ที่โรงพยาบาล ภีมวัชกำลังนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ตรวจสอบข้อมูลของคนไข้ที่เป็นผู้ป่วยนอก ทันทีที่เขาเลื่อนดูรายชื่อลงมา สายตาของเขาก็พลันหยุดชะงักลงที่ชื่อหนึ่ง
“ภาณุ...” คิ้วของภีมวัชขมวดเข้าหากันแน่น ดวงตาคมกริบจ้องมองชื่อนั้นอย่างพิจารณา ความรู้สึกบางอย่างแล่นเข้ามาในใจ
‘คงไม่ใช่คนเดียวกันหรอก’ เขาบอกตัวเอง แต่หากเป็นคนคนเดียวกันกับคนที่ตามตื๊อคู่หมั้นของเขา นั่นหมายความว่าการนัดหมายครั้งนี้ไม่ใช่การมาปรึกษาทางการแพทย์ทั่วไป แต่เป็นการเตือนจากภาณุ เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายสืบรู้แล้วว่าเขาคือใคร และตามมาถึงที่ทำงานของเขาแล้ว
ความโกรธเริ่มก่อตัวขึ้นในอกของภีมวัชอีกครั้ง แต่เขาก็พยายามควบคุมมันไว้ ใบหน้าของเขากลับมาเรียบเฉยดังเดิม ภีมวัชไม่ใช่คนที่จะหลบเลี่ยงปัญหา เขารู้ว่าการเผชิญหน้าคือสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว
“เชิญคิวต่อไปเลยครับ” เขาพูดเสียงเรียบ
“คนไข้รายต่อไปชื่อคุณภาณุค่ะ เห็นว่ามีอาการปวดหัวเรื้อรังค่ะ” พยาบาลสาวพูดพร้อมกับยื่นแฟ้มให้ ก่อนที่เธอจะเดินออกไปเชิญคนไข้ที่เขากำลังสงสัยว่าเป็นภาณุคนที่เขาไม่อยากเจอ
ภาณุเดินเข้ามาภายในห้องตรวจ ใบหน้าฉายแววเคร่งเครียดเกินจริง ภีมวัชเลิกคิ้วมองอย่างเย้ยหยัน เขาไม่ได้กลัวการมาของอีกฝ่ายเลยสักนิด ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“คุณภาณุใช่มั้ยครับ อาการปวดหัวของคุณเป็นยังไง”
“อาการปวดหัวของผมไม่สำคัญเท่าเรื่องที่ผมจะคุยกับคุณ” ภาณุคลี่ยิ้มเย็นชา ก้าวเดินเข้ามาใกล้โต๊ะทำงาน
“ถ้าไม่ใช่เรื่องอาการเจ็บป่วย ผมไม่มีเวลาคุยด้วย” ภีมวัชเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายตรงๆ แววตาคมกริบราวกับมีดผ่าตัด
“ผมมาเตือนให้คุณเลิกยุ่งกับอิง” ภาณุพูดเสียงต่ำ คล้ายจะต้องการข่มขู่
ใบหน้าเย็นชาของภีมวัชไม่มีการเปลี่ยนแปลง ราวกับสิ่งที่ภาณุพูดไม่สามารถกระทบใจเขาได้เลยแม้แต่น้อย “คุณภาณุ ถ้าคุณไม่ได้มาด้วยเรื่องอาการป่วย ก็เชิญกลับออกไปเถอะครับ”
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่องหน่อยเลยหมอภีมวัช อย่าคิดวจะลองดีกับผม ผมไม่มีทางยอมให้อิงลดาเป็นของใครทั้งนั้น” ภาณุขึ้นเสียงอย่างอดกลั้นไม่ได้
“เรื่องนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องกังวล คุณควรจะห่วงภรรยาของตัวเองมากกว่าจะมาห่วงคู่หมั้น...ของผม” ภีมวัชย้ำประโยคท้าย เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ เป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูน่าขนลุกมากกว่าขบขัน
“เชิญคุณภาณุออกไปก่อนนะครับ ถ้าคุณมีอาการปวดหัวจริงๆ ค่อยกลับมาใหม่” เขากดกริ่งเรียกพยาบาล พลางเบนสายตาไปที่ประตู
“ฉันจะมาเยี่ยมแกบ่อยๆ ไอ้หมอประสาท” เขากัดฟันพูด ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธกำมือแน่น ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องไปอย่างหัวเสีย
ภีมวัชมองตามแผ่นหลังนั้นจนลับตา ดวงตาที่เคยเรียบนิ่งกลับฉายแววบางอย่างที่ยากจะเข้าใจ
“อาจารย์หมอคะ” พยายามสาวผู้ช่วยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล
“คนไข้รายนี้ไม่ได้ป่วยจริง เขาตั้งใจมาหาเรื่อง ต่อไปหากเขามาอีกจะต้องระวังมากกว่านี้นะครับ” เขาพูดด้วยน่ำเสียยงที่จริงจัง
“ค่ะอาจารย์” พยาบาลสาวรับคำ
ก่อนจะเลิกงาน ณัชชาเดินเข้ามาในห้องทำงานของภีมวัชอย่างถือวิสาสะ เธอนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับเขา มองดูภีมวัชที่กำลังเก็บกระเป่าเตรียมตัวกลับ
“หมอภีมคะ ได้ยินข่าวว่ามีคนไข้มาหาเรื่องเหรอคะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย ในฐานะลูกสาวหุ้นส่วนของโรงพยาบาล เรื่องนี้เธอคงรู้มาจากรายงานที่เขาส่งไป หรือไม่ก็คงเป็นพยาบาลสาวที่เอาไปพูดต่อในวงสนทนาตามประสา
“ครับ” เขาตอบสั้นๆ
“เกี่ยวกับคู่หมั้นของหมอภีม แบบนี้ไม่ใช่ว่าเธอมีคนรักอยู่แล้วเหรอคะ ไม่งั้นคุณ” ณัชชาถามด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใย
“เอาเป็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของผม หมอนัทเป็นห่วงในส่วนที่บุคคลภายนอกใช้สถานะคนไข้เข้ามาก่อความวุ่นวายดีกว่าครับ” เขาพูดราวกับจะบอกว่าเธอไม่ต้องยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขา ทำให้แพทย์สาวหน้าชา ภีมวัชสุภาพกับเธอมาตลอด เขาไม่เคยพูดจาทำนองนี้กับเธอด้วยซ้ำ
“ฉันแค่เป็นห่วงคุณนะคะ”
“ผมรับทราบแล้วครับ ต้องขอบคุณหมอนัทด้วย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ห่างเหินกว่าแต่ก่อน อยากเว้นระยะห่างกับเธอให้ชัดเจน เพราะหากใจอ่อนก็กลัวว่าเธอจะมีความหวัง
************************
ภีมวัชขับรถพาอิงลดามาที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ก่อนจะเดินนำเธอไปยังร้านอาหารไทยสไตล์ฟิวชั่นที่ขึ้นชื่อเมื่อพนักงานนำเมนูมาให้ ภีมวัชก็ยื่นเมนูนั้นให้กับอิงลดา“อยากกินอะไรก็สั่งเลยนะ”อิงลดายิ้นรับ เธอเปิดเมนูดูอย่างตั้งใจ สั่งอาหารที่เธอชอบและคิดว่าเขาจะชอบด้วย พนักงานจดรายการอาหารแล้วเดินออกไป เหลือเพียงเขาสองคนนั่งอยู่ด้วยกันภีมวัชมองใบหน้าของอิงลดาอย่างหลงใหล ดวงตาคมกริบของเขาทอประกายความสุขอย่างที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนในแววตาของเขาหญิงสาวรู้สึกได้ถึงสายตาของเขา เธอเงยหน้าขึ้นมองสบตาเขานิดหน่อย“พี่ภีมมองอะไรคะ”“มองภรรยาของพี่ไง” ภีมวัชตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนจนทำให้เธอรู้สึกใจสั่นใบหน้าของอิงลดาแดงก่ำ เธอหลุบตาลงมองแก้วน้ำที่วางอยู่ตรงหน้าอย่างเขินอาย หัวใจของเธอเต้นแรงกับคำว่าภรรยาที่เขาเรียกภีมวัชเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์ความรักมาก่อน คำพูดที่เขาพูดไปก็ไม่รู้ว่ามันจะฟังดูเสี่ยวเกินไปหรือไม่ ต่างคนก็ต่างขวยเขินและเงียบไปพักใหญ่ ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดอะไรกันดีเมื่ออาหา
ณัชชาพยายามหลบหน้าภีมวัชเพื่อที่จะลดความเจ็บปวดให้ตัวเอง เธอใช้เวลาทั้งหมดในห้องทำงานของตัวเอง หรือไม่ก็อยู่กับคนไข้ เพื่อให้ตัวเองไม่มีโอกาสได้พบกับเขาเลย เธอรู้ดีว่าเธอต้องทำใจกับความสัมพันธ์ของเธอกับเขา แต่การกระทำของเธอมันช่างขัดแย้งกับความรู้สึกข้างในใจเหลือเกินพอถึงเวลาพักกลางวัน ณัชชาตัดสินใจเดินลงไปที่โรงอาหารของโรงพยาบาล เธอแอบหวังลึกๆ ว่าจะได้เจอภีมวัชที่นั่น เพราะปกติแล้วเขาจะมารับประทานอาหารกลางวันเป็นประจำสายตาของเธอสอดส่ายไปทั่วโรงอาหาร แต่ก็ไม่พบร่างสูงของคนที่เธอต้องการเจอ เธอเดินไปนั่งที่โต๊ะประจำด้วยสีหน้าที่ผิดหวังเล็กน้อยทันใดนั้น นายแพทย์ธนินทร์ก็เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะเดียวกับเธอ พร้อมด้วยเพื่อนแพทย์อีกสองคน“เป็นอะไรไปหมอนัท ทำไมหน้าตาดูไม่ค่อยดีเลย”“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่รู้สึกหิว แต่ไม่รู้จะกินอะไรดี” ณัชชายิ้มเจื่อนๆ“วันนี้ร้านข้าวแกงมีขนมจีนแกงเขียวหวานด้วย ของโปรดหมอนัทนี่ครับ ทำทีไรก็ไปจัดตลอด” หมอธนินทร์ถามพร้อมกับรอยยิ้ม“วันนี้ไม่อยากกินเส้นค่ะ”&l
หลังจากผ่านขั้นตอนการลงทะเบียนและยื่นเอกสารต่างๆ จนครบถ้วน ภีมวัชและอิงลดาก็ถูกเรียกให้เข้ามาในห้องทำงานของเจ้าหน้าที่ทะเบียน“เชิญคุณภีมวัชและคุณอิงลดาลงชื่อในทะเบียนสมรสได้เลยค่ะ” เจ้าหน้าที่ยื่นปากกามาให้ทั้งสองคนอิงลดาใจเต้นแรง เธอรับปากกามาถือไว้ในมือ แล้วมองไปที่ภีมวัชที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาส่งยิ้มบางๆ ให้กับเธอ เป็นยิ้มที่ทำให้ความตื่นเต้นและความประหม่าของเธอคลายลงเล็กน้อยมือเรียวของหญิงสาวสั่นเล็กน้อยขณะจรดปลายปากกาลงบนกระดาษ ตัวอักษรแต่ละตัวที่เธอเขียนลงไปมีความหมายมากกว่าแค่การเซ็นชื่อ มันคือการเริ่มต้นบทใหม่ของชีวิต และเธอก็หวังว่ามันจะเป็นบทสรุปที่สวยงามอย่างที่มารดาของภีมวัชตั้งใจเมื่อเซ็นชื่อเสร็จแล้ว เธอส่งปากกาให้ภีมวัช เขารับมันมาด้วยรอยยิ้มที่มองเห็นได้ชัดกว่าทุกครั้ง มือแกร่งจรดปลายปากกาลงบนกระดาษอย่างมั่นคงและเด็ดเดี่ยว ไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย ตามด้วยลายเซ็นของพยาน“ยินดีด้วยนะคะคุณภีมวัช คุณอิงลดา หลังจากนี้ก็ถือว่าเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้วค่ะ” เจ้าหน้าที่เอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม
เช้าวันใหม่มาถึงพร้อมกับแสงแดดอ่อนๆ ที่สาดส่องเข้ามาในห้องนอนของอิงลดา หญิงสาวตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้นจนแทบนอนไม่หลับมาทั้งคืน เพราะวันนี้เป็นวันสำคัญที่เธอจะได้จดทะเบียนสมรสกับภีมวัชอหญิงสาวเดินตรงไปยังตู้เสื้อผ้า เธอใช้เวลาอยู่หน้าตู้อยู่นานหลายนาที มือเรียวไล่ไปตามชุดต่างๆ ที่แขวนอยู่ภายในตู้ เธออยากจะเลือกชุดที่สวยที่สุดในวันนี้ชุดเดรสสีขาวสะอาดตา ชุดเดรสสีชมพูหวานๆ ชุดเดรสสีฟ้าอ่อนสุดท้ายเธอก็ตัดสินใจหยิบชุดเดรสสีขาวเรียบๆ ที่มีลูกไม้ประดับที่คอเสื้อออกมา ร่างบางหมุนตัวไปมา มองดูตัวเองในเงาสะท้อนของกระจกที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุขกับชุดที่เลือกได้ในขณะเดียวกัน ที่อีกห้องหนึ่ง ภีมวัชกำลังเผชิญหน้ากับความตื่นเต้นไม่แพ้กัน เขายืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า กำลังเลือกหยิบเนกไทสีต่างๆ ออกมาวางเรียงกันบนเตียงอย่างชั่วใจเขาลองหยิบเนกไทสีน้ำเงินเข้มขึ้นมาทาบกับเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เตรียมไว้ แต่ก็ต้องส่ายหน้าให้กับตัวเอง เขารู้สึกว่ามันดูทางการเกินไป เขาจึงวางมันลง แล้วหยิบเนกไทสีเทาเงินขึ้นมาทาบแทน แต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่ใช่ เขายืนนิ่งอยู่หน้ากองเนกไทบนเตียง
อิงลดาก้าวออกมาจากห้องทำงานของภีมวัชด้วยสีหน้าครุ่นคิด เธอรู้สึกหนักใจกับปัญหาที่ภาณุก่อขึ้น แต่ก็ต้องรีบสลัดความกังวลทิ้งไปเมื่อเหลือบไปเห็นดาริกากำลังนั่งอ่านนิตยสารอยู่ในห้องนั่งเล่นแล้วยิ้มให้เธอเป็นเชิงเรียกให้เข้าไปนั่งด้วย“วันนี้คุณแม่ไม่ได้ออกไปงานเลี้ยงกับเพื่อนเหรอคะ” อิงลดาเอ่ยทักทายพร้อมกับรอยยิ้ม“เพิ่งกลับมาจ้ะ เพื่อนๆแม่เขาพูดอวดเรื่องหลานกัน แม่ไม่มีหลานกับเขา คุยไม่สนุกเลยกลับมาก่อน” ดาริกาวางนิตยสารลงแล้วยิ้มตอบอิงลดาเดินไปนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้ามกับดาริกา เธอนั่งตัวตรงด้วยกิริยาที่สำรวม“เรื่องจดทะเบียนสมรสน่ะ แม่ดีใจนะที่ลูกสองคนตกลงกันได้” ดาริกาเปิดบทสนทนาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นเล็กน้อยอิงลดาไม่รู้จะตอบอย่างไรดี เธอจึงแค่ยิ้มรับ“แม่รู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้อาจจะเริ่มต้นจากการแก้ปัญหาของหนู แต่แม่หวังว่ามันจะยาวนานและแม่ก็อยากได้หนูมาเป็นลูกสะใภ้จริงๆ ไม่ใช่แค่การแต่งงานบังหน้า” ดาริกาพูดต่ออิงลดาเงยหน้าขึ้นมองหญิงวัยกลางคนด้วยความซาบซึ้ง“แม่รักหน
ณัชชาเดินเข้ามาในห้องพักแพทย์ สีหน้าของเธอหม่นหมองลงเล็กน้อยกว่าทุกวัน เธอเห็นภีมวัชนั่งที่มุมส่วนตัวจึงเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม พยายามชวนคุย“หมอภีมวันนี้มีเรื่องอีกแล้วเหรอคะ”ภีมวัชเงยหน้าขึ้นมองเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มลงไปอ่านเอกสารต่อ“ครับ”บรรยากาศในห้องเงียบลงทันที ณัชชาไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี เธอรู้สึกได้ถึงความเย็นชาและระยะห่างที่ภีมวัชสร้างขึ้นมาอย่างชัดเจน นับตั้งแต่วันที่เธอตัดสินใจสารภาพรักกับเขาไป เขาก็พยายามทำตัวให้ชัดเจนว่าความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน“หมอภีมโกรธฉันเหรอคะ” เธอถามเสียงแผ่วเบาภีมวัชหยุดอ่านเอกสาร เขาวางมันลงบนโต๊ะ แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาณัชชาตรงๆ แววตาของเขาเรียบนิ่งจนเธอไม่สามารถอ่านความรู้สึกใดๆ ได้“ผมไม่ได้โกรธหมอนัท แต่ผมแค่คิดว่าเราควรรักษาระยะห่างที่เหมาะสม”“แต่เราเป็นเพื่อนกันมานานแล้วนะคะ สิบสามปีแล้วที่เรารู้จักกัน ทำไมต้องทำเย็นชากับฉันเหมือนคนอื่น” ณัชชาพูดด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสั่นเครือ“ก็เพราะเร