Mag-log inก้าวขึ้นรถและปิดประตู หมอกันต์ก็หันมาเสียงเข้มกับภรรยาทันที “ห้ามคุณซื้อหุ้นของพ่อผมเด็ดขาดนะหวาน”
“หวานคงต้องดูก่อนนะคะ”
“จะดูอะไร คุณดูเป็นหรือไง”
“ค่ะ” ข้าวหวานตอบตามตรง ความจริงเธอเรียนจบด้านไฟแนนซ์มาด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่เป็นความสามารถโดดเด่นจนได้รับรางวัลไปแข่งขันถึงต่างประเทศคือทักษะด้านดนตรี คนอื่นรับรู้ว่าเธอมีโรงเรียนสอนดนตรีหลากหลายแขนงซึ่งกระจายไปหลายสาขา และมองเธอในฐานะไฮโซสาวที่ใช้ชีวิตสุนทรี ทว่าอีกมุมหนึ่งเธอเป็นนักลงทุน
หญิงสาวรู้ดีว่าตนเองไม่เหมาะกับหน้าที่ของนักบริหาร แต่ในฐานะนักลงทุนเธอก็ไม่เคยทำพลาด ไม่ว่าจะลงทุนในตลาดหุ้น หรือแม้กระทั่งการเข้าซื้อกิจการ เมื่อเป็นนักลงทุนก็เท่ากับอยู่เบื้องหลัง ไม่ใช่คนออกหน้าอย่างผู้บริหารในบอร์ด แต่เธอก็จ่ายเงินเพื่อจ้างคนพวกนั้นมาดูแลให้กิจการที่เธอลงทุนไว้เติบโตขึ้นอีกที
และเพราะเลือกกิจการต่างๆ แบบมองขาด ข้าวหวานถึงมั่นใจว่าผู้ชายที่เธอเลือกและลงทุนกับเขาคนนี้ มันจะส่งผลให้ชีวิตคู่ของเธอประสบความสำเร็จอย่างงดงามเช่นเดียวกัน
ถึงแม้ว่าการเลือกครั้งนี้ จะไม่มีอย่างอื่นมาเป็นส่วนประกอบเลยนอกจากอารมณ์และความรู้สึก ทว่าก็ขอให้สัญชาตญาณของเธอถูกต้อง
นี่คงเป็นความหวังของคนที่รักมากอยู่ฝ่ายเดียวกระมัง
“ไหนคุณลองบอกผมซิ ว่าไอ้บริษัทที่กำลังจะเจ๊งแหล่มิเจ๊งแหล่นี่มันมีอะไรน่าสนใจ” ขับรถออกสู่ถนนเส้นหลัก นายแพทย์หนุ่มก็ยังไม่วายหันมาแขวะ
“หวานถึงต้องขอเอกสารไปดูก่อนนี่ไงคะ” เธอยังไม่เห็นงบการเงินหรือฐานลูกค้าหลักของบริษัทพ่อสามีเลย
“ผมจะบอกให้นะข้าวหวาน ไอ้บริษัทนี้มันกำลังจะเจ๊ง พ่อแค่อยากหาทางรอดไม่ต้องจ่ายหนี้ให้บ้านคุณก็เท่านั้น งวดนี้มันเท่าไรนะ”
“หกสิบล้านค่ะ”
ความคิดที่ดังอยู่ในหัวชะงักกึก หกสิบล้าน เงินเดือนของศัลยแพทย์มือดีระดับอาจารย์หมอแถมพ่วงด้วยการรับเคสให้กับโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง ไม่มีทางหามาชดใช้หนี้ของครอบครัวได้เพียงพอ ยิ่งคิดก็ยิ่งอัปยศอดสู ทำได้แค่ส่งเสียงเครียดขรึมไปกำชับภรรยาอีกครั้ง “เอาเป็นว่าผมห้ามคุณไปลงทุนกับพ่อผม แล้วก็ห้ามช่วยเหลือเรื่องเงินทองครอบครัวผมอีก”
“แต่คุณพ่อกำลังเดือดร้อน หวานเป็นลูกสะใภ้ก็อยากช่วยเหลือนะคะ”
“คุณช่วยเหลือมามากพอแล้ว หยุดสักทีเถอะ” ครอบครัวของข้าวหวานหยิบยื่นความช่วยเหลือจนเหมือนซื้อตัวเขามาเป็นผัวเธอนี่ไง จากศัลยแพทย์ที่แสนเย่อหยิ่งต้องกลายมาเป็นเหมือนแมงดาตัวหนึ่ง ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหในสถานการณ์ที่เป็นอยู่
ไอ้กิจการที่ร่อแร่มาหลายปีของบิดา ถ้าไม่มีปู่ของข้าวหวานยื่นมือเข้าช่วยเหลือเสนอเงินมหาศาลมาอุดรอยรั่ว ป่านนี้ครอบครัวเขาก็แค่ปิดกิจการไป ส่วนบิดามารดาของเขาก็จะดำรงชีวิตอยู่รอดได้สบายๆ ด้วยเงินเดือนหลายแสนจนเกือบล้านของอาชีพหมอ แต่นี่มันกลายเป็นการก่อหนี้ไม่จบไม่สิ้นด้วยการให้สินเชื่อก้อนใหญ่ สุดท้ายดอกเบี้ยก็
ล้นพ้นหัวทบต้นต้นทบดอก จนตัวเขาต้องถูกบังคับให้แต่งงานมือหนาบีบกำพวงมาลัยรถไว้แน่น น่าตลกชะมัดที่นายแพทย์อย่างเขาใช้เงินราวสิบล้านวางเป็นสินสอดทองหมั้นให้ไฮโซสาว แต่คนที่มีค่าตัวสูงลิบลิ่วกลับเป็นเขาเสียเอง ข้าวหวานใช้เงินสองร้อยล้านซื้อเขามา
“จริงๆ ก็อยากช่วยคุณพ่อนะคะ หวานเองก็น่าจะช่วยทำการตลาดลูกค้ากลุ่มไฮเอนด์ที่ต้องการใช้บริการของสถาปนิกและการตกแต่งภายในได้”
“อยู่ๆ ก็เกิดขยัน อยากทำงานขึ้นมา เพราะอยากเอาใจพ่อผัวงั้นเหรอ”
“ใช่ค่ะ หวานอยากเอาใจคุณพ่อ อยากเอาใจพี่กันต์ด้วย ไม่ดีเหรอคะ”
ดวงตากลมโตของหญิงสาวมีแววน้อยใจ แต่คำพูดก็ยัง
ออดอ้อนราวกับความรักของกันต์ธีเป็นสิ่งสูงค่าเสมอใบหน้าซีดเซียวที่ประดับรอยยิ้มทำให้หมอหนุ่มชะงักไป ไม่ส่งคำพูดใส่อารมณ์อีก แต่ก็เบนหน้าหนีไม่ยอมสบสายตาที่แสนจงรักภักดีแบบนั้นเช่นกัน
“ผมแค่ไม่อยากให้คุณต้องเสียเงินเพิ่มอีก เรื่องที่บ้านผมเดี๋ยวผมจะจัดการเอง”
“ได้ค่ะ แต่หวานก็คิดเหมือนคุณพ่อนะบริษัทมันสร้างมาจนอยู่ตัวสักพักแล้ว พี่กันต์อาจไม่ได้ชอบในสายสถาปนิกออกแบบ แต่ถ้าวันข้างหน้าลูกของเราเกิดชอบมันขึ้นมา เขาก็จะไม่ต้องมาเริ่มต้นจากศูนย์ ยังไงก็เก็บไว้ให้ลูกเราได้นะคะ”
“ผมบอกไปแล้วนี่ ว่าไม่ชอบเด็ก”
“แต่ถ้าเป็นลูกเรา พี่กันต์ต้องยิ่งกว่าชอบแน่ๆ ค่ะ”
“ข้าวหวาน” นายแพทย์กันต์ธีกดเสียงหนักแน่น หยุดรถไว้ที่หน้าโรงพยาบาล และหันมาบอกหญิงสาวอย่างเย็นชาที่สุด “ผมไม่คิดจะมีลูก โดยเฉพาะกับคุณ”
“ทำไมคะ”
“ระหว่างคุณกับผมเราอาจจะอยู่กันได้ด้วยความเป็นกัลยาณมิตร ผมอดทน คุณอดทน แต่ผมจะไม่ยอมให้เด็กคนหนึ่งต้องโตมาในบ้านที่มีแต่บรรยากาศอึมครึมแบบนี้แน่”
“…”
“ผมจะไม่ขอโทษคุณหรอกนะ เพราะผมเคยพูดกับคุณตั้งแต่แรกแล้วว่าถ้าจะแต่งงานกัน เราจะไม่มีลูกเด็ดขาด คุณอยากมีลูก
ใช่ไหม”“เมื่อก่อนหวานยังเด็กกว่านี้ แล้วก็คิดว่าพี่กันต์อาจจะยังไม่พร้อม แต่ถ้าถามตอนนี้หวานก็อยากมีลูกค่ะ” หญิงสาวตอบเขาแบบตรงไปตรงมา จริงอยู่ก่อนหน้านั้นกันต์ธีสั่งให้เธอคุมกำเนิด เขาแจ้งตั้งแต่แรกแล้วนั่นแหละว่าไม่อยากมีลูก แต่เธอไม่ได้คาดคิดว่ามันจะเป็นเรื่องเอาจริงเอาจัง เพราะเมื่อเวลาผ่านไปเธอและเขาก็ต้องอยากมีทายาทร่วมกัน เพื่อมาเติมเต็มครอบครัวของเราให้สมบูรณ์เป็นธรรมดา
“คุณอยากมีลูก?”
“ค่ะ”
“งั้นคุณคงต้องหาผัวใหม่แล้วล่ะครับ ข้าวหวาน” นายแพทย์กันต์ธีเปิดประตูรถลงไปแล้ว ก่อนจะหันมาบอกหญิงสาวอีกครั้ง “ผมมีงานต่อ คุณขับรถกลับเองแล้วกันนะ”
“ค่ะ” ผู้เป็นสามีเดินลับไปแล้ว เขาไม่ได้รอการตอบรับจากเธอด้วยซ้ำ ในขณะที่ข้าวหวานนั่งนิ่งเหมือนถูกสาป น้ำตาคลอหน่วยก่อนที่มันจะค่อยๆ ไหลมาจากดวงตาสู่พวงแก้ม และตกลงกระทบกับเรือนเพชรของแหวนแต่งงานที่นิ้วนางข้างซ้าย
แหวนแต่งงานของการแต่งงานที่ไร้ความหมายเหลือเกินสำหรับนายแพทย์กันต์ธี
แซ็กโซโฟนเป็นเครื่องดนตรีที่มีชีวิต...ผมรู้สึกแบบนั้นมาตลอด เพราะทุกครั้งที่ได้ยินข้าวหวานเป่าเจ้าเครื่องดนตรีชนิดนี้ เธอใส่อารมณ์ ใส่ความรู้สึกรวมถึงเสน่ห์ของเธอลงไปด้วย เธอเซ็กซี่เสมอยามเมื่อยืนอยู่บนฟลอร์และสะกดคนด้วยเสียงเพลงอย่างเช่นคืนที่เราอยู่บนเรือสำราญด้วยกันจริงอยู่คนอื่นอาจจะเห็นเธอในมุมของนักดนตรี ไฮโซสาวพราวเสน่ห์แต่เสน่ห์อย่างอื่นของเธอมีมากมายกว่านั้นถึงแม้ครั้งหนึ่งผมจะหลับหูหลับตา มองเธอผ่านหน้ากากแห่งอคติ แต่ได้โปรดเข้าใจกันบ้าง ตอนนั้นผมคือผู้ชายที่จำใจแต่งงานโดยไม่ได้รักผมไม่ถึงกับโกรธเกลียดข้าวหวาน แค่ขวางหูขวางตานิดหน่อย ผมทำนิสัยแย่ เธอก็ยังยิ้มอ่อน ผมเย็นชา เธอก็ยังทำข้าวกล่องให้ไปกินที่ทำงานทุกเช้า บอกตรงๆ ผมค่อนข้างได้ใจข้าวหวานเป็นผู้หญิงที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเธอรักผมมาก รักแบบที่ไม่มีทางไปไหนรอดน่าขำ…ผมไปเอาความมั่นใจแบบนั้นมาจากไหนตลอดเวลาที่ผมเย็นชา เธออดทนเพราะหวังว่าผมคงอ่อนโยนขึ้นในวันหนึ่งข้างหน้าเวลาที่ผมทำนิสัยแย่ เธอมักจะยิ้มหรือนิ่งเงียบ นั่นเพราะเธอคงไม่อยากให้เราทะเลาะกันจนบานปลายการใช้ชีวิตคู่ที่เธอพยายามและเฝ้าทะนุถนอมมันเพียงฝ่ายเดีย
แสงอาทิตย์อ่อนแสงลงจนดูอ่อนโยนกับท้องทะเล เด็กน้อยหลายคนและนกนางนวลหลายตัวกำลังเล่นลมอย่างสนุกสนาน ฉันมองภาพงดงามซึ่งเกิดขึ้นตรงหน้าอย่างมีความสุข แต่ใช่ว่าชีวิตจะมีเพียงภาพอันสว่างไสวเช่นนี้เพียงอย่างเดียวคนเราล้วนมีช่วงเวลาที่หวาดกลัวที่สุดในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น สำหรับฉันมันเกิดขึ้นตอนอายุสิบห้าคืนที่ฝนตกกระหน่ำเหมือนฟ้ารั่ว เศษกระจกแตกกระจัดกระจาย รถที่พลิกคว่ำ เลือดของฉัน พ่อและแม่ นองไปกับสายฝน กระดูกแขนขาหัก มันเจ็บปวดที่ต้องนอนมองคนที่รักตายอยู่ตรงหน้า แต่กระนั้นฉันก็ยังกลัวความตายที่กำลังคืบคลานมากัดกินฉันอีกคนความอบอุ่นของฝ่ามือมนุษย์แตะเบาๆ ที่ข้างคอของฉัน ผู้ชายที่เปียกโซกไปทั้งตัว เขายิ้มอย่างอ่อนโยนท่ามกลางความมืดและคาวเลือด นับแต่นั้นฉันฝังรอยยิ้มสว่างไสวของเขาไว้ในความทรงจำ“ไม่ต้องกลัวแล้วนะครับ น้องจะปลอดภัยแน่นอน” เขาพูดแบบนั้นและฉันก็ปลอดภัยจริงๆ แม้ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลของคุณปู่อยู่เกือบปีอาการทางกายของฉันดีวันดีคืนเพราะอยู่ในวัยที่ร่างกายแข็งแรง ทว่าอาการทางใจมันกลับย่ำแย่ลงเรื่อยๆฉันมักหายใจไม่ออกเสมอ หัวใจเต้นแรงอย่างไร้เหตุผล โดยเฉพาะในช่วงคืนที่ฝนตก
สถานตากอากาศบางปูในวันสุดสัปดาห์ผู้คนหนาแน่นกว่าปกติ โดยเฉพาะในช่วงเข้าใกล้ปลายปีแบบนี้กันต์ธีหยิบหมวกปีกกว้างสวมบนศีรษะของภรรยาสาวที่กำลังท้องแก่ อีกมือก็ก้มลงจูงเด็กชายเขตต์วัยสามขวบกว่าที่อยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็นสิ่งรอบตัว ที่สำคัญคือลูกเขาซนมากอย่างที่เคยบอกนั่นแหละ หมอหนุ่มยังคงเป็นมนุษย์เย็นชาที่ไม่ชอบเด็กเอาเสียเลย ทว่าเขากลับรักเด็กคนนี้จับจิตจับใจ“เดินรอแม่ด้วยสิลูก” ผู้เป็นพ่อเอ่ยปากเตือน หนูน้อยที่อยู่ในช่วงพลังงานล้นเหลือก็ก้าวเท้าช้าลง ปล่อยมือจากบิดาและหันไปประคบประหงมมารดาแทน“คับ” เด็กชายเขตต์ยิ้มแฉ่งให้กับผู้เป็นแม่ที่ยังเดินอุ้ยอ้าย ฝีเท้าเล็กๆ ก็ขยับช้าลงฉับพลันกันต์ธีมองความอ่อนโยนของลูกชาย โชคดีที่เขตต์ได้รับนิสัยน่ารักแบบนี้มาจากฝั่งของข้าวหวาน เขาจำได้ วันที่รู้ว่าในท้องของภรรยาเป็นลูกสาวเขาก็บอกกับลูกชายคนโตว่าต่อไปจะมีน้องน้อยที่น่ารักเหมือนตุ๊กตาออกมาเป็นเพื่อนเล่นอีกคน เด็กชายเขตต์ก็ดีอกดีใจ ทุกวันนี้พี่ชายตัวโตก็มักจะวิ่งเข้าโอบกอดท้องกลมเหมือนลูกแตงโมของมารดาอยู่ทุกวัน“น้องเขตต์จับมือคุณพ่อไว้นะคะ” คุณแม่ยังสาวรีบเตือนบุตรชายเมื่อเดินพ้นระยะจากลานจอดร
พ้นจากช่วงงานยุ่งติดพันมาพักใหญ่ ในที่สุดคู่สามีภรรยานักบริหารก็หาเวลาว่างมาล่องเรือสำราญกันได้สำเร็จแม้จะเป็นการมาพักผ่อนเพียงช่วงสั้นๆ ราวสามสี่คืน แต่นายแพทย์กันต์ธีก็เปี่ยมไปด้วยสุขที่เห็นภรรยาสาวผ่อนคลายลง เธอดูสดใสและเปล่งปลั่งขึ้นจนเขารู้สึกได้ ผิวขาวน้ำนมของหญิงสาวเหมือนจะเปล่งรัศมีเรืองแสง ยิ่งยามที่เธอเฉิดฉายอยู่ในชุดสีแดงแบบนี้ด้วย เขาไม่เหลือสายตาไปมองใครเลยแม้แต่วินาทีเดียว“เรือลำเดิมเลยค่ะพี่กันต์ จำได้หรือเปล่า”“จำได้สิครับ” ชายหนุ่มเดินโอบไหล่บอบบางพาไปยังบริเวณราวเหล็กด้านข้างเรือ ตั้งใจว่ารอให้แดดร่มลมตกกว่านี้ก่อนค่อยชักชวนภรรยาสาวขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าสำหรับดินเนอร์มื้อค่ำ“ที่บอกว่าจำได้เนี่ย คือจำว่ามากับหวาน หรือมากับดีเทลยาคนนั้นที่พากันเข้าห้องไปคะ” หญิงสาวเปิดปากกระแนะกระแหน ในใจก็นึกว่าจะไม่จิกกัดเขาเรื่องนี้อยู่แล้วเชียว แต่เมื่อก้าวขามาอยู่บนเรือสำราญ หัวใจมันคันยุบยิบ ปล่อยไปกันต์ธีก็เหมือนจะลอยตัว วันนี้เลยขอเคลียร์สิ่งที่ค้างคาสักหน่อย แล้วเธอจะมูฟออนจากเรื่องสาวๆ ของเขาเสียที“โธ่ หวาน”“อย่ามาทำเสียงแบบนั้นกลบเกลื่อนค่ะพี่กันต์ มันไม่ได้ผล” ไฮโซสาวยกแข
ทริปล่องเรือสำราญล่มไม่เป็นท่าเพราะนายแพทย์หนุ่มป่วยจนไข้ขึ้นถึงแม้กันต์ธีจะพยายามผงกหัวแล้วร้องโวยวายเสียงแหบพร่า บอกกับหญิงสาวว่าให้เตรียมตัวไปทริป แต่ด้วยสภาพของเขาที่มันตรงกันข้าม พอเริ่มงอแงหนักข้อขึ้น ไฮโซสาวก็เปลี่ยนมายืนเท้าเอว พลิกจากลูกโอ๋เป็นดุเสียงเข้มแทน“ก็ได้ค่ะ ถ้าพี่ยืนยันจะไปล่องเรือ หวานจะได้ไม่ต้องขนของกลับมาที่นี่”“ทำไมล่ะ” คนป่วยเบิกตาโต เสียงแห้งไปกว่าเดิมอีกพันเท่า พร้อมกับทิ้งตัวลงนอนหมดเรี่ยวหมดแรง“ก็หวานจะเอาวันหยุดของเรา ย้ายของซะหน่อย ถ้าพี่กันต์อยากไปเที่ยวมาก งั้นเรื่องขนของกลับมาที่นี่ค่อยว่ากันทีหลังก็ได้ค่ะ”ได้ยินเหตุผลของหญิงสาว คนดื้อก็เด้งตัวขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าซีดเผือดเริ่มกลับมามีสีเลือดพร้อมกับทำเสียงจริงจัง จนคนที่แอบมองอยู่ต้องอมยิ้ม “ได้ยินกรมอุตุบอกว่าช่วงนี้คลื่นลมแรง เราอยู่บ้านก็ดีเหมือนกัน”“พูดง่ายๆ แบบนี้ค่อยน่ารักหน่อยค่ะ”“แล้วรักไหม” ไม่ใช่เพราะพิษไข้นี่หรอกที่ทำให้เขาอยากออดอ้อน แต่เพราะความรักที่ท่วมท้นล้นเอ่อ ในหัวใจมันรู้สึกหวานๆ คล้ายอยากให้เธอเติมคำว่ารักเข้ามาเพิ่ม อยากได้ยินอยู่แบบนั้นราวกับมันเป็นเสียงดนตรีบรรเลงที่อยา
หลังส่งมารดาขึ้นรถกลับบ้านเรียบร้อยแล้ว นายแพทย์หนุ่มก็เดินเข้าครัวเพื่ออุ่นซุปเยื่อไผ่กระดูกอ่อน เดือดพลุ่งทั่วหม้อเขาก็ยกลงตักใส่ถ้วยกระเบื้อง พยายามฝืนกลืนให้ตัวมีแรง ในใจคิดไปว่าฝีมือมารดาคงอร่อยมากหากได้กินในช่วงเวลาปกติ ทว่าตอนนี้ปากของเขาเริ่มขมปร่าไม่รู้รสชาติเสียแล้ว กลิ่นที่ควรหอมฟุ้งจากน้ำต้มซุปกระดูกหมูก็ไม่พาเข้าสู่โสตประสาทใดๆเมื่อท้องอุ่นขึ้น คนใกล้ป่วยก็พาตัวเองไปยังห้องนอนกว้างข้าวหวานมักหาเวลามานอนค้างด้วยที่นี่เป็นบางครั้ง แต่หลังจากค่ำคืนที่หญิงสาวกลับไป เขาจะยิ่งทุรนทุรายด้วยความคิดถึงกว่าเดิมเมื่อต้องอยู่เพียงลำพัง เฉกเช่นคืนนี้ที่หลานสาวเจ้าสัวต้องควงปู่เพชรไปงานเลี้ยงที่สมาคม ส่วนเขาเร่งมือเคลียร์งานจึงไปกับเธอไม่ได้ ช่วงเวลาของการได้พบหน้าในตอนกลางวันมันไม่เพียงพอ ทั้งที่รู้สึกอ่อนเพลียขนาดนี้ แต่กันต์ธีก็ยังหลับไม่ลง‘นอนหรือยังคะ’ ข้อความที่เด้งขึ้นจากแอปพลิเคชันสนทนา ทำให้คนที่กำลังน้อยอกน้อยใจเปิดปากยกยิ้ม เขารีบพิมพ์กลับไปทันทีแบบไม่เล่นตัว‘ยังไม่นอน คิดถึงข้าวหวานจัง’ครู่ต่อมาเสียงโทรศัพท์ก็แผดร้องขึ้น ชายหนุ่มที่นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงยกขึ้นปัดรับด้







