“หม่อมฉันไม่เป็นไรแล้ว ถ้าอย่างไรรบกวนอนุเจียวช่วยให้คนไปทำความสะอาดเรือนริมบึงไว้ พรุ่งนี้เช้าจะได้ย้ายไปอยู่ ข้าวของที่เรือนนี้มีไม่มาก ถ้ามีคนมากกว่านี้เพียงชั่วยามเดียวก็คงเสร็จ แต่นี่เรามีกันเพียงสตรีบอบบางสามนางกับหญิงชราอีกสามนาง” จะใช้งานอนุเจียวคงได้แต่อาศัยบารมีองค์ชายรองไปก่อน คนในมือนางตอนนี้มีเพียงปี้หรูนางกำนัลขั้นหนึ่งที่ไม่เคยออกแรงทำงานแบกหาม เสี่ยวมี่สาวใช้ชั้นรองมีหน้าที่ทำความสะอาดเรือนด้านใน กับมามาเฒ่าอีกสามคน สองคนมีหน้าที่ทำความสะอาดด้านนอกเรือนและซักล้าง ส่วนอีกคนหนึ่งมีหน้าที่เฝ้ายามหน้าเรือนตอนกลางคืน ถึงแม้จะร่างใหญ่โตแต่ก็เป็นผู้หญิง จะไปมีเรี่ยวแรงยกหีบเสื้อผ้าและเครื่องครัวที่เป็นสินสมรสที่พระบิดาประทานให้นางมาได้อย่างไร
“ตุบ องค์ชายรองโปรดประทานอภัยเพคะ เป็นความผิดของบ่าวเอง บ่าวอยากจะพาบ่าวรับใช้และนางกำนัลมาให้พระชายาเลือกด้วยตนเอง แต่เห็นว่าพระชายาทรงประชวรอยู่เกรงว่าจะเป็นการการรบกวนการพักผ่อน จึงทำให้ล่าช้ามาจนตอนนี้เพคะ” อนุเจียวรีบคุกเข่าลงด้วยท่าทางสำนึกผิดแต่ในใจนั้น ‘เฮอะร้ายนักนะ เมื่อกี้ก็ทีนึงแล้ว ดีนะที่ข้าเตรียมข้อแก้ตัวไว้’ อนุเจียวได้แต่บ่นในใจพร้อมลอบมองพระชายาด้วยสายตาขุ่นเคือง
“เอาเถอะ ข้าจะให้หวังซีฉวนมาอยู่ที่เรือนชั้นนอกของเรือนริมบึงพร้อมรถม้า จะได้ไปรับท่านหมอเสี่ยวฮัวมาได้ตลอดเวลา แล้วพรุ่งนี้ข้าจะให้ท่านตาส่งนายหน้าพาคนมาให้เจ้าเลือก คนในจวนคงไม่มีใครอยากย้ายเจ้าก็จะได้มีคนที่เจ้าใช้ได้อย่างสบายใจ เจ้าพักผ่อนเถอะ ท่านตายังรอข้าอยู่ ส่วนท่านหมอเสี่ยวฮัวข้าขอบคุณท่านหมอมาก เดี๋ยวข้าจะให้คนไปส่งท่านกลับจวน ฝากคารวะท่านหมอฮัวผู้เฒ่าด้วย” พูดจบก็ไม่มองอนุเจียวที่ยังคุกเข่าอยู่บนพื้นตรงหน้า ด้วยความไม่พอใจที่นางละเลยชายาเอกเพียงคนเดียวของเขา
“บ่าวจะไปคุมคนทำความสะอาดเรือนริมบึงให้เดี๋ยวนี้เพคะ” อนุเจียวกล่าวพร้อมลุกขึ้นสะบัดชายกระโปรงจากไป แม้คำพูดคำจาจะดูให้เกียรติ ทว่าน้ำเสียงกลับกระด้างแข็ง ทุกคนที่ได้ยินต่างหันมาสบตากันด้วยความหน่ายใจ
“พระชายาเพคะ ดูนางทำสิเพคะ ตอนองค์ชายรองยังอยู่นางยังรู้จักสำรวมบ้าง นี่อะไร” ปี้หรูอดจะบ่นให้พระชายาของนางไม่ได้ ตั้งแต่วันส่งตัวเข้าหอองค์ชายรองก็ไม่เคยเสด็จมาที่จวนนายหญิงของนางเลย ยิ่งทำให้อนุเจียวไม่เห็นหัวพวกนางมากขึ้น ทั้งยังกลั่นแกล้งพวกนางทั้งทางตรงทางอ้อมต่างๆ นานา ดีที่วันนี้พระชายาทูลองค์ชายรองไปบ้าง ไม่อย่างนั้นนางเองก็คงไม่กล้า
“เจ้าไม่ต้องไปสนใจนางหรอกปี้หรู คนที่เจ้าควรจะสนใจให้มากก็คือพระชายาของเจ้า ส่วนคนที่พระชายาของเจ้าควรจะสนใจที่สุดก็คือพระสวามีของนาง” ฮัวตั่วเอ๋อดึงความสนใจของปี้หรูกลับมาพร้อมคำแนะนำ
“อย่างไรหรือเจ้าคะท่านหมอ” ปี้หรูสนใจขึ้นมาทันที ส่วนพระชายาของนางได้แต่กระพริบตาปริบๆ แบบไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจ
“เจ้าเอาใจใส่พระชายาของเจ้าให้ดี ให้นางกลับมาแข็งแรงไวๆ ส่วนพระชายาคงต้องใส่ใจองค์ชายรองให้มากกว่านี้หน่อย อย่างน้อยเขาก็เป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวของพวกเจ้าในแคว้นนี้ ข้าก็พูดได้แค่นี้แหละเรื่องความสัมพันธ์ชายหญิงข้าก็ไม่เข้าใจนักหรอก” ฮัวตั่วเอ๋อให้คำแนะนำเท่าที่จะทำได้ คำพูดพวกนี้ข้าก็จำเค้ามา ใครกันจะกล้ายุ่งเรื่องในมุ้งของอีกฝ่ายในวันแรกที่ได้พบหน้ากันเล่า
“เอาอย่างนี้สิพระชายา ท่านก็รีบทำตัวให้แข็งแรงไวๆ เมื่อครู่ข้าได้ยินว่าองค์ชายรองจะพาท่านไป สักการะท่านเทพไฉ่ซิงเอี๊ยะบนเขาเทียมเมฆ บนนั้นมีท่านผู้หนึ่งที่อาจชี้ทางสว่างให้ท่านได้” เมื่อสักครูองค์ชายรองพูดถึงเขาเทียมเมฆทำให้นางนึกถึง ไป๋เหลียนฮวา คนที่ชี้ทางสว่างให้นางเช่นกัน
“ขอบใจท่านหมอเสี่ยวฮัวมาก ทั้งรักษาข้าแล้วยังให้คำแนะนำที่มีค่าแก่ข้า” ตู้จินจินได้แต่เอ่ยขอบใจหญิงสาวอายุใกล้เคียงกับนางตรงหน้า เพราะสัมผัสได้ถึงความจริงใจของนาง
“เสี่ยวฮงเสี่ยวฮัวอะไรกัน ถ้าไม่รังเกียจเรียกข้าว่าตั่วเอ๋อก็ได้ ท่านอยู่ที่นี่คงไม่มีสหาย นอกจากจะเป็นหมอให้ท่าน ข้าจะเป็นสหายให้ท่านด้วย พระชายาจะว่าอย่างไร” ฮัวตั่วเอ๋อแสดงความจริงใจให้หญิงสาวตรงหน้าและขอความเห็นจากนาง
“ได้สิ งั้นตั่วเอ๋อเรียกข้าว่าอาจินก็ได้นะ” แววตาพระชายาดูมีความสุขขึ้นบ้าง นอกจากปี้หรูนางก็ไม่มีใครให้พูดคุยได้อีก
“งั้นข้ากลับก่อนนะอาจิน วันมะรืนข้าจะมาตรวจอาการให้เจ้าอีก” ฮัวตั่วเอ๋อกล่าวพร้อมหันไปพยักหน้าให้เสี่ยวม่าน
“ข้าจะไปส่งท่านหมอฮัวเองเจ้าค่ะ” เสี่ยวมี่รีบเดินนำออกจากเรือนเพื่อไปส่งฮัวตั่วเอ๋อที่ประตูข้างซึ่งมีรถม้าที่หวังซีฉวนนำมารออยู่แล้ว อีกทั้งยังมีคนจากห้องบัญชีถือถาดใส่ถุงผ้าสีแดงใบเล็กยืนรอพวกนางอยู่
“เออนี่ เจ้าชื่ออะไรนะ” ฮัวตั่วเอ๋อหันไปถามสาวใช้ที่เดินตามมาส่งนางที่หยุดยืนอยู่ด้านหน้ารถม้าและกำลังยืนมือมาให้นางจับเพื่อพยุงตัวขึ้นรถ
“บ่าวชื่อเสี่ยวมี่เจ้าค่ะท่านหมอฮัว” เสี่ยวมี่ลดมือลงก่อนตอบคำถามของท่านหมอ ซึ่งนางก็กำลังงงว่าท่านหมอถามชื่อนางด้วยเหตุไร
“ฝากบอกพระชายาของเจ้าด้วยว่าวันมะรืนข้าจะมารับอาหารกลางวันฝีมือนาง หวังว่านางจะรีบลุกขึ้นมาเดินเหินให้คล่องแคล่ว ช่วงนี้ให้นางทานอาหารอ่อนๆ ที่มีฤทธิ์บำรุงกำลังไปก่อน พวกเจ้าอย่าลืมพานางเดินออกกำลังช่วงเช้าและเย็นอย่างน้อยครั้งละครึ่งชั่วโมง ขณะเดินก็ให้ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นลงแกว่งไปมาซ้ายขวาบนล่างบ้าง จำที่ข้าบอกได้หรือไม่” เมื่อพูดจบก็ถามเสี่ยวมี่อีกครั้ง เพราะนางคิดว่าตนเองพูดยาวเกินไป
เสี่ยวมี่รีบทวนคำตามที่ท่านหมอสั่ง จากนั้นจึงส่งท่านหมอขึ้นรถ พร้อมรับถุงแดงจากคนของห้องบัญชีมาส่งให้เสี่ยวม่าน สาวใช้ของท่านหมอ เมื่อรถม้าแล่นจากไป คนจากห้องบัญชีจึงกลับไปทำงาน ส่วนนางรีบกลับเรือนเพื่อนำคำสั่งของท่านหมอฮัวไปแจ้งพระชายาของนาง
หลังจากที่ได้ฟังคำนำแนะของฮัวตั่วเอ๋อ หรือตั่วเอ๋อซึ่งเป็นทั้งท่านหมอ และเพื่อนใหม่ของนาง พระชายาจึงสั่งให้บ่าวในเรือนเตรียมน้ำอาบให้นาง และยังได้ให้ปี้หรูไปเบิกอาหารอ่อนบำรุงกำลังจากห้องครัว กว่าจะได้มานางก็อาบน้ำเสร็จและเป็นเวลามื้อเย็นพอดี
“พระชายาเพคะ วันนี้อนุเจียวใจป้ำนัก ให้ห้องครัวตุ๋นนกพิราบใส่น้ำแกงโสม แล้วยังแถมรังนกตุ๋นเป็นของหวานให้ด้วยนะเพคะ” เสี่ยวมี่วางตะกร้าอาหารลงบนโต๊ะข้างเตียง กำลังจะเปิดออกจัดเพื่อให้พระชายาไม่ต้องลุกจากเตียง
“เอาออกไปจัดที่สวนดอกไม้หน้าเรือนเถอะ ปี้หรูมาพยุงข้าที” ตู้จินจินสั่งเสียงเบาด้วยความที่อยากจะลุกขึ้นเดินออกกำลังบ้างตามที่ท่านหมอฮัวได้สั่งไว้
หลังจากรับมื้อเย็นทั้งคาวหวานไปอย่างละครึ่ง ด้วยกระเพาะยังไม่เริ่มทำงานดีนางจึงยังไม่อยากรับประทานมากจนเกินไป ตู้จินจินได้สั่งให้ปี้หรูพยุงนางเดินไปรอบโต๊ะที่นางใช้นั่งรับประทานมื้อเย็นเมื่อครู่ เดินได้เพียงสามรอบนางก็รู้สึกเหนื่อย จึงให้ปี้หรูและเสี่ยวมี่พานางกลับเข้าเรือน เช็ดตัวแล้วพักผ่อนอีกเล็กน้อยจึงค่อยๆ เดินไปยังเตียงนอนซึ่งตอนนี้ถูกรวบม่านมุ้งเก็บไว้ทั้งสี่เสา ใจจริงนางอยากจะอาบน้ำก่อนเข้านอนแต่ปี้หรูเกรงว่านางจะเป็นไข้ จึงได้แต่ใช้น้ำแช่ดอกไม้ที่เสี่ยวมี่นำมาให้เช็ดใบหน้าและแขนขาก่อนล้มตัวลงนอน
‘ท่านเทพไฉ่ซิงเอี๊ยะเจ้าขา เหตุใดกันลูกจึงต้องมาอยู่ในร่างนี้ ท่านเป็นเทพเจ้าองค์สุดท้ายที่ลูกได้สักการะก่อนตาย ได้โปรดไขข้อสงสัยให้ลูกด้วย’ จิน ในร่างตู้จินจินได้แต่อธิษฐานก่อนจะหลับตาลง
เพื่อนร่วมรุ่นม.ต้นที่สนิทสนมและรักกันมาก จำนวน 4 คนพร้อมทั้งน้องสาวของเพื่อนอีกหนึ่งคนในกลุ่มที่อายุไล่เลี่ยกันทำให้พลอยสนิมสนมกับเพื่อนๆ ของพี่สาวไปด้วย ทั้ง 5 คนมีจุดร่วมกันอีกอย่างที่คนภายนอกไม่ทราบนั่นก็คือความความเคารพนับถือในท่านเทพไฉ่ซิงเอี๊ยะเทพเจ้าแห่งโชคลาภนั่นเองวันนี้ห้าสาวนัดรวมกันไปกินข้าวกลางวันที่ห้างดังแห่งหนึ่งในอำเภอเมือง หนุงหนิงที่พาอุ๊งอิ๊งลูกสาวจินไปประชุมผู้ปกครองที่โรงเรียนประจำจังหวัดแทนจินที่ติดประชุมผู้ถือหุ้นก่อนจะมารวมตัวกับทุกคน เป็นเหตุให้ได้เห็นนายเจนภพสามีจอมเจ้าชู้ของจินที่อ้างว่าป่วยต้องไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลพากิ๊กและลูกติดไปประชุม บังเอิญว่าลูกติดของผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนห้องเดียวกับน้องอุ๊งอิ๊งลูกสาวของจิน เธอเลยให้อุ๊งอิ๊งทำทีถามทางไปบ้านของเด็กคนนั้นและเอามาบอกให้จินฟังหลังทานข้าวเสร็จ เพราะกลัวเพื่อนจะไม่ได้กินข้าวกินปลา แต่กระนั้นจินก็รีบร้อนออกไปหาเจนภพตามที่อยู่นั้นทันทีที่หนุงหนิงเล่าจบเนื่องจากเธออนุญาตให้เจนภพสามีจอมเจ้าชู้มีภรรยาน้อยได้ตลอดขอเพียงให้บอกเธอ เธอจะได้พาเจ้าหล่อนไปตรวจร่างกายเพื่อหลีกเลี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และได้จ
“ตั้งแต่วันที่ข้าฟื้นขึ้นมาก็พบว่ารอบๆ ตัวของข้าเปลี่ยนไป ข้าต้องใช้ชีวิตในร่างของใครอีกคนหนึ่ง ดีที่ได้รับการช่วยเหลือจากท่านเทพไฉ่ซิงเอี๊ยะที่ข้านับถือ และยังได้พบเจอสหายดีๆ ที่ช่วยฟื้นฟูสุขภาพกายและใจให้ข้าเช่นฮัวตั่วเอ๋อ และไป๋เหลียนฮวาที่ปรึกษาในการใช้ชีวิต รวมถึงหวงเฟิ่งและจินหลิงหลิง ทั้งสี่นางทำให้ข้าคิดถึงสหายสนิททั้งสี่ในภพเดิม และต้องไม่ลืมกล่าวถึงอาเม่ยที่ทำให้ข้าหายคิดถึงอุ๊งอิ๊งลูกสาวข้าที่มีวัยใกล้เคียงกับนาง ท่านตาบอกข้าว่าคำอธิฐานของข้าทำให้ข้าได้ย้อนกลับมาแก้ไขชะตาของตนเอง ข้าจึงมิได้เสียใจนักที่ตู้จินจินคนเดิมตายไปเพราะนางก็คือข้าและข้าก็คือนาง เพียงแต่นี่คงจะเรียกว่าว่า ‘อดีตชาติ’ คงมิได้ แต่มันน่าจะเรียกว่า มัลติเวิร์ส1 ที่มีตัวตนของเราอีกคนหนึ่ง ในโลกอีกใบหนึ่ง ซึ่งมีจุดกำเนิด แนวคิด วีถีชีวิต และจุดจบแต่งต่างกันไป และมิจำเป็นว่าต้องมีแค่หนึ่งหรือสองตัวตนเท่านั้น และแม้ว่าแต่ละตัวตนในแต่ละโลกจะต่างฝ่ายต่างดำรงชีวิตกันไปโดยไร้ซึ่งความเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นในภพใดภพหนึ่งอาจส่งกระทบถึงภพอื่นๆ ไปด้วยได้เช่นกัน” หลังจากที่เล่าเรื่องราวโดยละเ
“นังหนู นังหนูจิน อย่ามัวแต่นอนอยู่เลย สงสารสวามีเจ้าบ้างเถิด เคราะห์ครั้งสุดท้ายของเจ้าผ่านไปแล้ว” เสียงอ่อนโยนของเทพชราปลุกให้จินมีสติขึ้นมาในความฝัน “ท่านตาเจ้าขา ท่านตาช่วยหลานไว้ใช่ไหมเจ้าคะ หลานกราบขอบคุณเจ้าค่ะ” พร้อมคำพูดร่างแน่งน้อยกุลีกุจอลุกขึ้นยอบกายลงกราบแทบเท้าท่านเทพที่นางเคารพยิ่ง “คราวนี้นับว่าเป็นกุศลที่เจ้าช่วยหลีกเลี่ยงสงครามครั้งใหญ่ทำให้ผู้คนมากมายรักษาชีวิตไว้ได้ เรียกว่าเป็น ‘บุญรักษา’ อย่างแท้จริงก็ว่าได้” “เป็นเช่นนี้เอง ว่าแต่นี่หลานเข้ามาในมิติได้แถมยังพาสวามีมาได้อีกด้วย เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เจ้าคะ ท่านตาเคยบอกหลานว่ามีเพียงหลานเองที่สามารถเข้าออกมิติแห่งนี้ได้” แม้ว่าจะดีใจที่พาสวามีหลบภัยเข้ามามิติได้แต่ก็ยังไม่วายสงสัยจนต้องตั้งคำถาม “ในภพเดิมของเจ้าก็มีคำกล่าวว่า ‘สามี-ภรรยา เหมือนดั่งคนคนเดียวกัน’ มิใช่รึ” เสียงตอบเรียบๆจากท่านเทพชราพาให้จินคิดตามและเมื่อคิดได้ว่า นางและเขาได้ผ่านการเข้าหอซึ่งถือว่าเป็นสามี-ภรรยากันแล้ว ใบหน้าเรียวพลันขึ้นสีแดงด้วยความขวยเขิน “ข้ามิได้หมายถึงเรื่องนั้น แต่หมายถึงการที่
หลังสรุปผลการชิงธง และรับประทานมื้อเช้าอันอุดมสมบูรณ์ที่พระชายาตู้สั่งมาจากภัตตาคารชิมเมฆา แม้กับข้าวจะมีเพียงต้มจืดซี่โครงหมูกับผักกาดดองไว้ซดให้คล่องคอ และผัดกะเพราหมูสับไข่ดาวที่เติมได้ไม่อั้นครานี้การพรางตัวเป็นไปอย่างง่ายดายเพราะองครักษ์เงานั้นมีการฝึกแปลงโฉมกันอยู่ก่อนแล้ว ตู้จินจินให้ช่างแต่งหน้าจากคณะละครของไป๋เหลียนฮวามาสอนเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยก็เรียกได้ว่าไร้ที่ติ เป้สัมภาระถูกซุกซ่อนในหีบเสื้อผ้า อาหารแห้งปะปนกันทั้งจริงและหลอก อาหารทะเลตากแห้งและเกลือในปริมาณตามที่ได้รับอนุญาตถูกบรรจุไว้ในถังไม้ หรือแม้กระทั่งห่อกระดาษน้ำมันที่ตีตราว่าเป็นใบชา ด้านในกลับเป็นเกาเฟยคั่วบดในซองผ้ากับน้ำตาลอ้อยชนิดผงกองกำลังถูกแบ่งกลุ่มและพรางตัวเพื่อออกเดินทางแล้วแยกย้ายกันไปในรูปลักษณ์ต่างๆ โดยแบ่งกำลังออกเป็น 5 กลุ่ม ทำทีเป็นพ่อค้าบ้าง เป็นคณะละครที่กลับจากแคว้นต้าจินบ้าง ทุกกลุ่มเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน เมื่อถึงเมืองชายแดนหลังออกเดินทาง 3 วัน จึงตั้งค่ายพักผ่อนให้เต็มที่ 2 วัน จากนั้นจึงเดินทางเข้าประชิดเป้าหมายคือค่ายโจรเผ่าปาสู่แผนการรบถูกวางและซักซ้อมกันไปแล้วในการฝึกพิเศษ ตู้จินจินถ
เมื่อทุกคนตื่นมารับประทานอาหารเย็นในยามโหย่ว เหตุการณ์ที่พวกเขารับรู้ได้ก็ยังไร้วี่แววการบุกหรือถูกบุกจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยสิ้นเชิง ดีที่มื้อเย็นวันนี้เป็นอาหารปิ้งย่างที่ตู้จินจินให้ทางภัตตาคารชิมเมฆาส่งเนื้อสัตว์เสียบไม้สลับกับผักและผลไม้และมีน้ำหมักที่เอาไว้ทาไปย่างไปมาอีก 2 แบบ คือแบบเผ็ดมากและเผ็ดน้อย ส่วนคนที่ไม่เผ็ดนั้นคือเนื้อสัตว์แต่ละชนิดก่อนจะนำมาเสียบสลับกับผักผลไม้ที่ถูกหมักกับน้ำมันงาและเหล้าอย่างดีมาก่อนแล้ว “เจ้าว่าพวกเขาจะเริ่มบุกกันเมื่อใดหรือ” ฮัวตั่วเอ๋อที่ไม่ได้พักผ่อนยามบ่ายเอ่ยถามขึ้น และอีกหลายคนก็ยังจัดการงานในมือมิแล้วเสร็จ “หลังกลางยามโฉ่วไปแล้วกระมัง หากให้คำนวณตามหลักการของคนปกติ ช่วงนี้จะเป็นเวลาที่กำลังหลับลึกที่สุด แต่ว่าข้าก็มิอาจยืนยันได้เพราะพวกเขาผ่านการฝึกให้ต่างจากคนทั่วไป หากใครต้องการพักผ่อนก็ตามสบาย หากมีความเคลื่อนไหวข้าจะให้คนไปปลุกพวกท่านเอง” ตู้จินจินเองก็เพิ่งพักสายตาไปไม่นานเพราะมัวแต่ถูกก่อกวนจากพระสวามีก็รู้สึกง่วงอยู่ไม่น้อย แม้ว่าจะไม่ได้มีอะไรเกินเลยเพราะต่างก็เกรงใจดวงตะวันที่ยังไม่ตกดิน ทั้งยังมิได้พักอยู่ในจวน
“กลุ่มเลขคี่ประชุมด่วน” เสียงเรียกประชุมดังขึ้นกลางสวนผลไม้ในชมเมฆา แต่กลับไร้วี่แววของกำลังพลกลุ่มเลขคี่ที่ควรจะมารวมตัวกันเพื่อรับฟังการประชุม องค์ชายรองและพระชายามองหน้ากัน ในสายตามีรอยยิ้มน้อยๆ จนเมื่อหยางต้าซานหยิบนกหวีดทองเหลืองออกมาเป่าเป็นจังหวะสั้นยาวสลับกันสามครั้งจึงเริ่มมีกำลังพลทยอยกันมารวมกลุ่มจนครบทุกนายภายในเวลาเพียงชั่วอึดใจ แสดงให้เห็นได้ชัดถึงระเบียบวินัยและความมั่นคงในจิตใจของกำลังพลที่มิเชื่อคำสั่งของผู้ใดโดยง่าย “ทุกคนพรางตัวได้ดีมาก เรื่องบทลงโทษจึงละเว้นให้ แต่อย่าลืมว่าในยามศึกการลงโทษคือชีวิต คืนนี้ฝ่ายเลขคี่เลือกเป็นฝ่ายบุก ดังนั้นภารกิจที่พวกเจ้าได้รับคือ บุกไปชิงธงสัญลักษณ์ของฝ่ายเลขคู่มาให้ได้ก่อนฟ้าสาง โดยที่ต้องรักษาธงสัญลักษณ์ของฝ่ายตนเองเอาไว้ให้ได้ด้วย โดยทั้งสองฝ่ายต้องสร้างหอธงขึ้นมาในส่วนใดก็ได้ของค่ายพัก และภารกิจจะเริ่มเมื่อตะวันตกดิน นี่คือพลุสีเหลือง พวกเจ้าติดตัวไว้คนละ 1 ดอก หากชิงธงมาได้แล้วให้จุดพลุขึ้นทันทีแล้วภารกิจจะเป็นอันเสร็จสิ้น ส่วนแผนการทั้งหมดให้พวกเจ้าหารือกันเอง ครูฝึกและพวกข้าจะคอยสังเกตการณ์ ห้ามมิให้ถึงแก่ชีวิตและห