“เอาตามนี้เลยครับ คิดเงินเลย”“โอ้ว วันนี้ซื้อแต่ของดีๆ ทั้งนั้น สงสัยคนรู้จักที่ว่าคงสำคัญสำหรับปู่เรามากสินะถึงทำให้คนขี้ตืดอย่างนั้นยอมควักตังค์จ่ายได้น่ะ”“โธ่ ป้า อย่างปู่ผมน่ะ เขาไม่เรียกว่าขี้ตืด เขาเรียกว่ารู้จักใช้เงินฮะ” ผมตอบป้าไปแบบติดตลก ป้ากดเครื่องคิดเลขไปหัวเราะไปแล้วยื่นเครื่องคิดเลขมาให้ผม “อะ ป้าคิดให้ถ้วนๆ เศษไม่ต้อง”“ขอบคุณฮะป้า”“เอาอะไรเพิ่มอีกไหม”.”ไม่ละฮะ ผมรีบ” ผมรีบบอกรีบจ่ายจะได้รีบกลับไปเตรียมตัวไปงานพี่จุลคืนนี้เดินต่อไปได้ไม่กี่แผงก็เจอกับลุงสำลีเจ้าของแผงผักเจ้าดัง ลุงเป็นผู้ใหญ่ใจดีที่ผิวแตกต่างจากชื่อชนิดที่เรียกได้ว่าน้องๆ ดาร์กช็อกโกแลตนิดนึง ผมไม่พ้นสายตาลุงสำลีไปได้จึงถูกเรียกไว้อีก“เฮ้ย! เจ้าคี มานี่ก่อนมา”“มีอะไรฮะลุง ผมรีบ”“เออ รู้แล้ว มานี่แป๊บ นังมะลิมันโทรหาแกไม่ได้ก็เลยโทรมาฝากเรื่องไว้ให้บอกแก” ลุงสำลีตะโกนฝ่าแผงผักมาอีก“เรื่องไรอะลุง”“มันบอกให้แกแวะไปหามันที่ร้านเสริมสวยเจ้นีวันนี้บ่ายโมง มันจะไลฟ์สดขายเสื้อ อยากให้แกมาเป็นนายแบบให้”ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือแล้วพยักหน้า “อ่อ ได้ๆ ขอบคุณนะลุง”“เออ รอบก่อนแกไปช่วยเป็นนายแบบให้ มันบอก
“ไม่หรอกปู่ พี่จุลไม่ใช่คนแบบนั้น” ผมตอบอย่างมั่นใจปู่ส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ ผมรู้ว่าปู่เป็นห่วงเรื่องที่ผมหายไปทุกเย็นหลังเสร็จจากรับจ้างขนผักกับของสดในตลาดไปส่งตามร้านอาหาร ผมชอบแวะไปบ้านพี่จุลเพื่อเรียนเปียโนกับเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเล็กน้อยและมักจะได้สารพัดขนมติดมือกลับมากินแล้วเผื่อแผ่มาถึงปู่ ปู่เคยบอกว่ามือไม้ก็มีให้ทำมาหากินอย่าเอาแต่แบมือขอ แต่ผมไม่ได้ขอ ที่ได้มาเพราะพ่อแม่พี่จุลใจดีกับผม ทำให้ผมรู้สึกดีทุกครั้งที่พวกท่านมีน้ำใจให้โดยเฉพาะพี่จุล...คนที่แสนจะใจดี คนที่ชีวิตนี้ผมไม่รู้เลยว่าจะเจอคนดีๆ แบบพี่เขาได้ที่ไหนอีก...“เออนี่... เจ้าคี”“ฮะ”“แกคิดว่าคุณตรีเป็นยังไงบ้าง”จู่ๆ ปู่ก็ถามเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา มือยังคงเป็นระวิงกับการถอนเข็มหมุดขณะเร่งฝีเข็มจักรอย่างขมักเขม้น ผมสงสัยนิดๆ แต่ก็ไม่คิดว่ามีอะไรพิเศษจึงตอบปู่ไปโดยไม่ต้องคิดเลย“ก็เป็นคนหน้าตาดี”“แกชอบเขาไหม”“ไม่ชอบ ผมไม่ถูกชะตา” ผมตอบไม่คิดสักนิด“แต่เขาเป็นคนดีที่พึ่งพาได้”“ผมก็ไม่เคยคิดพึ่งเขาสักหน่อย”“แต่ปู่อยากให้แกชอบเขา แกต้องชอบเขาเข้าใจไหมเจ้าคี”“ทำไมอะ!”“ก็ไม่ทำไม บอ
“นี่ไง คนนี้ไงคะคุณพ่อ” เธอบอกอย่างกระตือรือร้นไม่พอยังดึงมือผมแล้วย้ายตัวเองขึ้นมานั่งตักก่อนจะเปิดเสียงเพลงให้ดังขึ้น ผมเลิกคิ้ว ชี้นิ้วไปที่หน้าจอแต่นาราเหมือนหวงเอาโทรศัพท์หนีเฉยเลย “นาราจะฟัง” “พ่อก็ให้หนูฟังนี่ไง” ผมบอกพลางลูบผมนิ่มสีน้ำตาลเข้มของเธอไปพลาง “นาราอยากเรียนเปียโนค่ะคุณพ่อ” “พ่อก็ให้ครูมาสอนให้นี่คะ” “ไม่เหมือนกันค่ะ นาราอยากเรียนกับครูคนนี้” เธอว่าพลางจิ้มนิ้วอ้วนๆ ไปที่เจ้าของมือในคลิป “คุณพ่อให้พี่คนนี้มาสอนนาราแทนครูนิคได้ไหมคะ” “ครูนิคสอนไม่ดีเหรอลูก” “ดีค่ะ แต่ว่านาราจะเอาคนนี้ นาราอยากได้คนนี้ คุณพ่อให้พี่เค้ามาสอนนาราได้ไหมคะ”ผมฟังเด็กดื้อเจื้อยแจ้วแล้วลอบถอนใจเพราะรู้ว่าเจ้าของมือเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าเด็กที่ตั้งชื่อตัวเองในไลน์ได้แสนโอเว่อร์ว่า keyofheart นั่นแหละ“ได้สิ เอาไว้พ่อจะถามดูนะ” ผมแบ่งรับแบ่งสู้“ดีจัง นารารักคุณพ่อที่สุดเลย” นาราหอมแก้มผมฟอดใหญ่ก่อนจะหลับตาพริ้มฟังเสียงเปียโนบรรเลง ริมฝีปากกระจับสีชมพูระเรื่อของเธอขยับไปมาตามท่วงทำนอ
“สำคัญสิฮะ”ผมอึ้ง ส่วนเขาก็นิ่งไป ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงเขาตอบกลับมา “คุณอย่าลืมส่งที่อยู่ที่จะให้ส่งสูทมาทางนี้ด้วยนะฮะ ผมจะได้ไม่ต้องโทรกวนคุณอีก”“อืม”“ไปละ บาย”เหอะ...ผมกดตัดสายแล้วไถหน้าจอดูโพรไฟล์ของเขาในไลน์ แล้วสะดุดเข้ากับโพสหนึ่งอย่างจัง เป็นประโยคสั้นที่ดูเหมือนคนโพสจะตัดพ้อต่อว่าชะตาชีวิตอย่างไรพิกล...กล้ำกลืนคำพูดคนดูแคลนแปรเปลี่ยนเป็นพลัง...…แล้วมันจะผ่านไป......สู้ๆ นะตัวเรา...“นายพูดว่าอะไรนะครับ”คำถามจากสนธยาทำให้ผมสะดุ้งรีบปฏิเสธ “เปล่าหรอก แค่อ่านอะไรขำๆ ไม่คิดว่าเด็กคนนั้นจะเขียนอะไรแบบนี้ สงสัยอยากเป็นไลฟ์โค้ช”“เด็กคนไหนครับอยากเป็นไลฟ์โค้ช อย่าบอกว่าเป็นเจ้าหนูสกปรกคนนั้นนะครับนาย”ผมแทบสำลักกับคำพูดของสนธยา รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก “ต่อไปนายอย่าเรียกเด็กนั่นว่าหนูสกปรกอีกนะ ฉันไม่ชอบ”“ครับนาย”“เพราะฉันเรียกได้คนเดียว”“ครับ”ผมกระแอมเบาๆ แล้วเมินหน้าออกไปนอกหน้าต่าง รู้สึกว่าน้ำเสียงตัวเองเมื่อครู่ห้วนจัดจนสนธยาที่ลอบมองต้องหลบตานี่ผมคงบ้าไปแล้วที่เคืองคำพูดของสนธยาแทนเด็กนั่นทั้งๆ ที่ผมเองแท้ๆ ที่เป็นคนเรียกก่อน“ส่งฉันเสร็จแล้วนายก็รีบไปพักเถอะ” ผมต
เขาเงียบไปครู่ก็รับคำโดยดี “ก็ได้ เอาไว้ผมติดต่อคุณใหม่ก็แล้วกันนะฮะ”“โอเค”“งั้นแค่นี้นะคุณ”“อืม” ผมตอบสั้นๆ แต่นึกอะไรได้จึงเรียกไว้ “นี่เดี๋ยวก่อนสิ”“หือ.. มีอะไรอีกฮะ”“ไม่มี” ผมบอกปัดแล้วกดตัดสายทิ้งทันทีเขาคงสงสัยนั่นแหละเพราะไม่กี่นาทีต่อมาขณะที่ผมกำลังเคว้งคว้างอยู่หน้าโรงพยาบาลเพราะสั่งให้สนธยากลับไปก่อน ก็มีเสียงไลน์ดังขึ้น ผมก้มดูหน้าจอแล้วก็เห็นเป็นเด็กคีตาที่แอดไลน์ผมมาตามด้วยตัวการ์ตูนหน้าแป้นแล้นทะเล้นยกมือสวัสดี ผมลังเลว่าจะตอบหรือกดเพิ่มเพื่อนดีหรือไม่ แล้วเขาก็ส่งข้อความมาอีกรับผมหน่อย...เหอะ... ดูชื่อที่เขาใช้สิ KeyofHeart งี้ น่ารักตายล่ะKeyofheart : กดรับเพื่อนหน่อยผมกดสติ๊กเกอร์เครื่องหมายคำถามส่งไป ครู่หนึ่งก็ขึ้นข้อความว่าอ่านแล้วก่อนที่เสียงไลน์จะดังขึ้นอีกKeyofheart : รับหน่อยนะ Keyofheart : คุณคุยนาน ผมไม่อยากเสียค่าโทรKeyofheart : คุ๊นนนนน รับเร็ววววหน็อย ไอ้เด็กนี่!ผมปวดหัวจี๊ด รู้สึกเหมือนกำลังถูกเด็กที่ไหนก็ไม่รู้มาสั่งให้ผมซ้ายหันขวาหัน ช่างไม่ดูตัวเองเสียบ้าง...Keyofheart : ก็ได้ ถ้าไม่ตอบคุณก็ส่งที่อยู่ให้ผมทางนี้ด้วย ผมก็ไม่ได้อยากคุยกั
หรือเพราะคนที่ตายเป็นพี่ที่พ่อหมายฝากธุรกิจให้ดูแล ไม่ใช่ผมคนนี้...กระทั่งมีเสียงเปิดประตูและพยาบาลเข็นถาดยาตรงเข้ามาอีกฟากของเตียง ผมจึงลุกขึ้นถอยไปยืนมองห่างๆ เธอเช็คอาการของพ่อก่อนจะเปลี่ยนน้ำเกลือขวดใหม่ให้ “วันนี้ดูหน้าตาสดชื่น มีอะไรดีๆ รึเปล่าคะ”“วันนี้บ่ายหลานสาวมาเยี่ยม”“มาเมื่อตอนกลางวันใช่ไหมคะ เสียดายจังดิฉันเข้าเวรดึกเลยไม่เจอคุณหนูนาราเลย”“หนูอยากเจอเด็กดื้อเหรอ” พ่อถามยิ้มๆ แต่ยิ้มนั้นช่างอ่อนระโหยจนผมใจหาย“อยากสิคะ เจ้าสัวอารมณ์ดีแบบนี้ คงต้องให้คุณ... เอ่อ คุณพ่อพามาเยี่ยมทุกวันแล้วนะคะ จะได้มีกำลังใจ”พยาบาลสาวหยอกเย้าและเหลือบตามองผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแต่ผมรู้ว่าภายใต้รอยยิ้มนั้นแฝงความกังวลผมรู้ว่าอาการของพ่อหนักมาก...ที่พาลพาโลทะเลาะกับผมเพราะพ่อแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง เรื่องนี้ผมรู้ดี รู้ดีที่สุด...วันก่อนพ่อถูกหามเข้าไอซียูแต่ไม่วายสั่งให้ผมไปสั่งตัดสูทชุดใหม่กับอากงสมศักดิ์ พ่อบอกว่าจะได้ดูดีเวลามีแขกผู้ใหญ่มารดน้ำศพ พ่ออยากดูดีแม้วินาทีสุดท้ายราวกับรู้ว่าเวลาของพ่อเหลือน้อยลงเต็มที ทั้งที่ผ่าตัดลำไส้ไปแล้วแต่มะเร็งยังคงลุกลามจนเข้าสู่ระยะสุดท้าย ผมนึกไปถึ