ้นมาในตอนเช้ารู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมด ผิดกับคนต้นเหตุที่นอนหลับสบายแถมยังฝันดีอีกด้วย
* * *
“พี่ชิงหรงวันนี้ฉันยังไปกับพี่ไม่ได้ค่ะ เมื่อวานที่โรงงานของพี่เว่ยหมิงเกิดเรื่องนิดหน่อย ฉันกำลังหาทางช่วยเขาอยู่” ทันทีที่เปิดประตู เมื่อเห็นหลี่ชิงหรงมาเคาะประตูเรียกเพื่อไปโรงงานเฟิงหยุนด้วยกันตามที่นัดไว้ ซุยหลันซีก็รีบบอกอีกฝ่ายทันที
“เกิดเรื่องที่โรงงานของอาหมิง? ร้ายแรงหรือเปล่า?” หลี่ชิงหรงได้ยินก็เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ก็ร้ายแรงอยู่ค่ะ แต่ว่าพวกเราอาจจะหาทางแก้ไขปัญหาได้ วันนี้พี่ทำงานเสร็จแล้ว รีบกลับบ้านหน่อยได้ไหมคะ ฉันอยากจะปรึกษาพี่สักหน่อยค่ะ” ซุยหลันซีถามแกมขอร้อง
“ได้สิ เอาไว้เจอกันเย็นนี้” หลี่ชิงหรงเอ่ยปากรับคำแล้วขอตัวไปทำงาน ปกติแล้วเล่อเล่อจะนอนอยู่ในบ้านหลังจากที่หลี่ชิงหรงไปทำงาน ซุยหลันซีจะมีกุญแจบ้านที่มารดาของเด็กชายให้ไว้สำหรับเปิดเข้าไปในบ้านอีกชุดหนึ่ง วันนี้ซุยหลันซีจึงไม่ได้ดูแลเด็กชาย เนื่องจากหลี่ชิงหรงรู้ว่าซุยหลันซีต้องไปส่งแบบที่โรงงานเฟิงหยุนด้วยกัน เธอจึงได้นำลูกชายไปฝากป้าหวังไว้แล้ว
ทุกวันเมื่อเติ้งเว่ยหมิงไปทำงานแล้วเธอก็จะไปเรียกเด็กชายให้มากินมื้อเช้าด้วยกัน
ซุยหลันซีปิดประตูเดินกลับเข้าไปในบ้าน ก็เห็นว่าเติ้งเว่ยหมิงกินมื้อเช้าเสร็จแล้ว และกำลังเตรียมตัวจะไปทำงาน ซุยหลันซีไม่ลืมที่จะเอ่ยย้ำอีกครั้ง
“พี่เว่ยหมิง เย็นนี้อย่าลืมตัวอย่างผ้านะคะ”
“อือ ผมจะไม่ลืม ผมไปทำงานก่อน...”
ชายหนุ่มเดินไปหยิบกระเป๋า เปิดประตูแล้วออกจากบ้านไป
ซุยหลันซีเมื่ออยู่บ้านคนเดียวก็เริ่มทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า หลังจากนั้นก็มานั่งวาดแบบสำหรับโรงงานสิ่งทอ เป็นลวดลายผ้าต่างๆ เธอจำได้ว่ายุคนี้ลายผ้าและแบบยังไม่หลากหลาย ส่วนมากก็ยังเน้นผ้าสีพื้นโทนเข้มอยู่
“พ่อค่ะ รถยนต์คันใหญ่มาจากไหนเหรอคะ”ซุยหลันซีเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยท่านนายพลหวนคิดไปถึงในวันที่ถูกปล่อยจากคุกในวันที่ได้รับอิสรภาพกลับคืนมา ก่อนที่เขาจะออกจากคุก ท่านนายพลกุ้ยได้เข้าไปพบเข้าถึงด้านในจุดที่เตรียมตัวปล่อยนักโทษนายพลทั้งสองนั่งเผชิญหน้ากันเป็นครั้งสุดท้าย“ท่านนายพลกุ้ย ผมขอขอบคุณที่เห็นแก่มิตรภาพเก่าแก่” ท่านนายพลซุยกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ หลังจากลงนามในเอกสารมอบทรัพย์สินให้พรรคและยังมีการสัญญาว่านายพลซุยหานจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับทางทหารและทางการเมืองอีก และจะไม่เข้ามาที่ปักกิ่งอีกตลอดชีวิตเช่นกัน“อาหาน เราเป็นเพื่อนกันมานาน” ท่านนายพลกุ้ยตบบ่าเบาๆ “ผมรู้ว่าคุณรักลูกสาวมาก นี่เป็นเงินก้อนหนึ่ง เพียงพอสำหรับซื้อบ้านที่กว่างโจว และสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายไปจนตลอดชีวิต” เขาส่งกระเป๋าหนังสีน้ำตาลให้“และนี่...” ท่านนายพลกุ้ยยื่นกุญแจรถพร้อมเอกสารการเป็นเจ้าของให้ “รถคันใหม่ สำหรับครอบครัวของคุณ”ท่านนายพลซุยรับมาด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณมาก ผมจะไม่ลืมน้ำใจนี้”“แค่สัญญากับผมว่า จะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุขกับครอ
เมื่อถึงวันที่ซุยหลันซีกับเติ้งเว่ยหมิงต้องไปรับท่านนายพลซุยกับเติ้งหลิวป๋อที่ปักกิ่ง ซุยหลันซีที่ตั้งครรภ์ได้เข้าเดือนที่ห้าแล้วก็เกิดอาการแพ้ท้องอย่างหนัก ทำให้ไม่สามารถไปรับบิดาของเธอได้“หลันหลัน คุณพักผ่อนอยู่ที่บ้านเถอะนะ”เติ้งเว่ยหมิงเอ่ยเสียงนุ่มพลางจัดผ้าห่มให้ภรรยาที่นอนพิงหมอนอยู่บนเตียง ซุยหลันซีส่ายหน้าน้อยๆ ดวงตาฉายแววกังวล “พี่เว่ยหมิง ฉันอยากไปรับพ่อด้วย...”“ไม่ได้หรอก” เติ้งเว่ยหมิงขัด พลางลูบท้องกลมของภรรยาเบาๆ “ลูกในท้องสำคัญที่สุด หมอบอกแล้วว่าต้องพักผ่อนให้มากๆ”ซุยหลันซีกุมมือสามีไว้ ใบหน้าเศร้าสร้อย “แต่ฉันคิดถึงพ่อมาก...” เสียงสั่นเครือ “ไม่ได้เจอกันตั้งหลายเดือน”“พี่เข้าใจ” เติ้งเว่ยหมิงโอบไหล่ภรรยา“แต่ท่านนายพลคงไม่อยากเห็นหลานในท้องต้องลำบาก ใช่ไหม?”“ฉันฝากพี่ช่วยบอกพ่อด้วยนะคะว่าหลันหลันคิดถึง แล้วก็...” ซุยหลันซีชะงัก มือกุมท้องแน่น“เป็นอะไรครับ?” เติ้งเว่ยหมิงถามอย่างตกใจ“คลื่นไส้อีกแล้วค่ะ” ซุยหลันซีรีบคว้าถ้วยน้ำขิงที่วางอยู่ข้างเตียงขึ้นมาจิบ“นี่แหละครับ เหตุผลที่คุณต้องอยู
ซุยหลันซีรีบบอกหลานชายพร้อมกับช่วยดันร่างเล็กของเด็กชายขึ้นไปที่กลางเวทีเมื่อเด็กชายมาถึง พิธีกรก็ให้เขาไปยื่นอยู่ข้างผู้เป็นแม่ เล่อเล่อยืนอยู่ท่ามกลางสายตานับร้อยคู่ก็เกิดความประหม่า แต่เพราะมีมือที่อบอุ่นของแม่กอบกุมมือเขาไว้ เด็กชายจึงค่อยลดความประหม่าลงได้ในที่สุด พิธีกรส่งไมโครโฟนให้กับหลิวเจิ้งเย่“เล่อเล่อ วันนี้อาได้ทำพิธีแต่งงานอย่างถูกต้องกับแม่ของเล่อเล่อแล้ว แต่ว่าอายังไม่ได้ขออนุญาตจากเล่อเล่อเลย” หลิวเจิ้งเย่หยุดพูดสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกล่าวออกไป“เล่อเล่อ ต่อไปนี้อนุญาตให้อาเป็นพ่ออีกคนของเล่อเล่อได้ไหม อาสัญญาว่าจะทำหน้าที่พ่อของเล่อเล่อให้ดีที่สุด จะไม่ลำเอียง จะไม่ทำโทษอย่างไม่มีเหตุผล และที่สำคัญเล่อเล่อจะเป็นคนสำคัญของอาอีกคน ได้ไหม?”เล่อเล่อเงยหน้ามองไปที่หลี่ชิงหรงเมื่อเห็นแม่ของตนพยักหน้าให้ก็เอ่ยตอบเสียงเบา“พ่อครับ” เล่อเล่อโผเข้ากอดหลิ้วเจิ้งเย่พร้อมกับร้องไห้ออกมา หลิวเจิ้งเย่ก็น้ำตาคลอไปเหมือนกัน “เล่อเล่อมาเป็นลูกชายคนโตของพ่อนะ” เล่อเล่อครางรับอืออาผู้คนส่งเส
เช้าตรู่ของวันมงคล บ้านเจ้าสาวตกแต่งด้วยโคมแดงและตัวอักษรมงคลที่ติดไว้บนประตูไม้สีสดที่เพิ่งผ่านการทาสีและปรับปรุงบ้านไปไม่นานมานี้ผ้าไหมสีแดงสดปักลวดลายหงส์คู่ถูกแขวนประดับทั่วบริเวณ เพิ่มความรู้สึกอบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยความเป็นสิริมงคล กลิ่นธูปหอมที่จุดไว้หน้าโต๊ะบรรพบุรุษอบอวลไปทั่วห้อง เสียงหัวเราะคิกคักของญาติๆ ที่ช่วยกันจัดเตรียมพิธีดังแทรกมากับเสียงข้าวของที่ถูกขนย้ายเสียงเครื่องดนตรีดังกังวานไปทั่วลานกว้างของหน้าบ้านขนาดสองชั้นของหลี่ชิงหรง ผ้าแดงประดับประดาพลิ้วไหวตามสายลมอ่อน สะท้อนแสงแดดยามเช้าเป็นประกายระยิบระยับบนผ้าไหมสีแดงสดที่พันกายหลี่ชิงหรง ในห้องเตรียมตัวสำหรับเจ้าสาวชุดแต่งงานที่เธอสวมใส่เป็นผลงานการออกแบบล่าสุดของซุยหลันซีที่ตั้งใจรังสรรค์ให้เป็นของขวัญพิเศษสำหรับเพื่อนบ้านที่เปรียบเสมือนพี่สาวอีกคนท่อนบนเป็นชุดกี่เพ้าแขนสั้น คอจีนตั้งสูงประดับกระดุมมงคลสีทองเก้าเม็ด ปักลายดอกโบตั๋นด้วยด้ายสีทองและสีแดงอย่างวิจิตร เน้นให้เห็นสรีระส่วนบนอย่างงดงามแต่ไม่โป๊เปลือย ช่วงเอวคอดรับกับทรวดทรงของหลี่ชิงหรงอย่างพอเหมาะส่วนกระโปรงคือจ
รถบรรทุกขนาดกลางจอดนิ่งหน้าบ้านสองชั้นหลังงาม กำแพงสีขาวสะอาดตา หลังคากระเบื้องสีเทาเข้ม ประตูไม้แกะสลักอย่างประณีต กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยมาตามสายลมยามเช้า ผสมกับไอเย็นจากลำธารด้านหลังบ้าน“สามหมื่นห้าพันหยวน...” ซุยหลันซีพึมพำขณะยืนอยู่กลางห้องโถง สายตากวาดมองไปรอบๆ อย่างพินิจพิเคราะห์ ตัวเลขที่ดูสูงลิ่วแต่คุ้มค่า เพราะนอกจากพื้นที่กว้างขวางแล้ว บ้านหลังนี้มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยที่สุดในยุคสมัยนี้แสงธรรมชาติสาดส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาในห้องโถง ปรากฏลวดลายของแสงและเงาบนพื้นไม้ขัดมัน ห้องครัวกว้างขวางมีชั้นวางของและพื้นที่ทำครัวที่จัดวางอย่างลงตัว แม้ยังไม่มีตู้เย็นหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าทันสมัยแต่ระบบไฟฟ้าที่เพิ่งติดตั้งใหม่และปลั๊กไฟที่เตรียมไว้ก็พร้อมรองรับอนาคต น้ำประปาไหลแรง ที่สำคัญอยู่ในย่านที่ไม่มีความพลุกพล่าน ใกล้โรงเรียน ซึ่งต่อไปลูกๆ ของเธอจะได้ไปโรงเรียนได้อย่างสะดวก แถมยังไม่ไกลจากตลาดมากนัก ห่างจากโรงงานเฟิงหยุนแค่เพียงเดินทางด้วยรถโดยสารประมาณยี่สิบนาทีเท่านั้นที่สะดวกที่สุดคือบ้านหลังนี้อยู่ใกล้กับร้านตัดเสื้อหรงหลันของเธอนั่นเอง
หลังจากเรื่องเข้าใจผิดระหว่างถังจิงฮวากับเติ้งเว่ยหมิงคลี่คลายลง เวลาก็ผ่านมาอีกหนึ่งเดือนเสียงหัวเราะสดใสของเล่อเล่อดังแว่วมาจากมุมหนึ่งของบ้านหลี่ชิงหรง วันนี้ซุยหลันซีกับหลี่ชิงหรงไม่ได้ไปทำงาน เนื่องจากว่าเป็นวันหยุด พวกเธอทั้งสองคนกำลังนั่งออกแบบชุดแต่งงานของหลี่ชิงหรงกับหลิวเจิ้งเย่ที่จะจัดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า“หลันหลัน จดหมายมาค่ะ” เสียงของหลี่ชิงหรงดังแทรกเข้ามาในความคิด พร้อมกับซองจดหมายสีน้ำตาลยื่นมาตรงหน้าซุยหลันซีเงยหน้าขึ้นจากงานออกแบบที่กำลังทำค้างอยู่ ยื่นมือออกไปรับซองจดหมายดังกล่าวพร้อมกับเอ่ยขอบคุณ“ขอบคุณมากค่ะ”หัวใจของคนที่ถูกเรียกชื่อเต้นแรงขึ้นเมื่อสังเกตเห็นตัวอักษรที่คุ้นตาบนซองจดหมาย เป็นลายมือของเติ้งหลิวป๋อ พ่อของสามีเธอ นิ้วเรียวยาวค่อยๆ แกะซองออกอย่างระมัดระวัง สายตากวาดอ่านข้อความในจดหมายอย่างรวดเร็ว“พี่ชิงหรง!”เธอร้องเรียกหุ้นส่วนเสียงดัง“พ่อ... พ่อของฉันจะได้กลับบ้านแล้ว!”น้ำตาแห่งความปีติไหลอาบแก้ม เธอลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความดีใจ แต่ทันใดโลกก็หมุนคว้าง เมื่อลุกขึ้นอย่างรว