“พี่เสี่ยวเหมยให้อภัยเขาไม่ได้เลยเหรอคะ อย่างน้อยก็ยังมีนักออกแบบมาช่วยเฟิงหยุนอีกคนนะคะ” ซุยหลันซีพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้คร่าวๆ จากที่ได้ยินทั้งคู่พูดโต้ตอบกัน
“ช่างเถอะ เฟิงหยุนของเราให้ในสิ่งที่เขาต้องการไม่ได้หรอก อีกอย่างเฟิงหยุนไม่ชอบคนทรยศ ถ้าหากอยากจะลาออกพี่ไม่คิดจะห้ามอยู่แล้ว แต่ต้องไม่แอบมาทำอะไรลับหลังพี่แบบนี้ ช่างเถอะ อย่าไปสนใจเลย มาคุยเรื่องของพวกเราดีกว่า”
หวงเสี่ยวเหมยโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหันมาสนใจเรื่องที่ตั้งใจจะแจ้งคนตรงหน้าด้วยใบหน้ายินดีอีกครั้ง
“พี่ชิงหรงบอกว่าพี่เสี่ยวเหมยอยากพบฉัน ไม่ทราบว่ามีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่าคะ?” เมื่อหวงเสี่ยวเหมยไม่อยากจะคุยต่อ ซุยหลันซีก็ไม่เซ้าซี้ เธอหันมานั่งหลังตรงตั้งใจฟังสิ่งที่หวงเสี่ยวเหมยพูด
“พี่มีข่าวดีมาบอก เรื่องแรกอาทิตย์ที่แล้วพี่ไปติดต่อโรงงานจินเซิงเรียบร้อยแล้ว แถมเขาลดราคาให้พี่ร้อยละห้าด้วยนะ พี่ต้องขอบใจเธอมาก
เรื่องที่สอง ผ้าที่ทางจินเซิงส่งมาให้ พี่ให้คนงานจัดการตัดชุดตามที่เธอออกแบบ คาดว่าใช้เวลาในการผลิตไม่เกินสิบวันก็น่าจะเสร็จพร้อมวางจำหน่ายที่ร้านขายส่ง
เรื่องที่สาม เธอต้องไม่เชื่อแน่ๆ ขนาดพี่ยังไม่อยากจะเชื่อเลย หลังจากเอาชุดตัวอย่างไปวางที่ร้านขายส่ง ปรากฏว่ามีร้านค้าปลีกมาจองชุดไปขายต่อหมดเรียบร้อยแล้ว!”
ซุยหลันซีได้ยินถึงกับต้องเลิกคิ้ว แล้วเผยยิ้มกว้างด้วยความยินดี
“พะ..พี่เสี่ยวเหมยบอกว่าชุดพวกนั้นมีคนจองหมดแล้วเหรอคะ มันจะเป็นไปได้ยังไง เรายังผลิตไม่เสร็จเลยนี่คะ”
“ฮะ ฮะ หลันหลัน เธอนี่ตลกจัง ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ละ อย่าลืมนะว่าเฟิงหยุนของเราเป็นโรงงานที่มีร้านค้าปลีกในมือไม่น้อย ถึงแม้ว่าจะเป็นโรงงานขนาดกลาง แต่เราก็เป็นโรงงานมีคุณภาพ ทั้งกำลังการผลิตและคู่ค้าในมือก็มีไม่น้อย”
หวงเสี่ยวเหมยหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูหญิงสาวตรงหน้า
ซุยหลันซีนึกขอบคุณเจ้าของร่างนี้ ความทรงจำในเรื่องผ้าของเธอช่วยแก้ปัญหาให้กับเติ้งเว่ยหมิงได้ดีมาก แถมยังช่วยให้มีกำไรได้อีกด้วย
เอาไว้เชงเม้งเมื่อไหร่ฉันจะตอบแทนเธอเป็นอย่างดี
“พี่เสี่ยวเหมยทำได้ยังไงคะ ถึงมียอดสั่งจองหมดแล้ว” ซุยหลันซีหลังจากที่สงบสติอารมณ์แล้วก็กลับมาสุขุมอีกครั้ง
“ก็หลังจากเอาชุดตัวอย่างไปวางที่ร้านค้าส่ง พอร้านค้าปลีกมาเห็น ปรากฏว่าทุกร้านไม่มีใครปฏิเสธเลยสักคน พวกเขาต้องการทั้งหมด แต่ว่าพี่ก็ต้องแบ่งให้เท่าๆ กัน เพราะจำนวนการผลิตของเรามีจำกัดตามผ้าที่ได้มาจากโรงงานจินเซิง
ตอนนี้จึงเกิดปัญหาว่าผ้าที่จะเอามาผลิตไม่พอ นี่จึงเป็นเรื่องที่สี่ ที่พี่ว่าจะปรึกษาเธอพอดี จะเป็นไปได้ไหมว่าพี่จะสั่งผ้าให้ผลิตสีเพี้ยนแบบนี้ออกมาอีก”
“ฉันว่ามันก็น่าจะทำได้นะคะ แต่ว่าฉันไม่แนะนำค่ะ ไม่สู้เราออกแบบใหม่จะดีกว่า ของที่ผลิตออกมามากเกินความจำเป็นมันจะดูไม่มีระดับค่ะ หากว่าต้องการยกระดับยี่ห้อเสื้อผ้าให้มันเป็นเอกลักษณ์ควรจำกัดการผลิตไว้เท่านั้นถึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นผลดีต่อธุรกิจมากกว่าผลเสีย”
หวงเสี่ยวเหมยเมื่อได้ยินคำแนะนำของนักออกแบบอย่างซุยหลันซีก็พยักหน้าเห็นด้วย
“อืม พี่เห็นด้วย พี่ลืมคิดเรื่องนี้ไป เธอนี่นอกจากจะมีออกแบบชุดได้แล้ว ยังมีหัวการค้าอีกด้วย ต่อไปต้องร่ำรวยได้แน่ๆ” ซุยหลันซียิ้มรับคำชมเงียบๆ
“ถือว่าเป็นข่าวดีมากๆ เลยค่ะ ฉันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเลยทีเดียว” ซุยหลันซีเอ่ยยิ้มๆ
“หลันหลัน ยังมีข่าวดีสุดท้ายอีกนะ”
“ข่าวดีสุดท้าย พี่เสี่ยวเหมยรีบบอกมาเร็วเข้าค่ะ ฉันอยากรู้แล้ว” ซุยหลันซีเร่งเร้าด้วยความตื่นเต้น
“อีกสามเดือนที่ปักกิ่งจะมีการประกวดการออกแบบเสื้อผ้าดาวรุ่งแห่งทางสายไหม โดยทางรัฐบาลต้องการให้ออกแบบชุดที่ผสมผสานความเป็นจีนดั้งเดิมกับแฟชั่นตะวันตกร่วมสมัย ให้สอดคล้องกับการเปิดประเทศ และชุดที่ชนะการประกวดจะถูกนำไปร่วมแสดงในเทศกาลแฟชั่นและวัฒนธรรมนานาชาติฮ่องกง
ทางรัฐบาลต้องการใช้เสื้อผ้าร่วมสมัยเป็นสิ่งที่ใช้เผยแพร่ให้ชาวโลกได้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของประเทศเรา นอกจากนี้ยังมีเงินรางวัลถึงหนึ่งพันหยวน สำหรับผู้ที่ชนะการประกวดด้วยนะ”
“แสดงว่าทุกคนมีสิทธิ์ส่งผลงานเข้าประกวดเหรอคะ” ซุยหลันซีเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ใช่ แต่ว่าส่วนมากมักจะส่งไปในนามของโรงงานนะ เพราะมันมีค่าใช้จ่ายแอบแฝงอีกมาก อีกอย่างคนไม่มีเส้นสายก็อาจจะไม่ผ่านการพิจารณารอบแรก และปีนี้การตัดสินแปลกประหลาดมาก
เพื่อเฟ้นหานักออกแบบที่มีความสามารถ ป้องกันการทุจริต ทางกองประกวดกำหนดมาเลยว่าในแต่ละรอบที่นำแบบเข้าร่วมประกวด จะไม่สามารถใช้แบบชุดเดิมประกวดในระดับต่อไปได้ และรอบชิงชนะเลิศจะมีการบันทึกรายการสำหรับออกอากาศไปทั่วประเทศ
การแข่งขันจะแบ่งเป็นระดับเมือง มณฑล และระดับประเทศ” หวงเสี่ยวเหมยอธิบายการแข่งขันให้กับซุยหลันซีได้ฟัง
“พี่เสี่ยวเหมยก็เลยอยากจะเข้าร่วมการประกวดโดยให้ฉันเป็นนักออกแบบตัวแทนของเฟิงหยุนใช่ไหมคะ?”
“พี่เสี่ยวเหมยให้อภัยเขาไม่ได้เลยเหรอคะ อย่างน้อยก็ยังมีนักออกแบบมาช่วยเฟิงหยุนอีกคนนะคะ” ซุยหลันซีพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้คร่าวๆ จากที่ได้ยินทั้งคู่พูดโต้ตอบกัน“ช่างเถอะ เฟิงหยุนของเราให้ในสิ่งที่เขาต้องการไม่ได้หรอก อีกอย่างเฟิงหยุนไม่ชอบคนทรยศ ถ้าหากอยากจะลาออกพี่ไม่คิดจะห้ามอยู่แล้ว แต่ต้องไม่แอบมาทำอะไรลับหลังพี่แบบนี้ ช่างเถอะ อย่าไปสนใจเลย มาคุยเรื่องของพวกเราดีกว่า”หวงเสี่ยวเหมยโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหันมาสนใจเรื่องที่ตั้งใจจะแจ้งคนตรงหน้าด้วยใบหน้ายินดีอีกครั้ง“พี่ชิงหรงบอกว่าพี่เสี่ยวเหมยอยากพบฉัน ไม่ทราบว่ามีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่าคะ?” เมื่อหวงเสี่ยวเหมยไม่อยากจะคุยต่อ ซุยหลันซีก็ไม่เซ้าซี้ เธอหันมานั่งหลังตรงตั้งใจฟังสิ่งที่หวงเสี่ยวเหมยพูด“พี่มีข่าวดีมาบอก เรื่องแรกอาทิตย์ที่แล้วพี่ไปติดต่อโรงงานจินเซิงเรียบร้อยแล้ว แถมเขาลดราคาให้พี่ร้อยละห้าด้วยนะ พี่ต้องขอบใจเธอมากเรื่องที่สอง ผ้าที่ทางจินเซิงส่งมาให้ พี่ให้คนงานจัดการตัดชุดตามที่เธอออกแบบ คาดว่าใช้เวลาในการผลิตไม่เกินสิบวันก็น่าจะเสร็จพร้อมวางจำหน่ายที่ร้านขายส่งเ
“นั่งลงก่อนสิ หลันหลัน” หวงเสี่ยวเหมย เถ้าแก่เนี้ยของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าเฟิงหยุนเชิญให้นักออกแบบของเธอได้นั่งลง หวังจะได้พูดคุยกันเสียที หลังจากที่เจอกันครั้งสุดท้ายก็ผ่านไปเป็นสัปดาห์แล้วทว่ายังไม่ทันได้พูดคุยธุระสำคัญอะไรก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองประตูห้องทำงานที่เปิดเข้ามาอย่างไร้มารยาท“พี่เสี่ยวเหมย ทำแบบนี้ไม่ถูกนะคะ” เสียงเล็กแหลมดังขึ้น ทำให้ซุยหลันซีถึงกับขมวดคิ้วเมื่อเห็นหญิงวัยกลางคนอายุไม่น่าจะเกินสี่สิบปี แต่งกายสมวัยและถือว่าทันสมัยที่สุดสำหรับคนยุคนี้ เดินเข้ามายังโต๊ะทำงานของหวงเสี่ยวเหมยด้วยท่าทางโกรธจัด“อิงอิง หัดมีมารยาทบ้างสิ ฉันกำลังคุยงานอยู่”หวงเสี่ยวเหมยเอ่ยตำหนิอดีตนักออกแบบของตนเองน้ำเสียงเข้ม“พี่เสี่ยวเหมย ฉันทนมีมารยาทไม่ไหวหรอกคะ ฉันต้องการคำอธิบายถึงเรื่องนี้” ผู้หญิงที่ถูกเรียกว่าอิงอิงพูดพลางวางกระดาษแผ่นหนึ่งบนโต๊ะทำงานของหวงเสี่ยวเหมย ซึ่งเธอก็ไม่แม้แต่จะหยิบขึ้นมาดู แค่เพียงปรายหางตามองเพียงเท่านั้น“เป็นฉันหรือเปล่า ที่ต้องเป็นฝ่ายขอคำอธิบาย”หวงเสี่ยวเหมยเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม“ได้ยังไงคะ พี่เสี่
หลังจากอาบน้ำ กินข้าว กินยาเรียบร้อย เติ้งเว่ยหมิงก็ปล่อยให้ซุยหลันซีนอนพักผ่อน ส่วนตัวเขาลงมือทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า บนใบหน้าแทบจะเปื้อนยิ้มอยู่ตลอดเวลา ในหัวอดคิดถึงภาพความเย้ายวนยามที่พวกเขาโรมรันพันตูกันไม่ได้เขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของพ่อบ้านตระกูลซุย ท่านนายพลรักและเอ็นดู ถึงกับส่งเสียให้เรียนหนังสือจนจบระดับปริญญา สิ่งเดียวที่ท่านนายพลเป็นห่วงก็คือลูกสาวเพียงคนเดียวเพราะสูญเสียมารดาเมื่อตอนที่เธออายุได้เพียงแค่สิบปี เนื่องจากประเทศอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ท่านนายพลนั้นมักงานยุ่งอยู่เสมอ จึงรักและตามใจบุตรสาวมาก ทำให้เธอกลายเป็นคนเอาแต่ใจแม้เธอจะเอาแต่ใจ เขาที่แอบหลงรักเธอมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น รู้ตัวดีว่าไม่คู่ควร หลังเรียนจบจึงไปเป็นทหาร ในขณะที่กำลังก้าวหน้าในอาชีพกลับเกิดเหตุการณ์บางอย่าง ทำให้ต้องลาออกจากงานและมาหางานทำที่กว่างโจว จนได้พบกับเถ้าแก่โรงงานจินเซิง และทำงานที่โรงงานนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาที่ผ่านมาทำไมเขาต้องยอมถูกกลั่นแกล้งและรังแกจากเธอก็คงเพราะลึกๆ แล้ว เขานั้นหลงรักเธอมาตลอด เขาจึงปกปิดความรู้สึกของตนเอง แสดงออกกับเธออย่างเย
เวลาบ่ายสองโมง เสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้นทำให้เติ้งเว่ยหมิงรีบวางผ้าเช็ดตัวผืนเล็กลงในกะละมังแล้วลุกไปเปิดประตู ปรากฏว่าหลี่ชิงหรง เพื่อนบ้านยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าประตู“อาหมิง หลันหลันอยู่บ้านไหม พี่มีเรื่องจะมาบอก”“อยู่ครับ แต่ว่าตอนนี้หลันหลันน่าจะไม่สะดวกพบพี่นะครับ” เติ้งเว่ยหมิงแจ้งด้วยน้ำเสียงสุภาพ“ไม่สะดวกเจอ หลันหลันเป็นอะไรหรือเปล่า”หลี่ชิงหรงถามกลับด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล“เป็นไข้ครับ ผมเลยให้นอนพัก”“อ้อ อย่างนี้นี่เอง ตอนเช้าพี่มาเคาะประตูรอบหนึ่งแล้ว แต่ไม่มีใครออกมาเปิด เลยมาอีกทีตอนบ่าย พี่อุตส่าห์เตือนแล้วเชียวว่าอย่าหักโหมทำงานหนัก เพิ่งย้ายมาได้ไม่นาน อาจจะยังปรับตัวไม่ค่อยได้ ไม่เป็นไร รอให้หลันหลันหายดีก่อนก็แล้วกัน ฝากบอกหลันหลันด้วยละกันว่าพี่มาหา” หลี่ชิงหรงบ่นอุบอิบถึงเพื่อนบ้านรุ่นน้องที่เธอก็รักไม่ต่างกับน้องสาวตนเองจริงๆ“ครับแล้วผมจะบอกให้ ถ้าหลันหลันค่อยยังชั่วแล้วจะให้ไปหาพี่ชิงหรงนะครับ”“ได้ งั้นพี่กลับบ้านก่อนละกัน”หลี่ชิงหรงกลับไปแล้ว เติ้งเว่ยหมิงจึงปิดประตูเดินกลับเข้าไปในห้องนอน ทรุดตัว
เช้าวันรุ่งขึ้นซุยหลันซีตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของเติ้งเว่ยหมิง หญิงสาวถึงกับเขินอายและทำตัวไม่ถูก เธอรีบลุกออกไปจากเตียงเงียบๆ โดยหารู้ไม่ว่าชายหนุ่มผู้ที่ตกลงว่าจะเป็นสามีแต่เพียงในนามของเธอนั้นตื่นก่อนเธอนานแล้ว แต่เพื่อไม่ต้องการให้เกิดความกระอักกระอ่วนใจระหว่างพวกเขา ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นยังไม่ตื่นซุยหลันซีตบหน้าเรียกสติตนเองอยู่สองสามทีก่อนจะทำหน้าที่ของตนเองเหมือนทุกวันที่ผ่านมา นั่นก็คือทำอาหารและเตรียมของให้เติ้งเว่ยหมิงไปทำงานทั้งคู่นั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่บรรยากาศกลับไม่ได้น่าอึดอัดอย่างที่คิด เติ้งเว่ยหมิงมีรอยยิ้มแต้มมุมปากอยู่ตลอดเวลา ส่วนซุยหลันซีก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าอย่างเงียบๆหลังจากที่ชายหนุ่มออกไปทำงาน ซุยหลันซีถึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วเริ่มลงมือทำงานบ้าน ซักผ้าแล้วไปปลุกเด็กชายเล่อเล่อ ล้างหน้าให้เด็กชาย ดูแลให้เด็กน้อยกินอาหารเช้า เสร็จแล้วก็มานั่งทำงานออกแบบลายผ้าเล่อเล่อนั่งเล่นคนเดียวอย่างเงียบๆ เด็กชายชินแล้ว เขาจะไม่เข้าไปกวนเวลาพี่สาวคนสวยทำงาน เพราะแม่ของเขาสั่งมาว่าห้ามกวนพี่สาวคน
ในเย็นวันเดียวกันนั้น หลังจากที่กินข้าวเสร็จเรียบร้อย เติ้งเว่ยหมิงช่วยซุยหลันซีเก็บจานล้างทำความสะอาด โดยบอกให้เธอไปอาบน้ำส่วนตัวเขานั่งรออยู่บนเตียง ใบหน้าตึงเครียด คิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลาหญิงสาวอาบน้ำเสร็จ ออกมาจากห้องน้ำ เดินไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง ใช้สายตามองชายหนุ่มผ่านทางกระจกบรรยากาศช่างน่าอึดอัดและเงียบจนซุยหลันซีรู้สึกไม่สบายใจจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม“พี่เว่ยหมิง พี่เป็นอะไรไปหรือเปล่า? หรือมีปัญหาอะไรที่ทำงานอีกไหม หรือว่าผู้จัดการจางทำอะไรให้พี่ไม่สบายใจ?” ซุยหลันซีหยุดมือที่กำลังหวีผม หันหน้ามาทางเขาที่นั่งอยู่บนเตียง ในแววตาเต็มไปด้วยความสงสัยเติ้งเว่ยหมิงไม่ตอบ เขาเงยหน้าขึ้น จ้องมองหญิงสาวราวกับว่าเธอเป็นคนแปลกหน้าสายตาลุ่มลึกที่มองมาทำให้ซุยหลันซีรู้สึกไม่สบายใจ เธอรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงลุกขึ้นเดินไปนั่งข้างๆ ชายหนุ่มก่อนจะร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเติ้งเว่ยหมิงผลักร่างของซุยหลันซี เธอไม่ทันได้ตั้งตัวล้มลงไปบนเตียงนอนเขาใช้มือข้างหนึ่งจับยึดข้อมือเล็กบางของเธอเอาไว้เหนือศีรษะ มืออีกข้างกดอยู่ที่เอวของเธอ ร่างสูงใหญ่