แม้ในใจจะเจ็บปวดรวดร้าวรุนแรงปานถูกเหล็กร้อนจ้วงแทงทุกวัน แต่เฮ่อเหลียนยังคงพยายามคิดในแง่ดีเสมอมา ว่าหลี่ชางยังคงรักนางไม่เสื่อมคลาย นางคิดว่าอย่างน้อยสามีก็ยังรักนาง ถึงแม้ว่าเขาจะรักสตรีอื่นเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน
หญิงสาวคิดด้วยหัวใจที่ยังรักเขาไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งยังเจ็บปวดเพราะเขาไม่สร่างซา ก็ยังอดทนอย่างโง่งมเสมอมา
เป็นความจริงที่ว่า บ้านอื่นอาจจะมีสตรีที่ต้องแบ่งปันสามีมากกว่านี้หลายเท่าตัวนัก พวกนางล้วนหน้าชื่นอกตรมไม่ต่างจากนาง
ยิ่งเป็นฝ่ายภรรยาเอกยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกนางต่างต้องรับผิดชอบงานบ้านงานเรือนทุกสิ่ง ดูแลพ่อแม่สามีมิให้ขาดตกบกพร่อง และยังต้องพะวงกับการเก็บอารมณ์อย่างยากลำบาก มิให้แสดงความหึงหวงออกมา
ซึ่งตัวนางล้วนทำได้ดี นางทำได้ นางต้องทำ...
หญิงสาวหยัดกายลุกขึ้นจากหมอนแล้วอิงร่างบางกับกำแพงข้างที่นอนอยู่เงียบๆ พลางครุ่นคิดไปถึงสตรีบ้านอื่นที่มีชะตาชีวิตเหมือนกัน เพื่อปลอบใจตนเองในคืนเดียวดาย
คืนที่สามีนางกำลังไปนอนกอดกับสตรีอีกคน...
เวลาแห่งความทรมานคืบคลานผ่านไปอย่างช้าๆ ช่างยาวนานเหลือเกินในความรู้สึก
แต่กระนั้นเช้านี้กลับมีเสียงแทรกจากฮูหยินผู้เฒ่าว่า
เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน ดูเถิด...เผลอเพียงพริบตาเดียวท้องของฟางเอ๋อร์ก็ใหญ่โตถึงเพียงนี้ บุตรชายของชางเอ๋อร์ต้องแข็งแรงตัวใหญ่มากเป็นแน่
เฮ่อเหลียนนั่งฟังเงียบงัน นางเพียงชมความชื่นมื่นของผู้อื่นอย่างเย็นชา ภายในหัวใจมีเพียงความเจ็บแปลบเกาะกุมอย่างแน่นหนา ไม่เคยเบาบางลงเลยแม้เวลาเดียว
หลี่ชางแม้สังเกตเห็นนางที่กำลังเผยสีหน้าเศร้าสลด แต่ก็ยังร่วมยินดีกับบิดามารดาของเขา ฝ่ามืออุ่นหนาของเขาจับประคองฟางเอ๋อร์อย่างทะนุถนอม หากแต่ยามค่ำคืนกลับเลือกที่จะเดินมาหานาง
มาร่วมรักกับนางอย่างสุขสม...
นอนกอดนางอย่างสบายอารมณ์เยี่ยงคนเห็นแก่ตัว
เขาเป็นบุรุษเช่นนี้หรอกหรือ? ยามที่สตรีอีกคนไม่สามารถให้ความสุขแก่เขาได้ เขาก็จะเลือกที่มาปลดปล่อยความใคร่กับอีกคนที่หน้าท้องว่างเปล่ากลวงโบ๋
“ข้ารักเจ้า เหลียนเอ๋อร์” เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าเอ่ยอย่างกระเส่าที่ข้างหูนาง
ยามอารมณ์กระสันของเขาพวยพุ่ง ความร้อนแรงแห่งเพลิงอารมณ์ปรารถนากำลังแผดเผา จนเราสองร้อนเร่าเคล้าคลึงกันและกันเนิ่นนาน เฮ่อเหลียนมักจะได้ยินคำรักนี้จากริมฝีปากอุ่นชื้นก่อนที่หลี่ชางจะประกบแนบจูบลงมาที่กลีบปากนาง
หากเป็นกาลก่อนนางคงสุขจนล้นปรี่ แต่ยามนี้กลับไม่ใช่
แน่นอนว่าหญิงสาวรับฟังด้วยความปวดแปลบในหัวใจ
เป็นครั้งที่เท่าไหร่ นางไม่กล้านับ...
ไม่กี่เดือนต่อมา
คนบ้านหลี่ก็วุ่นวายโกลาหลกันยกใหญ่ เหตุเพราะฟางเอ๋อร์เจ็บท้องใกล้คลอดแทบขาดใจ
ทั้งนายท่านผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่า และหลี่ชาง ล้วนไปยืนรอต้อนรับทายาทที่กำลังเกิดมาในเรือนของสตรีนางนั้น ทุกคนรอลุ้นอย่างหน้าชื่นตาบาน
หนึ่งวันผ่านไป สองวันผ่านไป เข้าวันที่สาม เสียงกรีดร้องแผ่วจางของฟางเอ๋อร์พลันดังลั่นแล้วเงียบหายไป ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยเสียงเด็กน้อยร้องไห้งอแง
เฮ่อเหลียนมีโอกาสไปยืนรอเพื่อแสดงความยินดีตามหน้าที่ โดยมีสาวใช้ที่ไม่สนิทสักเท่าไหร่คอยจับประคอง
บุตรของฟางเอ๋อร์เป็นธิดาตัวน้อย หน้าตาน่ารักน่าชัง แต่กระนั้นนายท่านผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่ารวมทั้งหลี่ชางกลับแสดงสีหน้าแปลกประหลาด
พวกเขาพากันหุบยิ้มลงและจางหายไปในที่สุด
เฮ่อเหลียนพอจะระลึกได้ แว่วว่าพวกเขาล้วนบอกกล่าวว่าฟางเอ๋อร์จักมีบุตรชายตัวใหญ่แข็งแรง นางได้ยินหลายครั้งหลายครา พวกเขาคิดเพียงว่าอยากได้เด็กชาย หาใช่เด็กหญิงไม่
ชั่วขณะนั้น พลันได้ยินเสียงกรีดร้องออกมาจากห้องของฟางเอ๋อร์
สตรีนางนั้นตื่นมาแล้วพบว่าลูกของตนเป็นเพศหญิง จึงร่ำร้องโวยวายดังลั่น สาวใช้พากันปลอบประโลมแทบไม่ทัน
เฮ่อเหลียนเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ปลดปลง
นางมิได้นึกเห็นใจสตรีนางนี้ เพราะตัวของนางเองก็มีสภาพที่มิได้ดีไปกว่า มิใช่หรือไร?
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ออกจะย่ำแย่กว่าเสียด้วยซ้ำ!
บุตรสาวของฟางเอ๋อร์เติบโตขึ้นทุกวัน หน้าตาจิ้มลิ้มกลมเล็ก พวงแก้มนวลแดง น่ารักน่าชังเป็นที่สุด
เฮ่อเหลียนได้แต่แวะมาเยี่ยมเยือนฟางเอ๋อร์เป็นครั้งคราว และได้อุ้มเจ้าก้อนแป้งเป็นครั้งคราวเช่นกัน
นางได้เห็นฟางเอ๋อร์มีสีหน้าทุกข์ระทมอย่างปิดไม่มิด บางครั้งยังกรีดร้องอย่างเสียสติ ไม่แม้แต่จะคิดอุ้มบุตรสาวของตัวเอง
แน่นอนว่านางไม่มีคำปลอบใจอันใดแม้สักคำ
นางไม่มีสิทธิ์เห็นใจใครทั้งนั้น เพราะตัวนางเองก็ทุกข์ใจอย่างสุดแสนเช่นกัน
หลังจากที่ฟางเอ๋อร์คลอดบุตร แน่นอนว่าต้องอยู่ไฟนานเป็นเดือน หลี่ชางจึงมาหาเฮ่อเหลียนทุกคืน นานเป็นเดือนเช่นกัน
แต่กระนั้นหญิงสาวก็หาได้มีความสุขเฉกเช่นเมื่อสามปีแรกแห่งการแต่งงานไม่
นางร่วมรักกับหลี่ชางด้วยความรู้สึกรัญจวนไม่เปลี่ยนแปลง
หากแต่เพลิงพิศสวาทกลับแผดเผาหัวใจนางให้แหลกเหลวไม่เหลือดีทีละน้อยในทุกวัน
มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...
วันเวลาแห่งความทรมานของเฮ่อเหลียนยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่ปรานีเพิ่มขึ้นทีละวันจนครบเดือนหลี่ชางยังคงเลือกที่จะไปค้างคืนที่เรือนของอนุคนใหม่ติดต่อกันอย่างไม่มีเบื่อสตรีนางนี้มีนามว่า อวี้ชิงเป็นสตรีบ้านใดไม่อาจทราบและไม่อยากทราบเฮ่อเหลียนไม่มีแก่ใจใคร่รู้เรื่องของผู้อื่นเลยสักนิดนางรู้เพียงว่าชายผู้เป็นสามีติดอกติดใจอวี้ชิงยิ่งนักแต่ทว่ากลับมีบางคืนที่สามีมากภรรยาอย่างหลี่ชางเลือกมาหาภรรยาเก่าแก่คร่ำครึเช่นเฮ่อเหลียนบางทีเขายังมาหานางโดยมิได้ร่วมรักแต่ก็มักจะนอนกอดนางอยู่เงียบๆหญิงสาวไม่กล้าคิดเข้าข้างตนเองว่าเขาเกิดคิดถึงหรือคะนึงหาจึงมาร่วมรักกันเช่นวันวาน ทั้งหวานทั้งซาบซ่าน บอกรักนางอย่างลึกซึ้งมากกว่าเดิม‘เหลียนเอ๋อร์ ข้ารักเจ้า...โปรดเชื่อข้า’นั่นคือประโยคติดปากของหลี่ชางที่พร่ำพรรณนาบอกนางที่ข้างหู ยามกอดก่ายนางบนเตียงอุ่นซึ่งทำให้นางคล้ายถูกพันธนาการจองจำอย่างแน่นหนา แม้ว่าจะไม่เชื่อคำเขาอีกต่อไปแล้วก็ตามกระทั่งยามเช้าอีกวันมาเยือนและชายหนุ่มผละจากไป นางก็ไปสืบความ จึงได้รู้ว่าอนุคนงามกำลังมีระดูเฮ่อเหลียนหัวเราะให้ตนเองอย่างเย็นชา เป็นความขบขันที่มาทั้งน้ำตาอันแสบ
จวบจนวันหนึ่ง ข่าวดีสำหรับบ้านหลี่หากแต่เป็นข่าวร้ายสำหรับสองสตรีหลังเรือนก็มาถึงหลี่ชางตบแต่งอนุภรรยาเข้ามาอีกหนึ่งคน!ครานี้อนุของเขางดงามมากนัก ใบหน้าเรียวเล็กน่ารักจิ้มลิ้ม มีรอยยิ้มพริ้มเพรา ดวงตาของนางกลมโตทั้งพิสุทธิ์กระจ่างใสดั่งวารีตกผลึกแวววาว ร่างระหงอ้อนแอ้นแช่มช้อยน่านวดเคล้าไปหมดทุกสัดส่วนมองแล้วให้รู้สึกลมหายใจยังสะดุด หัวใจพานจะละลายอ่อนยวบเสียให้ได้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหลี่ชางจักตื่นเต้นปานใดคืนส่งตัวเข้าหอ คืนนั้นหลี่ชางทำสตรีนางน้อยผู้นี้ร้องร่ำไม่เป็นภาษา ส่งเสียงครวญครางแหบพร่าใส่หน้ากันทั้งคืนเสียงเตียงนอนยังโยกคลอนดังลั่นสนั่นหวั่นไหว สั่นสะเทือนเสียจนกำแพงห้องแทบถล่มลงมาเหตุที่เฮ่อเหลียนล่วงรู้ได้อย่างไรน่ะหรือ?ก็เพราะฟางเอ๋อร์มารบเร้าให้นางพาไปแอบฟังเสียงอยู่ริมหน้าต่างตรงมุมอับร้างผู้คน เหตุผลก็เพราะเฮ่อเหลียนยังคงแอบฟังคราวหลี่ชางกับฟางเอ๋อร์ร่วมรักกันนั่นเองถือว่าเป็นการไถ่โทษ ฟางเอ๋อร์ยอมหายโกรธเฮ่อเหลียนและจะไม่พูดถึงมันอีกเฮ่อเหลียนได้แต่ยิ้มขื่น เจ็บระบมอยู่ในอกข้างซ้าย น้ำตาแทบสะกดกลั้นเอาไว้มิได้ยามนั่งเศร้าอยู่ริมหน้าต่าง ท่ามกลางราตรีอันมืดดำ
แม้ในใจจะเจ็บปวดรวดร้าวรุนแรงปานถูกเหล็กร้อนจ้วงแทงทุกวัน แต่เฮ่อเหลียนยังคงพยายามคิดในแง่ดีเสมอมา ว่าหลี่ชางยังคงรักนางไม่เสื่อมคลาย นางคิดว่าอย่างน้อยสามีก็ยังรักนาง ถึงแม้ว่าเขาจะรักสตรีอื่นเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนหญิงสาวคิดด้วยหัวใจที่ยังรักเขาไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งยังเจ็บปวดเพราะเขาไม่สร่างซา ก็ยังอดทนอย่างโง่งมเสมอมาเป็นความจริงที่ว่า บ้านอื่นอาจจะมีสตรีที่ต้องแบ่งปันสามีมากกว่านี้หลายเท่าตัวนัก พวกนางล้วนหน้าชื่นอกตรมไม่ต่างจากนางยิ่งเป็นฝ่ายภรรยาเอกยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกนางต่างต้องรับผิดชอบงานบ้านงานเรือนทุกสิ่ง ดูแลพ่อแม่สามีมิให้ขาดตกบกพร่อง และยังต้องพะวงกับการเก็บอารมณ์อย่างยากลำบาก มิให้แสดงความหึงหวงออกมาซึ่งตัวนางล้วนทำได้ดี นางทำได้ นางต้องทำ...หญิงสาวหยัดกายลุกขึ้นจากหมอนแล้วอิงร่างบางกับกำแพงข้างที่นอนอยู่เงียบๆ พลางครุ่นคิดไปถึงสตรีบ้านอื่นที่มีชะตาชีวิตเหมือนกัน เพื่อปลอบใจตนเองในคืนเดียวดาย คืนที่สามีนางกำลังไปนอนกอดกับสตรีอีกคน...เวลาแห่งความทรมานคืบคลานผ่านไปอย่างช้าๆ ช่างยาวนานเหลือเกินในความรู้สึกแต่กระนั้นเช้านี้กลับมีเสียงแทรกจากฮูหยินผู้เฒ่าว่าเวลาช่างผ
หญิงสาวนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา นางนั่งมองชายหนุ่มข้างกายอยู่นิ่งๆ เห็นเขาส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ เป็นรอยยิ้มละมุนตาที่นางโหยหาทุกค่ำคืนเฮ่อเหลียนหลับตาลงอย่างช้าๆ นึกปวดแปลบอยู่ในใจหลี่ชางบอกว่าฟางเอ๋อร์ตั้งครรภ์แล้ว จึงได้มารับนางกลับไป เขาหมายความว่าอย่างไร?หลี่ชางคล้ายเข้าใจคำถามนั้นของเฮ่อเหลียน ถึงแม้ว่านางมิได้เอ่ย แต่คำตอบกลับออกมาจากปากเขาช้าๆ เพื่ออธิบาย“การที่ฟางเอ๋อร์ตั้งครรภ์แล้วหนึ่งเดือนหลังจากที่เข้าหอกับข้าเพียงสองเดือน นั่นก็แสดงว่าร่างกายของข้าปกติดี”ประโยคนี้ทำผู้ฟังได้แต่อึ้งงัน หมายความว่าเป็นนางที่ร่างกายบกพร่องเพียงผู้เดียวใช่หรือไม่?“เจ้าอย่าด่วนคิดมากไป” อีกครั้งที่หลี่ชางเอ่ยอย่างเข้าใจเฮ่อเหลียน “ข้ากำลังจะบอกเจ้าว่า เมื่อมีสตรีมารับหน้าที่ตั้งครรภ์แทนเจ้าแล้ว ต่อไปเจ้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องทายาทอีก จากนี้เราอยู่กันแบบสามคนสามีภรรยาด้วยดีเถิด ข้ายังคงรักเจ้าเช่นเดิม”อ้อ...กระนั้นหรือ?หญิงสาวตอบคำเขาอยู่ในใจ หาได้เอ่ยออกมาไม่ นางมิรู้ว่าควรคุยกับเขาอย่างไรดีความรู้สึกเจ็บลึกยังคงมีไม่สร่างซาคำว่าสามคนสามีภรรยาล้วนเสียดแทงใจแต่ทว่านางกำลังรู้สึกบางอย่างที่เขา
เฮ่อเหลียนพาซือจิงที่ร่างกายบอบช้ำจากการถูกโบยมารักษาตัวที่บ้านเดิมของตน สินเจ้าสาวก็มิได้นำมาคนบ้านเฮ่อต่างมองนางด้วยสายตาไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดนางถึงเป็นสตรีจิตใจคับแคบ แค่สามีรับอนุเข้าบ้านเพียงหนึ่งคนต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ และคำต่อว่าอีกมากมาย ทั้งเรื่องที่คนในบ้านล้วนอับอายเพราะนางเป็นสตรีที่หย่าสามีกลับมาเช่นนี้ คนทั้งบ้านเฮ่อ ทั้งบิดาและมารดาเลี้ยงทั้งหลาย ล้วนกล้ำกลืนฝืนทนกับการกลับมาเยือนอย่างไร้เกียรติเช่นนี้ของเฮ่อเหลียนทุกคนของสกุลเฮ่อ ต้องถูกชาวบ้านเหยียดศักดิ์ศรีอย่างไม่เหลือดีเพราะสตรีหย่าสามีเป็นเรื่องน่าอับอายเฮ่อเหลียนมิใช่ไม่รู้สึก นางเป็นคนธรรมดาย่อมอับอายยิ่งกว่าพวกเขาอย่างที่สุดคำว่าใจร้อน ใจแคบ ล้วนดังเข้าหูให้นางได้ยินทุกวัน และนางก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ นางไม่คิดปฏิเสธแต่จะให้นางทำอย่างไร นางในยามนี้เจ็บปวดเหลือเกินไยไม่มีใครเข้าใจ...สามเดือนหลังจากนั้น นับได้ว่านานเกินพอที่ซือจิงจะหายดี หากแต่สภาพจิตใจของเฮ่อเหลียนกลับไร้ทางเยียวยาซือจิงเห็นนายสาวยังไม่หายเศร้าโศกจึงเอ่ยปากชวนกันไปเที่ยวนอกบ้าน สถานที่ปลายทางคือชานเมืองที่มีป่าผืนน้อยร้างผู้คน ข่าวว่า
“เจ้าทำสิ่งใดลงไป? เหลียนเอ๋อร์!”เส้นเสียงทุ้มต่ำของนายท่านผู้เฒ่าเอ่ยถามอย่างตำหนิมาทางเฮ่อเหลียนตามด้วยฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสริมด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ“เหลียนเอ๋อร์ เจ้าไยทำตัวไม่มีเหตุผลเช่นนี้ สตรีเราเมื่อไม่สามารถมีทายาทให้สามี หากไม่ถูกขับออกก็ต้องยินดีที่จะมีสตรีอื่นมาแบ่งเบา ไฉนเจ้าไม่เข้าใจ เรื่องเช่นนี้มิใช่ว่าไม่เคยเกิดที่บ้านใด เจ้าจะเห็นแก่ตัวมิได้”ฮูหยินเอกหมาดๆ แห่งคฤหาสน์หลี่ทำได้เพียงเงียบงัน ไม่ต่อวาจาใดนายท่านผู้เฒ่าจึงเอ่ยอีกครา “เจ้ารู้หรือไม่? ว่าฟางเอ๋อร์ หาใช่สตรีไร้หัวนอนปลายเท้า ข้าต้องลำบากออกปากเนิ่นนานกว่าที่บิดามารดาของนางจักยินยอมให้แต่งเป็นเพียงอนุของอาชาง”ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสริมอีกครั้งอย่างรู้สึกผิดต่อสตรีผู้นั้นเป็นอย่างมาก “ใช่แล้วเหลียนเอ๋อร์ เมื่อเช้านี้เจ้าทำฟางเอ๋อร์ตกใจจนร่ำไห้ไม่หยุด ปากก็ร่ำๆ ว่าจะกลับบ้านไป ไม่สืบทายาทแล้ว”เฮ่อเหลียนยืนนิ่งอึ้งฟังประโยคเหล่านั้นด้วยหัวใจแข็งกระด้างเย็นเยียบสตรีนางนั้นเป็นคุณหนูสูงส่ง ยอมลดตัวแต่งเป็นแค่อนุต่ำต้อยให้หลี่ชาง สามารถมีทายาทให้บ้านหลี่ได้ชื่นใจ ทุกคนดูเกรงอกเกรงใจต่อนางเหลือเกินเมื่อเห็นภรรยาของบ