LOGINซึ่งก็ได้ผลจริง ๆ ชนาวิชญ์ชะงักนิ่ง เมื่อได้ยินชื่อคนที่เขารู้จัก และเป็นคนที่ให้ความเมตตาเขามาตลอด ถึงแม้เป็นเวลาเพียงแค่สั้น ๆ ที่เขาได้ทำงานให้แก่บุคคลนี้ ถือว่าเขามีพระคุณคนหนึ่งของเขาเลยก็ว่าได้
“ก็ใช่นะสิ” เธอเสียงยืนยันอีกที
“ขอโทษครับ ผมเมามากไปหน่อย...” อาการเมาได้หายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าคนใต้ร่างที่เขาพยายามทำรุ่มร่ามนี้เป็นใคร ก็รีบขอโทษเธอขึ้นมาทันที อย่างรู้สึกผิด
“ลุกขึ้นได้แล้ว ฉันหนักหายใจไม่ออกด้วย” เธอเอ่ยบอกเขาอีกครั้ง เพราะเขายังไม่ยอมลุกขึ้นจากตัวเธอสักที ทั้งที่มีสติแล้ว
“หายใจไม่ออก เดี๋ยวผมผายปอดให้นะ” แต่เขากลับแซวหยอกเธอขึ้นมาเสียอย่านั้น พร้อมกับก้มหน้าลงมาหาเธอใกล้ ๆ อีก
“ไอ้วิชญ์!!!” เธอขึงตาพร้อมกับตวาดเสียงดุใส่เขา พร้อมกับรวบรวมแรงกำลังที่มี ผลักเขาออกทันที เมื่อเขาเริ่มทำรุ่มร่ามใส่เธออีก แล้วบิดเข้าไปที่สีข้างอย่างแรง
“โอ้ยยย...เจ็บน่ะ” ร่างสูงร้องโอดครวญขึ้นมาทันที
“เจ็บสะบ้าง จะได้สร่างเมาสักที” เธอต่อว่าเขาออกมาอย่างเหลืออด แล้วลุกขึ้นนั่งจัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าที
“ทำไมถึงพาผมมาที่นี่ล่ะ” ชนาวิชญ์ถามขึ้นมาอย่างแปลกใจ เมื่อมองสำรวจรอบ ๆ แล้วกลับไม่คุ้นตาเอาเสียเลย
“ก็นายเมาจนพูดไม่รู้เรื่อง แล้วฉันก็ไม่รู้จักที่อยู่ของนายด้วย จะไปส่งถูกได้ยังไง หรือจะให้ฉันขับรถไปถึงขอนแก่นเลยหรือไง ถ้าไม่พามาที่นี่”
“ขอบคุณมากนะครับ ตอนนี้ผมสร่างเมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นผม...” เขารีบขอบคุณเธอทันที เมื่อรู้ว่าเธอเป็นคนพาเขามา และกำลังจะเอ่ยลา
“ค้างที่นี่แหละ” แต่เจ้าของห้องกลับขัดขึ้นมาเสียก่อน เมื่อรู้ว่าเขาจะพูดอะไร
“พี่จะบ้าหรือไงพี่ปลา อยู่ ๆ ก็ชวนผู้ชายให้ค้างด้วย” ชนาวิชญ์เบิกตาโตขึ้นมาทันที เมื่อเธอเอ่ยชวนเขาค้างด้วย
“โอ้ยยย ฉันให้ค้าง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะนอนด้วยกันเสียหน่อย” เธอฟาดไปที่สีข้างของเขาอีกที ก่อนจะก่อนที่จะบอกเขาออกไป
“ถึงยังไงก็ไม่เหมาะอยู่ดี ชายหญิงอยู่ชายคาเดียวกัน”
“นี่นายชักจะหัวโบราณไปไหน นอนก็นอนคนละห้อง ไม่ได้นอนด้วยกันเสียหน่อย คิดไปถึงไหนเนี้ย” ปาณิศาต่อว่าเขาขึ้นมาทันที
“หึ คนบ้านนอกมันหัวโบราณ...” ชนาวิชญ์ได้แต่แค่นยิ้มสมเพชให้กับตัวเอง เมื่อถูกตอกย้ำคำว่าบ้านนอกอีกครั้ง
“ขะ ขอโทษ ฉันไม่ได้จะว่านายแบบนั้น” เธอรีบขอโทษเขาทันที ที่รู้ว่าตัวเองเผลอพ่นวาจาอะไรออกมาที่ทำให้เขาสะเทือนใจ
“ช่างเถอะ ผมไม่ถือหรอก ได้ยินจนชินแล้ว”
ชนาวิชญ์ไม่ได้เก็บเอาคำพูดของเธอมาใส่ใจเท่าไหร่นัก เพราะเขาก็เป็นตามที่คนพูดทุกอย่าง แต่อย่างหนึ่งที่เขาอยากจะค้านคือ เขาไม่ได้หัวโบราณขนาดนั้น เขาเป็นผู้ชายเขาก็มีความรู้สึกความต้องการเหมือนกัน เพียงแต่อยากให้เกียรติคนที่ตัวเองรักเท่านั้น ถึงแม้ว่าตัวเองจะทรมานก็ตาม
“ถ้าอย่างนั้น นายนอนไปเถอะ หรืออยากจะอาบน้ำก่อนก็ตามสบายเลย แต่ตอนเช้าอย่าพึ่งไปไหนนะ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย” ปาณิศาลุกขึ้น แล้วก็สั่งเขาเอาไว้ก่อน เพราะเธออยากจะคุยกับเขา เธออยากได้เขาไปเป็นนักแสดงในความดูแล หากว่าเขายินดี
“คุยเรื่องอะไร คุยตอนนี้เลยก็ได้ เช้าผมมีเรียนแล้วต้องไปเอารถมอ’ไซค์ ที่จอดทิ้งไว้เมื่อคืนด้วย” เขาจึงรั้งเธอเอาไว้ เพราะเช้าเขาคงไม่มีเวลาว่าง
“ฉันกลัวนายจะจำอะไรไม่ได้ รอให้นายหายเมากว่านี้ก่อนดีกว่านี้ก่อนไหม” เธอมองหน้าเขาด้วยความลังเล เพราะเช้ามากลัวเขาจะจำในสิ่งที่คุยกันไม่ได้
“ผมหายเมาแล้ว แค่ยังมึน ๆ หัวอยู่นิดหน่อย คุยได้ผมไม่ลืมหรอก” เขาบอกเธอไป เพราะมั่นใจว่าสติตัวเองครบแล้ว
“เข้าเรื่องเลยน่ะ ฉันอยากพานายเข้าวงการ” ปาณิศาเข้าประเด็นในสิ่งที่ตั้งใจทันที เมื่อเห็นสายตาจริงจังของคนรอฟังอย่างแน่วแน่
“วงการ? วงการบันเทิงเนี้ยน่ะ ทำไม?” ชนาวิชญ์เลิกคิ้วถามขึ้นมา
“อื้มมม ฉันว่าหน้าตาหน่วยก้านนายดี เป็นนักแสดงได้สบายเลย” เธอบอกเขาออกไปตามตรง เพราะเธอก็เห็นในความสามารถและความมุ่งมานะของเขามาตลอด
“ผมทำไม่ได้หรอก แล้วอีกอย่างผมก็ไม่ได้เรียนเอกการแสดงมาน่ะ” เขารีบปฏิเสธและถ่อนตนทันที เพราะเขาเองก็ไม่ได้เรียนในด้านนี้มาด้วย
“ฉันรู้ แต่แค่อยากจะพานายไปทำงานด้านนี้ดู ไม่ต้องถึงขั้นเป็นพระเอกหรือดาราตัวท็อปก็ได้ แค่ไปทำงานในกอง เงินดีกว่าที่นายทำอยู่ตอนนี้ด้วย”
“ผม...”
“ถ้างั้น ขอถามอะไรอีกหน่อยได้ไหม” เมื่อเห็นว่าเขามีความลังเล เธอจึงอยากจะถามเรื่องส่วนตัวของเขาบ้าง ว่าเพราะอะไรที่ทำให้เขาไปดื่มจนเมาไม่มีสติแบบนี้ เพราะคนแบบเขาขยันทำงานจนแทบไม่มีเวลานอนอยู่แล้ว
เขาไม่พูดอะไรสักคำ แต่กลับพยักหน้าแทน เชิงอนุญาตว่าให้เธอถามเขาได้
“คนที่นายเพ้อถึง ที่ชื่อเมย์ ใช่เมยาวีที่เป็นดาวคณะฯเราหรือเปล่า” ปาณิศาถามขึ้นมาทันที เมื่อเริ่มประติดประต่อเรื่องราวขึ้นมา
เพราะเขาเอาแต่เพ้อเรียกชื่อของหญิงสาวอยู่ตลอดตอนไม่มีสติ เธอเพียงแค่อยากรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างของเขากับเธอคนนั้นเพียงแค่นั้น และสิ่งที่เธอเจอมาตลอดว่าควรจะบอกเขาดีหรือไม่ หรือว่าเธอควรจะเก็บไว้เป็นความลับต่อไป เธอเลยลองถามดูเชิงก่อน
“...พวกเราตัดสินใจต้องลองคบกัน เกือบจะได้สองปีแล้ว” ชนาวิชญ์มองหน้าเธอก่อนที่จะพยักหน้าเป็นคำยืนยัน แล้วเอ่ยบอกกับเธอออกไปตามตรง ไม่คิดที่จะปิดบังเลยว่าเขาเป็นอะไรกันกับเมยาวี เพราะเรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว
“ไม่อยากจะเชื่อ!” เมื่อได้ฟังคำตอบจากเขา ปาณิศาตกใจขึ้นมาทันที เพราะไม่อยากจะเชื่อ ว่าสาวสวยดีกรีดาวคณะจะคบหาดูใจกับกันเขาจริง ๆ แต่ไม่รู้ว่าถึงขั้นไหนแล้วนั้น ก็ต้องถามจากปากเขาอีกที
“ทำไมพี่ถึงทำท่าตกใจขนาดนั้น หรือว่าพี่ไปเห็นหรือไปรู้อะไรมาอย่างนั้นเหรอ” ชนาวิชญ์ถามเธอขึ้นมาอย่างสงสัย เมื่อเห็นท่าทีของเธอที่ไม่ปกติเมื่อได้ยินคำตอบจากเขา แถมยังหลบสายตาของเขาอีกด้วย
บทส่งท้าย(จบ)หกเดือนต่อมางานมงคลสมรสเล็ก ๆ ถูกจัดขึ้นที่ลานหน้าบ้านหลังใหญ่ หลังจากที่ปาณิศาได้ให้กำเนิดลูกชาย ซึ่งตอนนี้ลูกชายมีอายุได้สาามเดือนแล้ว นั่นคือ ‘เด็กชายปานวิชญ์ พิสิษฐากูล’ หรือ น้องชินงานมงคลของวันนี้ชนาวิชญ์ได้เรียนเชิญแขกผู้ใหญ่และคนสนิทเท่านั้น รวมถึงเพื่อนทั้งสองคนที่อยู่กรุงเทพฯของเขามาร่วมงานในครั้งนี้ด้วยและคนที่จะต้องมาให้ได้ และเป็นสำคัญของงานเลยนั่นคือช่างภาพ คอยเก็บในบรรยากาศตลอดของงานนั่นเอง ซึ่งก็คือเพื่อนสนิทของเขาคนหนึ่ง ‘วรากร’“มึงถึงไหนแล้วว่ะไอ้กร” ชนาวิชญ์โทรสายจิกกลับเพื่อนอีกครั้ง เมื่อใกล้ถึงพิธีแล้วแต่เพื่อนยังไม่ถึงสักที[ถึงปากทางเข้าแล้ว ใจเย็น ๆ หน่อยสิว่ะ งานยังไม่เริ่มเลย]“ภายใน 5 นาที ถ้ามึงยังมาไม่ถึง กูจะจ้างช่างภาพคนอื่น” ชนาวิชญ์ขู่ออกไปอย่างไม่จริงจังเท่าไหร่นัก[เชี้ย!]“วิชญ์จะเดินไปเดินมาทำไมนักหนา ปลาเวียนหัวไปด้วยแล้ว” ปาณิศาเอ่ยถามเมื่อเห็นเขาเดินไปเดินมาหลังจากแต่งตัวเสร็จรอเจ้าพิธี“วิชญ์ตื่นเต้นครับ” เสียงนุ่มเอ่ยบอกกับเจ้าสาวสุดสวยของเขาในวันนี้“มือเย็นเชียว”ก๊อก ก๊อก ก๊อก“บ่าวสาวไปเข้าพิธีได้แล้วจ้ะ ได้ฤกษ์แล้ว” คำน
มาทุกวันอยู่ได้สามเดือนต่อมาทุกคนเริ่มปรับตัวและเข้ากับคนที่นี่ได้แล้ว และก็ช่วยทำงานสวนได้เป็นอย่างดี โดยมีคนงานที่นี่คอยช่วยสอนงานให้อย่างเป็นมิตรชนาวิชญ์พึ่งพาปาณิศาไปรับประกาศนียบัตรจบจามหาวิทยาลัยมาเมื่อเดือนที่แล้ว แต่ก็ไม่ได้แวะไปทางไหนต่อ เพราะงานที่นี่ยุ่ง และหญิงสาวท้องโตแล้วด้วย“พวกมึงไม่คิดจะมาหากูบ้างเลยหรือไงว่ะ” ชนาวิชญ์ถามเพื่อนทั้งสองที่กรุงเทพฯ เมื่อวีดีโอคลอกลุ่มหากันนานแล้วที่พวสกเขาไม่ได้เจอกันกับเพื่อนทางนั้นเลย จะมีแต่เพื่อนของชนาวิชญ์ทางนี้ที่ขยันมาแทบจะทุกวัน ไม่รู้มันจะว่างอะไรนักหนา[มึงก็รู้ว่ากูงานยุ่ง ทั้งเรียนต่อ ทั้งงานที่บริษัท] ศุภวัฒน์ที่อยู่ในชุดทำงานเรียบร้อยดูมีภูมิฐาน นั่งประจำอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เอ่ยตอบกลับมา“ครับว่าที่ท่านประธานในอนาคต แล้วมึงล่ะไอ้กร เห็นแต่เที่ยวถ่ายรูปไปวัน ๆ ไม่คิดถึงกูบ้างหรือว่ะ” ชนาวิชญ์ขานรับอย่างรับรู้ แถมยังเอ่ยแซวออกไปด้วย ก่อนจะเอ่ยถามไปคนในสายอีกคน[เดี๋ยวกูเบื่อที่นี่ กูจะไปหามึงเองแหล่ะ ตอนนี้รับงานถ่ายรูปไว้เยอะเลย] วรากรตอบออกมา เมื่อรู้ว่าเพื่อนหมายถึงตน[เสียงเอะอะอะไรกันว่ะไอ้วิชญ์แทรกเข้ามา] ศุภวัฒน
ยินดีต้อนรับสู่บ้านเกิดณ บ้านของชนาวิชญ์“ที่นี่ยินดีต้อนรับทุกคนนะคะ” ชนิดาพนมมือไหว้เอ่ยต้อนรับทุกคนด้วยวาจาสุภาพอ่อนโยน ด้วยท่าทางที่อ่อนน้อม“น้องสาวผมเองครับหนูนิด ส่วนนี้แม่ของผมเองครับดูแลที่นี่แทนผมทุกอย่าง” ชนาวิชญ์จึงเอ่ยแนะนำครอบครัวของเขาให้ทุกคนรู้จัก“สวัสดีคะ/สวัสดีครับ”“เชิญทุกคนทางนี้เลยจ้ะ...” คำนางจึงพาทุกคนเดินไปทางที่พัก ที่ลูกชายแจ้งไว้แล้วว่าจะมีคนมาอยู่ที่นี่ด้วยกัน“คุณพ่ออยู่ที่...” ชนาวิชญ์จึงหันมาเอายกับว่าที่พ่อตาของเขา“พ่อขอไปอยู่ร่วมกับพวกชัยดีกว่า ไม่รบกวนลูกหรอก” แต่ปราณนต์ดันขัดเอาไว้เสียก่อนเพราะรู้ดีว่าชนาวิชญ์จะพูดอะไร“แต่พ่อครับ”ปาณิศาจึงได้ปรามเขาไว้ เพราะรู้ดีว่าผู้เป็นพ่อไม่ยอมมาอยู่ที่บ้านหลังเดียวกันกับเธอหรอก ดีแค่ไหนแล้วที่ท่านยอมมาอยู่ด้วยกันที่นี่“เถอะน่า พ่ออยู่ได้วิชญ์” ปราณนต์พูดเช่นนั้นก็ถือกระเป๋าเดินตามทุกคนไปทางที่พักทันที“เราเข้าข้างในบ้านไปหายายกันเถอะครับ ข้างนอกอากาศร้อน” ชนาวิชญ์จึงเอ่ยชวนเธอเจ้าไปในบ้านหลังใหญ่ เพราะช่วงนี้อากาศอบอ้าว“น้ำจ้าพี่ปลาคนสวย” เมื่อเข้ามาภายในบ้าน เมื่อเคยมาครั้งที่แรก ชนิดาก็น้ำมาเสิร์ฟให้เ
พร้อมสู้ไปด้วยกัน“พร่ำกันจบแล้ว ก็รีบพากันเก็บของออกจากที่นี่ไปสะ” เป็นเสียงของบุคคลที่เดินเข้ามาภายในบ้านอย่างถือวิสาสะ“พี่อาร์ต!!!” ปาณิศาเบิกตากว้างขึ้นมาทันที ว่าคนที่มาใหม่นั้นเป็นใคร ซึ่งเธอก็รู้จักสองพ่อลูกเป็นอย่างดี เพราะบิดาทำงานร่วมกัน“ใช่ พี่เอง เจ้าของบ้านคนใหม่ของบ้านหลังนี้ยังไง”“หมายความว่ายังไง”“ก็ตามที่ได้ยินนั้นแหล่ะ แต่ถ้าน้องปลาอยากได้บ้านคืนพี่มีวิธี”ปาณิศาลุกขึ้นยืน โดยมีผู้เป็นพ่อและชนาวิชญ์คอยช่วยประคอง เธอก้าวออกไปหาคนที่พูดขึ้นว่าจะเป็นเจ้าของคนใหม่ของบ้านหลังนี้“อย่าเข้ามาใกล้เมียผม” ชนาวิชญ์ผลักอกแกร่งให้ถอยออกห่างจากปาณิศาทันที เมื่อชายหนุ่มย่างกรายเข้ามาใกล้“หึ ไอ้ดารากระจอก ใฝ่สูงหวังจับคนรวย แต่เสียใจด้วยนะที่คนที่นายหวังจับหมดตัวเสียก่อน” ยศวรรธน์ยกยิ้มมุมปากพร้อมมองเหยียดเขาอย่างดูถูก“พี่จะมาพูดอะไรก็พูดออกมาเลย” ปาณิศาเข้าประเด็นทันที“มาเป็นเมียพี่สิ บ้านหลังนี้จะเป็นของน้องปลาทันที” เสียงเรียบนิ่งเอ่ย พร้อมใบหน้าดุร้ายมองมาที่เธออย่างเป็นผู้ชนะ“ไอ้ชั่ว!” ชนาวิชญ์กำมือแน่น พร้อมยกขึ้นหมายจะสาดใส่ใบหน้าคมของอีกฝ่ายทันที“เอาสิ ถ้ามึงกล้าต่
จบสิ้นหมดทุกอย่างแล้วรุ่งเช้าบ้านทัศนโสภณ“ไปทานข้าวกันก่อนครับ” เสียงนุ่มเอ่ยบอกคนที่นั่งอยู่ที่โซฟาห้องรับรอง ใบหน้าคอยแต่ชะเง้อไปทางประตูหน้าบ้านตลอด“ตอนนี้ฉันทานอะไรไม่ลงหรอกวิชญ์ ป่านนี้คุณพ่อกับน้าชัยยังไม่กลับมาเลย ปลาเป็นห่วงพ่อ...” น้ำเสียงอ่อนพร้อมกับใบหน้าที่มีแต่ความกังวลเอ่ยตอบกลับเขามา“ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ ผมคิดว่าคงไม่มีอะไรหรอก ไปทานข้าวเช้ากันก่อนน่ะ” ชนาวิชญ์เดินไปนั่งลงข้าง ๆ แล้วเอ่ยปลอบเธออย่างอ่อนโยนหลังจากที่ปรึกษาหารือกับทางผู้ใหญ่พร้อมกับชดเชยค่าเสียหายต่าง ๆ เรื่องที่เขาหายออกไปจากงาน ในคืนก่อน และเรื่องภาพหลุดที่ถูกเผยแพร่ออกไปจนถึงเกือบเที่ยงคืนชนาวิชญ์เล่าบอกความจริงกับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น จนสืบต้นตอของเรื่องทั้งหมดได้ ก็รีบจัดการแจ้งลบและแก้ข่าวให้ในทันที โดยใช้เรื่องกฎหมายเข้ามาช่วยส่วนหญิงสาวที่มีภาพหลุดมาด้วยนั้น คนของศุภวัฒน์ก็สืบทราบมาว่า หญิงสาวนั้นยถูกชายคนรักสวมเขา แล้วต้องการกลับมาหาชนาวิชญ์เพราะตอนนี้กำลังงมีชื่อเสียงปาณิศาทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีต้อนรับแขกคนสำคัญโดยการจัดอาหารมื้อสุดพิเศษ และชนาวิชญ์จึงใช้โอกาสนั้นบอกกับทางผู้ให
ปรึกษาหารือ“มีอะไรธิดา” เสียงทุ้มของผู้เป็นเจ้าบ้านเอ่ยถามเด็กสาวรับใช้ ที่ยืนมองมาที่เขาสองพ่อลูก แต่ไม่ยอมพูดอะไรออกมา ปราณนต์จึงเป็นฝ่ายถามขึ้นเสียเอง“มีคนมาขอพบคุณวิชญ์ค่ะ คุณท่าน” หญิงสาวใช้เอ่ยบอกสุทธิดา หรือ ธิดา เด็กสาวรับใช้ในวัย 20 ปี ซึ่งเป็นลูกสาวของศักดิ์ชัยลูกน้องคนสนิทเขา ศักดิ์ชัยขอหญิงสาวมาเลี้ยงเองหลังจากที่ตัดสินใจเลิกลาแยกทางกันกับมารดาของเธอไปนั้นเอง สองพ่อลูกอาศัยอยู่ที่เรือนหลังเล็กในรั้วเดียวกันที่ปราณนต์เป็นผู้สร้างให้“???” สองพ่อลูกมองหน้ากันอย่างมีคำถามมากมายเกิดขึ้น แต่ไม่มีคำถามใด ๆ หลุดออกมาสักคำ“ผมหรือครับ ชื่ออะ...ไอ้เวย์! ไอ้กร!”ซึ่งเป็นจังหวะที่ชนาวิชญ์เดินกลับเข้ามาพอดี แล้วเอ่ยถามสุทธิดาออกไป แต่ไม่ทันที่จะได้เอ่ยจบประโยค กลับต้องอุทานเป็นชื่อเพื่อนทั้งสองออกมา เมื่อเห็นว่าคนที่มาหาเขาถึงที่นี่นั้นเป็นใคร“เออ! พวกกูเอง พอดีติดต่อมึงไม่ได้เลยคิดว่ามึงต้องอยู่ที่นี่แน่ ๆ เลยมาหา" ศุภวัฒน์เป็นฝ่ายพูดออกมา“นั่งก่อนสิ เวย์ กร” ปาณิศาจึงเป็นฝ่ายบอกให้แขกที่มาหาชนาวิชญ์นั้น นั่งลงคุยกันก่อน“ขอบคุณครับพี่ปลา สวัสดีครับคุณปราน พวกผมเป็นเพื่อนไอ้วิชญ







