“นั่งลงก่อนสิ หลันหลัน” หวงเสี่ยวเหมย เถ้าแก่เนี้ยของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าเฟิงหยุนเชิญให้นักออกแบบของเธอได้นั่งลง หวังจะได้พูดคุยกันเสียที หลังจากที่เจอกันครั้งสุดท้ายก็ผ่านไปเป็นสัปดาห์แล้ว
ทว่ายังไม่ทันได้พูดคุยธุระสำคัญอะไรก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองประตูห้องทำงานที่เปิดเข้ามาอย่างไร้มารยาท
“พี่เสี่ยวเหมย ทำแบบนี้ไม่ถูกนะคะ” เสียงเล็กแหลมดังขึ้น ทำให้ซุยหลันซีถึงกับขมวดคิ้วเมื่อเห็นหญิงวัยกลางคนอายุไม่น่าจะเกินสี่สิบปี แต่งกายสมวัยและถือว่าทันสมัยที่สุดสำหรับคนยุคนี้ เดินเข้ามายังโต๊ะทำงานของหวงเสี่ยวเหมยด้วยท่าทางโกรธจัด
“อิงอิง หัดมีมารยาทบ้างสิ ฉันกำลังคุยงานอยู่”
หวงเสี่ยวเหมยเอ่ยตำหนิอดีตนักออกแบบของตนเองน้ำเสียงเข้ม
“พี่เสี่ยวเหมย ฉันทนมีมารยาทไม่ไหวหรอกคะ ฉันต้องการคำอธิบายถึงเรื่องนี้” ผู้หญิงที่ถูกเรียกว่าอิงอิงพูดพลางวางกระดาษแผ่นหนึ่งบนโต๊ะทำงานของหวงเสี่ยวเหมย ซึ่งเธอก็ไม่แม้แต่จะหยิบขึ้นมาดู แค่เพียงปรายหางตามองเพียงเท่านั้น
“เป็นฉันหรือเปล่า ที่ต้องเป็นฝ่ายขอคำอธิบาย”
หวงเสี่ยวเหมยเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม
“ได้ยังไงคะ พี่เสี่ยวเหมย พี่ทำหนังสือแจ้งไปทั่วเมืองกว่างโจวว่าฉันไม่ได้เป็นนักออกแบบให้กับเฟิงหยุนแล้ว แบบนี้ฉันก็เสียชื่อเสียงหมดสิคะ”
อิงอิงยืนกอดอกเอานิ้วมื้อชี้ย้ำๆ ไปที่กระดาษแผ่นนั้นบนโต๊ะทำงานของหวงเสี่ยวเหมยอีกรอบ
“อิงอิง แล้วที่เธอไม่ยอมส่งแบบให้กับเฟิงหยุน แต่ไปออกตัวเป็นนักออกแบบให้กับสีเจี้ยน มันไม่น่าเกลียดกว่าอีกเหรอ ทั้งที่เธอยังมีสัญญาเป็นนักออกแบบให้กับเฟิงหยุนอยู่”
หวงเสี่ยวเหมยเงยหน้าขึ้นพูดเสียงดังขึ้นกว่าเดิม พลางจ้องมองใบหน้าอดีตลูกน้องที่ล้มลุกคลุกคลานมาด้วยกัน แต่ไม่นึกว่าเมื่อสีเจี้ยนให้ค่าตอบแทนที่มากกว่าก็ถึงกับทิ้งเฟิงหยุนไป
ถ้ามาบอกกันดีๆ ก็คงไม่มีปัญหาอะไร เธอเข้าใจว่าทุกคนต้องการความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน แต่วิธีการของอิงอิงก็ต่ำช้าเกินไป คิดจะจับปลาสองมือเธอก็ไม่คิดอะไรมาก แต่ต้องไม่จับปลาชนิดเดียวกัน เฟิงหยุนกับสีเจี้ยนทำธุรกิจเหมือนกัน นับว่าเป็นคู่แข่งทางด้านธุรกิจ อีกฝ่ายไม่ควรทำแบบนี้
“นั่นก็เป็นเพราะเฟิงหยุนให้ในสิ่งที่ฉันต้องการไม่ได้ จะมาโทษฉันได้ยังไง” อิงอิงเอ่ยออกมาอย่างคนที่ไม่มีความรู้สึกผิดสักนิด
“ฉันก็เลยส่งเสริมให้เธอไปตามทางที่เขาให้สิ่งที่เธอต้องการได้มากกว่าแล้วอย่างไรล่ะ”
ซุยหลันซีได้แต่นั่งฟังพวกเธอสองคนตอบโต้กันเงียบๆ ไม่มีโอกาสได้เอ่ยปากเพื่อออกไปจากสถานการณ์ตรงนี้ จะอยู่ต่อก็ไม่สะดวก จะขอตัวออกไปก่อน ทั้งสองคนก็ไม่ปล่อยโอกาสให้เธอได้พูดแทรก จึงได้แต่นั่งเหมือนไม่มีตัวตนฟังพวกเขาคุยกัน เก็บข้อมูลเงียบๆ
อิงอิงคิดแค่เพียงว่าหากเธอเป็นนักออกแบบให้ทั้งเฟิงหยุนกับสีเจี้ยน หนทางก้าวหน้าในอาชีพก็ต้องสดใสมากขึ้น เธอไม่คิดว่าการกระทำลับหลังจะถูกหวงเสี่ยวเหมยรู้เข้า ถึงแม้ว่าสีเจี้ยนจะให้ค่าตอบแทนที่มากกว่า ทว่าเฟิงหยุนก็เป็นที่ที่เธอเติบโตมา อย่างน้อยก็มีความผูกพัน เธอสามารถเชิดหน้าชูตาได้อย่างสง่างาม
แต่ที่สีเจี้ยน สิ่งที่ได้ตกลงกันไว้กลับไม่ใช่แบบนั้น ที่นั่นยังมีนักออกแบบรุ่นพี่ที่ทำงานกับโรงงานมาอย่างยาวนาน ท่าทางเหมือนหมาเจ้าถิ่น ถูกกลั่นแกล้งไม่ให้งานของเธอมีโอกาสได้นำเสนอ เพราะถูกสั่งให้แก้งานจนนับครั้งไม่ถ้วน
แถมจู่ๆ ก็มีประกาศออกมาว่าเธอไม่ใช่นักออกแบบของเฟิงหยุนอีกต่อไป อยากกลับมาที่เฟิงหยุนอีกครั้งก็ทำไม่ได้แล้ว การถูกประกาศเลิกจ้างแบบนี้ สร้างผลกระทบให้กับเธอเป็นอย่างมาก ทำให้การทำงานที่สีเจี้ยนของเธอลำบากมากยิ่งขึ้น
อิงอิงรู้ความหมายของคำพังเพยที่ว่า เป็นหัวหมาดีกว่าเป็นหางราชสีห์ แล้วตอนนี้
“พี่เสี่ยวเหมย ถ้าพี่ขอโทษและขอร้องฉันให้กลับมาออกแบบให้กับเฟิงหยุนอีกครั้ง ฉันจะไม่ถือสาเรื่องที่พี่ทำกับฉัน”
อิงอิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นใจ เธอมั่นใจเป็นอย่างมากโดยคิดว่าเฟิงหยุนต้องทำตามความต้องการของตนเองและยังสามารถเรียกร้องค่าจ้างที่มากขึ้นได้ด้วย โดยลืมไปเสียสนิทว่า ถ้าเฟิงหยุนกล้าตัดเธอออกจากโรงงานได้ ก็หมายความว่าเฟิงหยุนไม่ต้องการเธอแล้ว
ความมั่นใจในตนเองทำให้อิงอิงเชิดหน้าชูคอโดยลืมหลักความเป็นจริงไปชั่วขณะ
“อิงอิง ก่อนที่ฉันจะแจ้งให้แต่ละโรงงานรู้ ฉันคิดมาดีแล้ว ตอนนี้ฉันยังมีธุระ ไม่สะดวกคุย เชิญเธอกลับไปเถอะ” หวงเสี่ยวเหมยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะก้มลงอ่านเอกสารตรงหน้า
อิงอิงถูกไล่ตรงๆ ถึงกับทำหน้าเหวอ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เหมือนกับที่คิดไว้
“พี่เสี่ยวเหมย พี่อย่ามาเสียใจทีหลังที่ทำกับฉันแบบนี้!” อิงอิงพูดจบก็สะบัดหน้าเดินออกจากห้อง ปิดประตูเสียงดังปัง! จนซุยหลันซีสะดุ้งตกใจ
หวงเสี่ยวเหมยเมื่อเห็นว่าแขกไม่ได้รับเชิญจากไปแล้ว ก็หันหน้ามายิ้มให้กับแขกที่เธอเชิญมาด้วยตนเองด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล อบอุ่น
“พี่ต้องขอโทษเธอด้วยนะที่ต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้”
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่เสี่ยวเหมย ทำแบบนี้แล้วจะดีแน่เหรอคะ?” ซุยหลันซีเอ่ยถามเสียงไม่มั่นใจ
“ดีสิ แบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว” หวงเสี่ยวเหมยเอ่ยย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“พี่เสี่ยวเหมยให้อภัยเขาไม่ได้เลยเหรอคะ อย่างน้อยก็ยังมีนักออกแบบมาช่วยเฟิงหยุนอีกคนนะคะ” ซุยหลันซีพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้คร่าวๆ จากที่ได้ยินทั้งคู่พูดโต้ตอบกัน“ช่างเถอะ เฟิงหยุนของเราให้ในสิ่งที่เขาต้องการไม่ได้หรอก อีกอย่างเฟิงหยุนไม่ชอบคนทรยศ ถ้าหากอยากจะลาออกพี่ไม่คิดจะห้ามอยู่แล้ว แต่ต้องไม่แอบมาทำอะไรลับหลังพี่แบบนี้ ช่างเถอะ อย่าไปสนใจเลย มาคุยเรื่องของพวกเราดีกว่า”หวงเสี่ยวเหมยโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหันมาสนใจเรื่องที่ตั้งใจจะแจ้งคนตรงหน้าด้วยใบหน้ายินดีอีกครั้ง“พี่ชิงหรงบอกว่าพี่เสี่ยวเหมยอยากพบฉัน ไม่ทราบว่ามีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่าคะ?” เมื่อหวงเสี่ยวเหมยไม่อยากจะคุยต่อ ซุยหลันซีก็ไม่เซ้าซี้ เธอหันมานั่งหลังตรงตั้งใจฟังสิ่งที่หวงเสี่ยวเหมยพูด“พี่มีข่าวดีมาบอก เรื่องแรกอาทิตย์ที่แล้วพี่ไปติดต่อโรงงานจินเซิงเรียบร้อยแล้ว แถมเขาลดราคาให้พี่ร้อยละห้าด้วยนะ พี่ต้องขอบใจเธอมากเรื่องที่สอง ผ้าที่ทางจินเซิงส่งมาให้ พี่ให้คนงานจัดการตัดชุดตามที่เธอออกแบบ คาดว่าใช้เวลาในการผลิตไม่เกินสิบวันก็น่าจะเสร็จพร้อมวางจำหน่ายที่ร้านขายส่งเ
“นั่งลงก่อนสิ หลันหลัน” หวงเสี่ยวเหมย เถ้าแก่เนี้ยของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าเฟิงหยุนเชิญให้นักออกแบบของเธอได้นั่งลง หวังจะได้พูดคุยกันเสียที หลังจากที่เจอกันครั้งสุดท้ายก็ผ่านไปเป็นสัปดาห์แล้วทว่ายังไม่ทันได้พูดคุยธุระสำคัญอะไรก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองประตูห้องทำงานที่เปิดเข้ามาอย่างไร้มารยาท“พี่เสี่ยวเหมย ทำแบบนี้ไม่ถูกนะคะ” เสียงเล็กแหลมดังขึ้น ทำให้ซุยหลันซีถึงกับขมวดคิ้วเมื่อเห็นหญิงวัยกลางคนอายุไม่น่าจะเกินสี่สิบปี แต่งกายสมวัยและถือว่าทันสมัยที่สุดสำหรับคนยุคนี้ เดินเข้ามายังโต๊ะทำงานของหวงเสี่ยวเหมยด้วยท่าทางโกรธจัด“อิงอิง หัดมีมารยาทบ้างสิ ฉันกำลังคุยงานอยู่”หวงเสี่ยวเหมยเอ่ยตำหนิอดีตนักออกแบบของตนเองน้ำเสียงเข้ม“พี่เสี่ยวเหมย ฉันทนมีมารยาทไม่ไหวหรอกคะ ฉันต้องการคำอธิบายถึงเรื่องนี้” ผู้หญิงที่ถูกเรียกว่าอิงอิงพูดพลางวางกระดาษแผ่นหนึ่งบนโต๊ะทำงานของหวงเสี่ยวเหมย ซึ่งเธอก็ไม่แม้แต่จะหยิบขึ้นมาดู แค่เพียงปรายหางตามองเพียงเท่านั้น“เป็นฉันหรือเปล่า ที่ต้องเป็นฝ่ายขอคำอธิบาย”หวงเสี่ยวเหมยเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม“ได้ยังไงคะ พี่เสี่
หลังจากอาบน้ำ กินข้าว กินยาเรียบร้อย เติ้งเว่ยหมิงก็ปล่อยให้ซุยหลันซีนอนพักผ่อน ส่วนตัวเขาลงมือทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า บนใบหน้าแทบจะเปื้อนยิ้มอยู่ตลอดเวลา ในหัวอดคิดถึงภาพความเย้ายวนยามที่พวกเขาโรมรันพันตูกันไม่ได้เขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของพ่อบ้านตระกูลซุย ท่านนายพลรักและเอ็นดู ถึงกับส่งเสียให้เรียนหนังสือจนจบระดับปริญญา สิ่งเดียวที่ท่านนายพลเป็นห่วงก็คือลูกสาวเพียงคนเดียวเพราะสูญเสียมารดาเมื่อตอนที่เธออายุได้เพียงแค่สิบปี เนื่องจากประเทศอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ท่านนายพลนั้นมักงานยุ่งอยู่เสมอ จึงรักและตามใจบุตรสาวมาก ทำให้เธอกลายเป็นคนเอาแต่ใจแม้เธอจะเอาแต่ใจ เขาที่แอบหลงรักเธอมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น รู้ตัวดีว่าไม่คู่ควร หลังเรียนจบจึงไปเป็นทหาร ในขณะที่กำลังก้าวหน้าในอาชีพกลับเกิดเหตุการณ์บางอย่าง ทำให้ต้องลาออกจากงานและมาหางานทำที่กว่างโจว จนได้พบกับเถ้าแก่โรงงานจินเซิง และทำงานที่โรงงานนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาที่ผ่านมาทำไมเขาต้องยอมถูกกลั่นแกล้งและรังแกจากเธอก็คงเพราะลึกๆ แล้ว เขานั้นหลงรักเธอมาตลอด เขาจึงปกปิดความรู้สึกของตนเอง แสดงออกกับเธออย่างเย
เวลาบ่ายสองโมง เสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้นทำให้เติ้งเว่ยหมิงรีบวางผ้าเช็ดตัวผืนเล็กลงในกะละมังแล้วลุกไปเปิดประตู ปรากฏว่าหลี่ชิงหรง เพื่อนบ้านยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าประตู“อาหมิง หลันหลันอยู่บ้านไหม พี่มีเรื่องจะมาบอก”“อยู่ครับ แต่ว่าตอนนี้หลันหลันน่าจะไม่สะดวกพบพี่นะครับ” เติ้งเว่ยหมิงแจ้งด้วยน้ำเสียงสุภาพ“ไม่สะดวกเจอ หลันหลันเป็นอะไรหรือเปล่า”หลี่ชิงหรงถามกลับด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล“เป็นไข้ครับ ผมเลยให้นอนพัก”“อ้อ อย่างนี้นี่เอง ตอนเช้าพี่มาเคาะประตูรอบหนึ่งแล้ว แต่ไม่มีใครออกมาเปิด เลยมาอีกทีตอนบ่าย พี่อุตส่าห์เตือนแล้วเชียวว่าอย่าหักโหมทำงานหนัก เพิ่งย้ายมาได้ไม่นาน อาจจะยังปรับตัวไม่ค่อยได้ ไม่เป็นไร รอให้หลันหลันหายดีก่อนก็แล้วกัน ฝากบอกหลันหลันด้วยละกันว่าพี่มาหา” หลี่ชิงหรงบ่นอุบอิบถึงเพื่อนบ้านรุ่นน้องที่เธอก็รักไม่ต่างกับน้องสาวตนเองจริงๆ“ครับแล้วผมจะบอกให้ ถ้าหลันหลันค่อยยังชั่วแล้วจะให้ไปหาพี่ชิงหรงนะครับ”“ได้ งั้นพี่กลับบ้านก่อนละกัน”หลี่ชิงหรงกลับไปแล้ว เติ้งเว่ยหมิงจึงปิดประตูเดินกลับเข้าไปในห้องนอน ทรุดตัว
เช้าวันรุ่งขึ้นซุยหลันซีตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของเติ้งเว่ยหมิง หญิงสาวถึงกับเขินอายและทำตัวไม่ถูก เธอรีบลุกออกไปจากเตียงเงียบๆ โดยหารู้ไม่ว่าชายหนุ่มผู้ที่ตกลงว่าจะเป็นสามีแต่เพียงในนามของเธอนั้นตื่นก่อนเธอนานแล้ว แต่เพื่อไม่ต้องการให้เกิดความกระอักกระอ่วนใจระหว่างพวกเขา ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นยังไม่ตื่นซุยหลันซีตบหน้าเรียกสติตนเองอยู่สองสามทีก่อนจะทำหน้าที่ของตนเองเหมือนทุกวันที่ผ่านมา นั่นก็คือทำอาหารและเตรียมของให้เติ้งเว่ยหมิงไปทำงานทั้งคู่นั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่บรรยากาศกลับไม่ได้น่าอึดอัดอย่างที่คิด เติ้งเว่ยหมิงมีรอยยิ้มแต้มมุมปากอยู่ตลอดเวลา ส่วนซุยหลันซีก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าอย่างเงียบๆหลังจากที่ชายหนุ่มออกไปทำงาน ซุยหลันซีถึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วเริ่มลงมือทำงานบ้าน ซักผ้าแล้วไปปลุกเด็กชายเล่อเล่อ ล้างหน้าให้เด็กชาย ดูแลให้เด็กน้อยกินอาหารเช้า เสร็จแล้วก็มานั่งทำงานออกแบบลายผ้าเล่อเล่อนั่งเล่นคนเดียวอย่างเงียบๆ เด็กชายชินแล้ว เขาจะไม่เข้าไปกวนเวลาพี่สาวคนสวยทำงาน เพราะแม่ของเขาสั่งมาว่าห้ามกวนพี่สาวคน
ในเย็นวันเดียวกันนั้น หลังจากที่กินข้าวเสร็จเรียบร้อย เติ้งเว่ยหมิงช่วยซุยหลันซีเก็บจานล้างทำความสะอาด โดยบอกให้เธอไปอาบน้ำส่วนตัวเขานั่งรออยู่บนเตียง ใบหน้าตึงเครียด คิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลาหญิงสาวอาบน้ำเสร็จ ออกมาจากห้องน้ำ เดินไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง ใช้สายตามองชายหนุ่มผ่านทางกระจกบรรยากาศช่างน่าอึดอัดและเงียบจนซุยหลันซีรู้สึกไม่สบายใจจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม“พี่เว่ยหมิง พี่เป็นอะไรไปหรือเปล่า? หรือมีปัญหาอะไรที่ทำงานอีกไหม หรือว่าผู้จัดการจางทำอะไรให้พี่ไม่สบายใจ?” ซุยหลันซีหยุดมือที่กำลังหวีผม หันหน้ามาทางเขาที่นั่งอยู่บนเตียง ในแววตาเต็มไปด้วยความสงสัยเติ้งเว่ยหมิงไม่ตอบ เขาเงยหน้าขึ้น จ้องมองหญิงสาวราวกับว่าเธอเป็นคนแปลกหน้าสายตาลุ่มลึกที่มองมาทำให้ซุยหลันซีรู้สึกไม่สบายใจ เธอรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงลุกขึ้นเดินไปนั่งข้างๆ ชายหนุ่มก่อนจะร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเติ้งเว่ยหมิงผลักร่างของซุยหลันซี เธอไม่ทันได้ตั้งตัวล้มลงไปบนเตียงนอนเขาใช้มือข้างหนึ่งจับยึดข้อมือเล็กบางของเธอเอาไว้เหนือศีรษะ มืออีกข้างกดอยู่ที่เอวของเธอ ร่างสูงใหญ่