โรงอาหารชั้นล่างของโรงพยาบาลเอสทีฮอตปิตอล เสียงผู้คนคุยกันเบาๆ สลับกับเสียงช้อนกระทบจาน
อิงลดานั่งอยู่มุมหนึ่งของโรงอาหาร ที่เต็มไปด้วยร้านค้าหลากหลายประเภททั้งร้านอาหารตามสั่ง ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านข้าวมันไก่ ร้านขายเครื่องดื่ม และมีมินิมาร์ท ที่ขายทุกอย่างเหมือนร้านสะดวกซื้อชื่อดัง เรียกได้ว่าโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ครบวงจรเป็นอย่างมาก
ตรงหน้าของเธอคือปิ่นโตที่วางอยู่บนโต๊ะ หญิงสาวยกโทรศัพท์แนบหู
“ถึงแล้วค่ะ นั่งรออยู่โรงอาหารชั้นล่าง”
“เดี๋ยวลงไป” เสียงปลายสายตอบกลับมาสั้นๆ อิงลดาวางโทรศัพท์ลงก่อนจะเหลือบมองไปรอบตัว
ชุดเสื้อเชิ้ตสีครีมกับกางเกงขายาวเรียบๆ ทำให้เธอดูกลมกลืนกับกลุ่มญาติคนไข้ทั่วไป
จนกระทั่งเสียงสนทนาจากพยาบาลโต๊ะข้างๆ ดึงความสนใจเธอไป
“เธอรู้ยัง เมื่อวานนี่พยาบาลพลอยแผนกอายุรกรรมเข้าไปถึงห้องพักแพทย์ เพื่อเจออาจารย์ภีมเลยนะ”
“ไม่กลัวตายหรือไง คนอื่นแค่เดินเฉียดยังโดนไล่ด้วยสายตา”
“ก็เพราะแบบนี้แหละ หมอภีมถึงครองโสดจนตอนนี้ ไม่มีข่าวกับใครเลย”
“แต่เขาก็สนิทกับหมอนัทนี่ เธอเป็นถึง ลูกสาวหุ้นส่วนโรงพยาบาล คนวงในเล่ากันว่า รู้จักกันมาตั้งตั้งแต่สมัยเรียนแล้วเรียนจบก็มาทำงานด้วยกันที่นี่”
อิงลดาที่กำลังยกแก้วน้ำขึ้นจิบชะงักไปนิดหนึ่ง มือที่วางบนโต๊ะกำแก้วไว้หลวมๆ ก่อนจะคลายออก ริมฝีปากยกยิ้มเล็กน้อย ราวกับไม่ได้ใส่ใจอะไร
‘โสด...ไม่แปลกนี่นา ก็ในเมื่อไม่สนใจผู้หญิง‘ เธอบ่นในใจเบาๆ พลางกลั้นยิ้ม
แต่คำพูดท่อนหลังยังสะกิดในหัว ‘หมอณัชชา...ลูกสาวหุ้นส่วนโรงพยาบาล’
‘ก็เหมาะกันดี… หรือว่าจริงๆ แล้วคุณภีมไม่ได้เป็นเกย์แต่ที่ไม่มีข่าวกับผู้หญิงเป็นเพราะว่ามีคนอยู่ในใจอยู่แล้ว’ เสียงในหัวเธอแผ่วลงกว่าเดิม
แต่ในใจกลับรู้สึกอะไรบางอย่างซ่านขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล ไม่ใช่ความหึงหวง แค่รู้สึกไม่ชอบใจเลยที่รู้ว่าเขาอาจมีคนในใจอยู่แล้ว
หญิงสาวเหลือบมองปิ่นโตสีฟ้าพาสเทลในมือตัวเอง แล้วถอนหายใจเบาๆ
เขาจะเป็นอย่างที่เธอคิดหรือไม่ อย่างไร เธอกับเขาจะต้องแต่งงานกันอยู่ดีจุดประสงค์หลักของเธอก็คือจะให้เขาช่วยแต่งงานบังหน้าเพื่อให้เธอหนีพ้นจากการละลายของลูกชายนักการเมืองคนนั้นเท่านั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว
ตอนนั้นเอง สายตาหลายคู่เงยขึ้นมองชายหนุ่มในชุดกราวน์ขาวที่เดินเคียงข้างแพทย์หญิงคนสวย
นายแพทย์ภีมวัช และแพทย์หญิงณัชชา เป็นภาพที่พยาบาลหลายคนมองจนชินตา เพราะสองคนนี้มักคุยกันเฉพาะเรื่องงานแต่ก็ดูสนิทกันอย่างไม่ต้องอธิบาย
จนกระทั่งภีมวัชชะลอฝีเท้า แล้วหยุดอยู่หน้ามุมหนึ่งของโรงอาหาร
“ผมขอตัวนะ” เขาบอกกับณัชชาเสียงเรียบ ก่อนจะเดินแยกออกมาโดยไม่รอฟังคำตอบ
หมอสาสมองตาม แล้วชะงักเมื่อเห็นจุดที่เขาเดินไปมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งรออยู่ภีมวัชนั่งลงฝั่งตรงข้ามอย่างไม่ลังเล
“รอนานไหม”
“ก็แค่สิบห้านาทีค่ะ” เธอตอบแล้วเหลือบไปมองด้านหลังเขา ณัชชายังคงยืนอยู่ใกล้ๆ เหมือนไม่แน่ใจว่าจะไปหรืออยู่ดี
“ไม่ชวนคุณหมอคนสวยมานั่งด้วยเหรอค” เธอถามติดจะประชดนิดๆ
เขายิ้มบาง ก่อนจะเอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย และยื่นมือไปเกี่ยวปอยผมที่ปรกแก้มเธอไปทัดไว้หลังใบหูอย่างอ่อนโยน
“ผมอยากนั่งกับคุณมากกว่า”
มือของเธอชะงักไปชั่วครู่ หัวใจเต้นคร่อมจังหวะอย่างไม่ตั้งใจ
แต่สิ่งที่เงียบกว่านั้น คือบรรยากาศรอบโต๊ะ พยาบาลโต๊ะข้างๆ ที่กำลังเคี้ยวข้าวอยู่หยุดชะงัก บางคนอ้าปากค้าง บางคนเอาช้อนค้างอยู่กลางอากาศ
ภาพหมอภีมที่นั่งจ้องตาหญิงสาวพร้อมท่าทีที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน คือสิ่งที่ทุกคนต้องใช้เวลาในการประมวลผล
ณัชชายืนนิ่งตรงนั้น สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ แต่ภายในเหมือนมีอะไรแน่นอยู่กลางอก
เธอไม่รู้ว่าเขามีแฟนตอนไหน ไม่รู้ว่าเธอคนนั้นคือใคร แต่วันนี้ทุกคนรู้พร้อมกัน รวมถึงเธอด้วย
“ขอโทษที่ให้รอนาน” เขาพูดขึ้นขณะยืนเท้าข้างเก้าอี้ตรงหน้า
“อาหารกลางวันของคุณค่ะ ปิ่นโตนี้เก็บความร้อนรีบกินตอนอุ่นๆ เถอะค่ะ” น้ำเสียงขอบหญิงสาวเรียบนิ่ง แต่สายตากลับมองเขานานกว่าปกติ
เขารับกล่องนั้นไปอย่างเงียบๆ ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามเธอ
“ทำไมมีข้าวแค่ชั้นเดียวล่ะคุณล่ะ” เขาถามพลางเลิกคิ้ว หลังจากที่แกะดูปิ่นโตแต่ละชั้นพบว่ามีข้าวของเขาแค่ชั้นเดียว
“ฉันไม่หิวค่ะมาส่งอาหารให้คุณโดยเฉพาะ” เธอตอบกลับเบาๆ
“โอเค ครั้งนี้ถือว่าผมอาจจะบอกคุณไม่ละเอียด แต่ครั้งหน้าคุณต้องมากินข้าวพร้อมกันกับผม ตกลงไหม”
“ก็ได้ค่ะ” หญิงสาวรับปากแล้วมองหน้าเขาอย่างชั่งใจ เธออยากจะถามเรื่องสิ่งที่เธอกำลังสงสัย แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ถามคำถามนั้นกับ
************************
ช่วงเย็นของวันศุกร์ บ้านกุลธาราวงศ์อบอวลด้วยกลิ่นอาหารต้อนรับแขกผู้มาเยือน ภีมวัชยืนรออยู่ที่หน้าประตู ตั้งแต่ยังไม่ทันได้ยินเสียงรถของครอบครัวอิงลดาเมื่อรถตู้สีดำคันใหญ่แล่นเข้ามาจอดอย่างนุ่มนวล เขาเป็นฝ่ายก้าวเข้าไปเปิดประตูรถให้ก่อนใคร น้ำเสียงสุภาพเรียบง่าย แต่แฝงด้วยความจริงใจ“สวัสดีครับคุณลุง คุณป้า เดินทางเหนื่อยไหมครับ”พิทักษ์และอารีย์ลงจากรถด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พวกเขาประหลาดใจไม่น้อยที่หมอหนุ่มผู้เงียบขรึมอย่างภีมวัชแสดงความเอาใจใส่ตั้งแต่ก้าวแรกที่พบกันอีกครั้ง“เหนื่อยนิดหน่อยแต่พอเจอหน้าว่าที่ลูกเขยแล้วหายเหนื่อยเลย” พิทักษ์หัวเราะร่า“พูดแบบนี้เขินแทนลูกสาวเลยค่ะคุณ” อารีย์ต่อบทพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะหันไปมองลูกสาวที่ยืนอึกอักอยู่ข้างหลังอิงลดายิ้มแห้งๆ พยายามปรับสีหน้าให้ดูเป็นปกติ ทั้งที่ในใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะเมื่อทุกคนเข้ามานั่งในห้องรับแขก พร้อมหน้าพร้อมตา ดาริกาก็ยิ้มกว้างอย่างปลื้มใจ“ดูเหมือนเด็กๆ จะเข้ากันได้ดีนะคะ ดิฉันสบายใจขึ้นเยอะเลย”อารีย์
ช่วงเช้าในบ้านกุลธาราวงศ์ บนโต๊ะอาหารเช้าวันนี้เป็นข้าวต้มปลาหมึกแห้งสูตรของยุพินและยุพาที่นำเสนอจนกลายเป็นอาหารเช้ามื้อหลักที่ต้องมีในทุกสัปดาห์“ข้าวต้นปลาหมึกแห้ง สูตรของสองสาวเขา อิงลองชิมนะลูก”“ค่ะ คุณแม่” เธอตอบรับอย่างว่าง่ายดาริกามองว่าที่สะใภ้ก็ยิ้มกริ่ม อิงลดาเป็นคนสมัยใหม่ แต่ว่านอนสอนง่าย พูดจาตรงไปตรงมาแต่นอบน้อม แม้จะแสดงเจตนาจะแต่งงานกับลูกชายเธอเพราะความจำเป็น แต่เธอเริ่มมองเห็นว่าทุกอย่างมันเริ่มลึกซึ้งและมีความผูกพันกันเกิดขึ้นทีละน้อย“จริงสิตาภีม แม่ลืมบอกไป” เธอหันไปทางลูกชายที่กำลังโรยหอมเจียวเพิ่มในข้าวต้ม“ครับแม่”“พ่อแม่ของอิงจะเดินทางมาถึงตอนเย็นวันนี้นะภีม พรุ่งนี้เป็นวันดี ฤกษ์งามยามเหมาะสำหรับพิธีหมั้น พวกเราเตรียมงานไว้หมดแล้ว เหลือแค่ลูกกับหนูอิงตกลงกันให้เรียบร้อยว่าจะเชิญแขกมาเพิ่มไหม เผื่อเปลี่ยนใจแม่จะได้สั่งห้องอาหารให้เตรียมอาหารเพิ่ม”ภีมวัชเงยหน้าจากถ้วยข้าวต้ม ดวงตาสงบนิ่งแต่แวววาวอย่างพอใจ“ครับแม่ ผมรับทราบ&rdquo
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง ตามด้วยเสียงของเจ้าของบ้าน“อิง เปิดหน่อย”อิงลดาหรี่ตามองนาฬิกา “ดึกแล้วนะคะ มีอะไรหรือเปล่า”“ขอเข้าไปคุยด้วยหน่อย” เขาตอบกลับมาเธอถอนหายใจ ก่อนจะลุกไปเปิดประตู แต่ทันทีที่ประตูเปิดออก ร่างสูงก็แทรกตัวเข้ามาโดยไม่รอคำอนุญาต“นี่! ห้องอิงนะ พี่ภีมจะทำอะไร”“เงียบก่อน” เขาปิดประตูแล้วหันกลับมา สายตาคมนิ่งจ้องมาที่เธออย่างหนักแน่น“พี่มาพิสูจน์”“พิสูจน์อะไรคะ” เธองุนงง ก่อนจะนึกได้ว่าคำพูดเมื่อตอนกลางวันของเขาเคยพูดเอาไว้ว่าอย่างไร หญิงสาวเบิกตากว้าง แต่ก็ไม่ทันแล้ว“ว่าพี่ไม่ใช่อย่างที่เธอเข้าใจผิด” พูดยังไม่ทันจบ ภีมวัชก็คว้าแขนเธอดึงเข้าหาตัว แรงกระชากทำให้เธอเซเล็กน้อย ใบหน้าเขาโน้มลงมาใกล้จนเธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่ปะทะแก้มเมื่อใบหน้าของเขากำลังจะโน้มลงหา เธอก็จ้องตาไม่กะพริบแล้วเม้มปากแน่นไม่ยอมให้เขาจูบ แต่เมื่อรมิฝีปากคลอเคลียใกล้ๆ ลมหายใจรดรินกันเธอก็ตัดสินใจที่จะต่อต้าน
ขณะที่นายแพทย์หนุ่มนั่งกับอิงลดา และเอาใจเธอ ทั้งไปสั่งอาหารให้ และเดินไปซื้อเครื่องดื่มให้โต๊ะอีกมุมหนึ่งของโรงอาหาร ณัชชานั่งมองภาพตรงหน้านั้น มือหนึ่งถือช้อน อีกมือกุมตะเกียบไว้แน่น“หมอภีมเป็นอะไรของเขา วันนี้อ่อนโยนผิดปกติ แบบนี้เรียกคลั่งรักใช่ไหมคะ” หมอนุ่นกล่าวแล้วยิ้มมองภาพเพื่อนร่วมงานที่ดูต่างออกไปจากปกติ เป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แม้กระทั่งณัชชาที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์ปีหนึ่ง เขาก็ยังไม่เคยมีมุมอ่อนโยนแบบนี้ให้เธอ“ไม่เคยเห็นยกข้าวยกน้ำให้ใคร ขนาดหมอนัทที่เป็นเพื่อนสนิทก็ยังไม่เคยเดินไปซื้อน้ำมาให้”“หมอธนินทร์พูดถูก สงสัยผู้หญิงคนนั้นคือตัวจริงล่ะมั้ง หมอภีมถึงได้ยอมเปลี่ยนตัวเองขนาดนี้” หมอปุณณ์หัวเราะอย่างชอบใจณัชชาก้มหน้ากินอาหารคำต่อไปเหมือนเคี้ยวยากผิดปกติ ในหูเธอยังได้ยินเสียงพยาบาลโต๊ะข้างๆ กำลังเม้าท์ต่อ“ผู้หญิงคนนั้นน่ารักนะ สดใสเป็นธรรมชาติดี”“ใช่ ฉันเห็นตอนเธอมาส่งข้าวให้หมอภีมครั้งก่อน หมอภีมยิ้มอะปกติก็ไม่เคยเห็นยิ้มเลยสัก
ที่ห้องพักแพทย์ แพทย์หญิงณัชชาเดินเข้ามาพร้อมเอกสารในมือ ก่อนจะวางลงบนโต๊ะ“หมอภีม เที่ยงนี้ลงไปกินข้าวด้วยกันนะ หมอธนินทร์ หมอนุ่น แล้วก็หมอปุณณ์จะไปด้วย นัดกันไว้แล้ว” เธอพูดพร้อมกับหันไปยิ้มให้กับแพทย์อีกสามคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน“อืม ลงไปพร้อมกันก็ได้” เขาพยักหน้ารับณัชชาแย้มยิ้มเบาๆ ก่อนจะหันไปพูดกับเพื่อนร่วมอาชีพ แล้วพวกเขาก็เดินออกไปพร้อมกันเมื่อถึงชั้นโรงอาหาร ภีมวัชเดินนำมาเล็กน้อย พอเลี้ยวผ่านโซนเสาใหญ่ เขาก็ยิ้มกริ่มที่โต๊ะตัวเดิม อิงลดานั่งรออยู่ในชุดเรียบง่าย สีหน้านิ่งแต่สายตาเป็นประกายเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา“เดี๋ยวผมขอแยกไปตรงนั้นนะ” ภีมวัชพูดขึ้นเบาๆ ก่อนจะเบนทิศทางจากกลุ่มแพทย์ไปยังโต๊ะของอิงลดา โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยณัชชาชะงัก สีหน้ายิ้มที่เคยแต่งไว้เริ่มคลายลง“เอ๊ะ…นั่นหรือเปล่าผู้หญิงที่พยาบาลลือกันอยู่ช่วงนี้” หมอนุ่นหันมาถาม “ใช่ๆ เขาว่ากันว่าเย็นชากับทุกคน แต่อ่อนโยนกับผู้หญิงคนนี้แค่คนเดียว” หมอธนินทร์เสริมณัชชาเงียบ ไม่พูดอะไร เธอแค่มองตามแผ่นหลังของภีมวัชที่กำลังเดินไปนั่งข้างหญิงสาวคนนั้น มือทั้งสองกำแน่นจนรู้สึกถึงปลายเล็บที่จิกลงกลางฝ่ามือแต่ก่อนที่เธ
เช้าวันต่อมา ภีมวัชเดินลงมาที่โต๊ะอาหารก่อนใคร สีหน้าของเขานิ่งสนิทเหมือนเดิม แต่คิ้วที่ขมวดเล็กน้อยบ่งบอกว่าจิตใจไม่ได้สงบเท่าไรดาริกาทักว่าเมื่อคืนหลับสบายไหม เขาเพียงพยักหน้ารับเงียบๆ ก่อนจะก้มหน้าจิบน้ำเปล่าอิงลดาเดินลงมาช้าๆ วันนี้เธอใส่เสื้อเชิ้ตสบายๆ กับกางเกงผ้าเนื้อดี ดูคล่องตัวแต่เรียบร้อย พอเห็นว่าภีมวัชนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว เธอก็ยิ้มบางๆ“อรุณสวัสดิ์ค่ะ พี่ภีม” หญิงสาวจงใจเน้นเสียงอย่างยียวนเขาเหลือบตามอง ตอบกลับเสียงเรียบและสีหน้าไม่เปลี่ยน“เที่ยงนี้พี่อยากกินข้าวผัดกุ้ง”อิงลดาเลิกคิ้ว เพิ่งจะเช้าเขาก็ถามหาอาหารเที่ยงแล้ว“ค่ะ เด่ยวบอกป้าสมรให้”“พี่อยากกินฝีมืออิง”“วันนี้ไม่อยากเข้าครัวค่ะ” เธอปฏิเสธตามตรง“อ้าว แย่เลยลูก พ่อคุณอยากกินข้าวผัดกุ้งแต่แม่ครัวคนเก่งไม่เข้าครัวซะแล้ว” ดาริกาหัวเราะเบาๆ“แต่อิงเห็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำในโรงอาหารโรงพยาบาลน่ากินมากเลยนะคะ” เธอพูดพลางหรี่ตามองเขา“เรากินก๋วยเตี๋ยวร้านนั้นได้หรือเปล่าคะ”ภีมวัชเงียบไปสักพัก ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ“อืม...” เขาไม่มีคำพูดอื่น แต่ในใจกลับรู้สึกผ่อนคลายลงนิดหน่อยอย่างน้อยเธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่เสแสร้งเข้าค