เมื่อสาวน้อยสกุลเฉินทั้งสามไปถึงโถงกลางก็พบว่าแขกที่มาไม่ได้มีแค่เพียงคนสกุลหยวนแต่กลับมีองค์รัชทายาทนั่งดื่มนำ้ชาด้วยท่าทีสงบนิ่งอีกฝั่งหนึ่งด้วย เฉินเจียวเจียวนิ่งงันไปครู่หนึ่งแต่เฉินเจียวเหม่ยกลับรีบรั้งนางให้ก้าวเท้าเข้าไปในห้องโถงพร้อมกัน
“ถวายพระพรองค์รัชทายาทเพคะ” ทั้งสามคารวะพร้อมกันอย่างงดงาม องค์รัชทายาทเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มออกมา
“พวกเจ้าไม่ต้องมากพิธี” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้พวกนางก็ก้มหน้าลงแล้วหันไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนและหยวนอี้ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ภาพสตรีรุ่นเยาว์ทั้งสามที่รู้มารยาทและงดงามสมวัยทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนอดยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจไม่ได้ ส่วนหยวนอี้นั้นเขาไม่กล้ามองสตรีทั้งสามเท่าใดนักไม่ว่าอย่างไรการเข้ามาในเรือนชั้นในของผู้อื่นเช่นนี้ก็ออกจะเป็นเรื่องที่ขัดต่อธรรมเนียมมากเกินพอแล้ว เพียงแต่เมื่อเด็กสาวทั้งสาวเดินไปนั่งลงข้างกายของผู้อาวุโสของตนเองแล้ว เขาก็อดจ้องมองไปทางข้างกายของฮูหยินสามของสกุลเฉินครู่หนึ่งไม่ได้
สีหน้าที่ทั้งขัดเขินและพึงพอใจของหยวนอี้ไม่ได้รอดพ้นไปจากการสังเกตของฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนและองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลง สองยายหลานหันไปสบตากันครู่หนึ่งแล้วฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนก็เอ่ยขึ้น
“ที่ข้าตั้งใจมาในวันนี้นอกจากตั้งใจจะมาขอขมาและแก้ไขความเข้าใจผิดแล้ว ข้ายังตั้งใจนำของขวัญมาขอบคุณคุณหนูทั้งสองอีกด้วย” เมื่อหยวนฮูหยินเอ่ยเช่นนี้สาวใช้ที่ยืนทางด้านหลังก็ถือถาดใส่กล่องของขวัญหลายกล่องไปวางลงตรงหน้าของเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวเหม่ย ส่วนเฉินเจียวมี่นั้นฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนถอดกำไลข้อมือที่สวมใส่อยู่สองวงวางลงไปบนถาดแล้วให้สาวใช้นำไปมอบให้
“นี่คือของขวัญแรกพบหน้าสำหรับคุณหนูสาม ด้วยก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ว่าที่จวนแห่งนี้ยังมีคุณหนูตัวน้อยที่งดงามอีกคนก็เลยไม่ได้เตรียมของขวัญมาให้เจ้า หวังว่าเจ้าจะไม่รังเกียจของขวัญชิ้นนี้นะ” ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนเอ่ยด้วยสีหน้ามีเมตตา
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ กำไลคู่นี้งดงามมากเจ้าค่ะ” เฉินเจียวมี่เอ่ยพลางหยิบกำไลขึ้นมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพลางเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ทำให้ฮูหยินสกุลหยวนอดชื่นชมจวนผิงกั๋วกงแห่งนี้ไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นจวนขุนนางบู๊และคนในจวนจะมีจำนวนน้อยแต่การอบรมเลี้ยงดูสตรีภายในจวนกลับเป็นไปอย่างเข้มงวด ไม่เสียทีที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสกุลใหญ่ควบคุมกองกำลังนับแสนนาย แม้แต่ฝ่าบาทยังต้องหวั่นเกรง
ที่น่าเสียดายก็คือพระสนมเต๋อเฟยทรงจัดการได้ไม่ดีปล่อยให้โซ่วอ๋องทำลายความสัมพันธ์กับคุณหนูใหญ่สกุลเฉิน ไม่เช่นนั้นยามนี้สกุลเฉินกับราชวงศ์น่าจะได้มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นต่อกันมากขึ้น นางคิดพลางหันไปมองหลานยายผู้สูงศักดิ์ของนางแล้วก็อดคาดหวังเรื่องการผูกวาสนาของหลานชายกับคุณหนูใหญ่สกุลเฉินไม่ได้
แม้ว่าจะแอบคาดหวังแต่นางกลับไม่กล้าคิดมากจนเกินไปกว่านั้น ไม่ว่าจะด้วยตำแหน่งหรือบาดแผลภายในใจของหลานชายล้วนไม่สามารถมอบความสงบสุขให้แก่คู่ครองได้เป็นแน่ นางก็ไม่อาจจะเห็นแก่ตัวด้วยการดึงแม่นางน้อยที่ทั้งจิตใจดีและมีน่ารักสดใสเช่นนี้ไปผูกมัดกับหลานชายผู้นี้ได้ ที่สำคัญนางเป็นเพียงท่านยายของเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะไปจัดการเรื่องแต่งงานของเขาได้อยู่แล้ว
หยวนฮูหยินนั่งพูดคุยกับคนสกุลเฉินด้วยน้ำเสียงสุภาพและเป็นกันเองอยู่ชั่วระยะหนึ่ง โดยมีหลานยายและหลานย่าทั้งสองนั่งฟังอยู่ด้วยความสุภาพเรียบร้อย เฉินเจียวเจียวไม่เคยเห็นหลี่ไท่หลงมีสีหน้าอ่อนโยนและสงบนิ่งเช่นนี้มากก่อนเลย รอยยิ้มที่ส่งออกมาก็ล้วนมาจากข้างในไม่เสแสร้งและไม่มีร่องรอยเย้ยหยันผู้ใด ซึ่งอันที่จริงเขาที่เป็นเช่นนี้สามารถลดทอนรัศมีความน่ากลัวและความสูงศักดิ์ที่วนเวียนอยู่รอบกายลงไปได้ไม่น้อย
“นี่ก็สมควรแก่เวลาแล้วพวกข้าต้องขอตัวก่อน ขอบคุณท่านมากที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี” ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเฉินด้วยสีหน้านอบน้อม
“ย่อมต้องต้อนรับเป็นอย่างดี อีกไม่นานพวกเราสองสกุลก็จะเกี่ยวดองกันแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยออกไปตามตรงส่วนสองหนุ่มสาวที่ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถึงนั้นต่างฝ่ายก็ต่างก้มหน้าลงเพื่อปิดบังความขัดเขิน จวบจนส่งแขกไปแล้วฮูหยินผู้เฒ่าจึงได้หันมาเอ่ยกับหลานสาวคนรองด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
“เดิมทีข้าก็อดกังวลใจเรื่องคู่ครองของเจ้าไม่ได้ แต่ยามนี้ข้ารู้สึกวางใจแล้ว คุณชายหยวนแม้ว่าจะดูอ่อนแอไปบ้างแต่ก็ดูเหมาะสมกับคนห้าวหาญดุดันเช่นเจ้า วาสนาคู่ครองนี้เจ้าเป็นคนลงมือผูกด้วยตนเองข้าก็ได้แต่หวังว่าเจ้าจะดูแลประคับประคองไปจนตลอดรอดฝั่ง”
“ท่านย่าวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะทะนุถนอมเขาประดุจไข่ในหินไม่ทำเขาตื่นตระหนกจนต้องหนีการแต่งงานไปอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” เฉินเจียวเหม่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงยั่วเย้าจนถูกฮูหยินผู้เฒ่าเคาะศีรษะไปหนึ่งที นางจึงได้โอดครวญเสียงเบา
“ข้าก็แค่ล้อเล่นเพียงเท่านั้น ท่านย่าวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้าไม่ทำให้เสียชื่อบุตรสาวจากสกุลเฉินหรอกเจ้าค่ะ” เมื่อเฉินเจียวเหม่ยเอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็หัวเราะออกมาเสียงเบา ทำให้คนที่นั่งอยู่บริเวณนั้นพลอยหัวเราะตามนางไปด้วย เฉินเจียวเจียวจ้องมองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขของทุกคนแล้วก็ยิ้มออกมา นางได้แต่หวังว่ารอยยิ้มเช่นนี้จะยังอยู่เคียงคู่จวนผิงกั๋วกงแห่งนี้ตลอดไป
ยามค่ำหลังจากที่กินอาหารมื้อค่ำกับครอบครัวแล้วเฉินเจียวเจียวก็เดินเล่นอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงคิดได้ว่านางไม่ได้เขียนจดหมายไปหาบิดาและพี่ชายมานานแล้ว ทุกคนต่างตกลงกันว่าเรื่องการหมั้นหมายที่ยกเลิกไปแล้วของนางจะยังไม่ส่งข่าวไปที่ชายแดน ด้วยเกรงว่าผิงกั๋วกงผู้เป็นบิดาของนางจะโมโหจนรีบกลับมาเมืองหลวงเมื่อถึงยามนั้นคงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ นางจึงไม่ได้เขียนจดหมายไปถึงพวกเขา
แต่ยามนี้เมื่อเฉินเจียวเหม่ยมีสัญญาหมั้นหมายแล้วทั้งอาสะใภ้สามและท่านย่าขอนางจะต้องส่งจดหมายไปเล่าเรื่องคู่หมั้นของเฉินเจียวเหม่ยเป็นแน่ หากมีจดหมายจากคนอื่นภายในจวนส่งไปแต่ยังคงไม่มีจดหมายจากนางทั้งบิดาและพี่ชายจะต้องรู้สึกว้าวุ่นใจเป็นแน่ นางจึงได้รีบกลับเรือนแล้วลงมือเขียนจดหมายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม แน่นอนว่าสิ่งที่นางเขียนมีเพียงการไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ และเล่าเรื่องราวภายในจวนอย่างคร่าวๆ เพียงแต่เรื่องที่นางยกเลิกการหมั้นหมายกับโซ่วอ๋องแล้วนางจงใจไม่เอ่ยถึงและคิดว่าท่านย่าและอาสะใภ้สามของนางก็ไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องนี้เช่นกันเมื่อเขียนจบแล้วจึงได้คิดถึงเฉียวซื่อผู้เป็นมารดาเลี้ยงนางจึงได้ถือจดหมายของตนเองเดินไปที่เรือนของเฉียวซื่อ
“ท่านแม่เจ้าคะ ข้าจะส่งจดหมายไปหาท่านพ่อและพี่ใหญ่ ท่านเองก็เขียนถึงท่านพ่อสักฉบับสิเจ้าคะ” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉียวซื่อก็ขมวดคิ้ว
“นี่เจ้ามาหาแม่ยามดึกเช่นนี้ก็แค่เพียงอยากให้แม่เขียนจดหมายไปหาท่านพ่อของเจ้านี่นะ” เมื่อเฉียวซื่อเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“ไม่ว่าอย่างไรยามนี้ก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว ส่งจดหมายบอกเล่าเรื่องราวและถามข่าวคราวกันเสียหน่อยย่อมจะต้องสามารถสร้างความรู้สึกดีๆ ต่อกันได้แน่ เมื่อท่านพ่อกลับมาข้าจะได้มีความหวังเรื่องน้องชายกับเขาได้บ้าง” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉียวซื่อก็พลันขัดเขินจนอดดุลูกเลี้ยงไม่ได้
“เจ้านี่นะ ช่างเถิดๆ เช่นนั้นแม่จะเขียนจดหมายสักฉบับก็แล้วกัน” เฉียวซื่อเอ่ยพลางชักชวนเฉินเจียวเจียวเข้าไปนั่งเล่นในห้องหนังสือด้วยกัน
เฉียวซื่อใช้เวลาเขียนจดหมายเพียงครู่เดียวก็เสร็จแล้วหลังจากนั้นพวกนางสองแม่ลูกก็นั่งดื่มชาผลไม้และพูดคุยกันต่อ แน่นอนว่าทั้งในเนื้อหาจดหมายและบทสนทนาที่นางเอ่ยกับลูกเลี้ยงนั้นนางไม่เอ่ยถึงเรื่องการหมั้นหมายที่ถูกยกเลิกไปเลยสักคำ ยิ่งวันนี้ได้เห็นว่าเฉินเจียวเหม่ยกำลังจะได้หมั้นหมายกับบุรุษที่น่าจะเป็นคู่ครองที่ดีนางก็อดรู้สึกปวดใจแทนลูกเลี้ยงของตนไม่ได้
ในใจของนางก็ได้แต่คิดอย่างแค้นเคืองว่าในเมื่อโซ่วอ๋องไม่เห็นว่าลูกเลี้ยงของนางดีพอ นางก็จะทำให้เขารู้ว่าเด็กสาวที่นางเลี้ยงดูผู้นี้คือสตรีที่ล้ำค่ามากที่สุดที่ต่อให้วันหน้าเขาอยากจะคว้าก็ไม่มีหนทางที่จะคว้าได้อีกแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อรู้ว่าเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวเหม่ยจะออกไปพบสหายเฉินเจียวมี่ก็ขอติดตามไปด้วยอย่างกระตือรือร้น เมื่อทั้งเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวเหม่ยรับปากว่าจะช่วยกันดูแลน้องสาวอย่างดี หวงซื่อจึงไม่ได้เหนี่ยวรั้งบุตรสาวเอาไว้ นอกจากจะกำชับว่าให้เชื่อฟังพี่สาวและห้ามซุกซนแล้วนางก็ไม่คิดจะเอ่ยวาจาเหนี่ยวรั้งอันใดอีก ด้วยรู้ดีว่าทั้งเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวเหม่ยเป็นเด็กรู้ความย่อมดูแลน้องเล็กอย่างเฉินเจียวมี่ได้อย่างแน่นอนเมื่อไปถึงหอหลิงฟางคนขององค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูก็มารอพวกนางอยู่ก่อนแล้ว สามสาวสกุลเฉินถูกพาไปที่ห้องรับรองพิเศษที่องค์หญิงเก้าจองเอาไว้ซึ่งในห้องรับรองพิเศษแห่งนั้นมีองค์หญิงเก้าและหวังฮุ่ยหลิงนั่งรออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว“ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด ทุกครั้งที่นัดกันทั้งเจียวเจียวและเจียวเหม่ยมักจะมาถึงสถานที่นัดหมายเป็นคนสุดท้ายเสมอ” องค์หญิงเก้าเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายแต่หวังฮุ่ยหลิงกลับเอ่ยวาจาแก้ตัวให้สหายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม“จวนของพวกนางอยู่ไกลจากที่นี่ย่อมต้องมาถึงช้ากว่าเป็นธรรมดา”“แน่นอนว่านอกจากจากจวนจะอยู่ไกลแล้ว ย่อมต้องเป็นเพราะวันนี้พวกข้าพาน้องเล็
กว่าจะถึงเทศกาลหยวนเซียวยังต้องผ่านเทศกาลฉลองปีใหม่ไปเสียก่อน เฉียวซื่อจึงยังไม่ได้เอ่ยเรื่องนี้กับเฉินเจียวเจียว แม้ว่าจวนผิงกั๋วกงจะต้องฉลองเทศกาลกันอย่างเงียบเหงาอยู่บ้างเพราะปีนี้บุรุษภายในจวนล้วนยังอยู่ที่หัวเมืองชายแดนแต่ก็ยังคงมีบรรยากาศของความเป็นมงคลเฉินเจียวเจียว เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมีช่วยกันปักผ้าเพื่อมอบเป็นของขวัญให้แก่ผู้อาวุโสภายในจวน ส่วนบ่าวไพร่ก็ล้วนได้รับเงินทองและเครื่องประดับจากเจ้านายเพื่อเป็นของขวัญในวันขึ้นปีใหม่กันอย่างถ้วนหน้า สิ่งที่ทำให้ผู้คนภายในจวนมีความสุขมากที่สุดก็คือจดหมายที่มาจากชายแดนทางเหนือ ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มออกมาอย่างปลาบปลื้มใจเมื่อรู้ว่าบุตรชายและหลานชายของนางยังคงปลอดภัยและมีความเป็นอยู่ที่ดีเฉินเจียวเจียวมองบรรยากาศที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของคนทั้งจวนด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกัน คืนส่งท้ายปีพวกนางล้วนแล้วแต่แต่งกายกันอย่างดงามมากเป็นพิเศษเพื่อกินอาหารร่วมกันและนั่งพูดคุยกันเพื่อรอส่งท้ายปี เสียงประทัดและดอกไม้ไฟดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งตรอกสุ่ยอัน เฉินเจียวเจียวออกไปยืนมองท้องฟ้าที่ประดับประดาไปด้วยดอกไม้ไฟด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
มารดาเลี้ยงคิดเช่นไรเฉินเจียวเจียวไม่อาจจะรู้ได้ แต่สิ่งที่รู้ก็คือชีวิตในช่วงนี้ของนางนับว่ามีความสุขมากทีเดียว ได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในร่างของตนเอง ได้แก้ไขความผิดพลาดที่เคยเกิดในชีวิตของชาติก่อนและที่สำคัญได้กลับมาปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่าอีกครั้ง แม้จะรู้ว่าไม่ว่านางจะทำอย่างไรก็ไม่อาจจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารอดพ้นจากความแก่ชราและความตาย แต่สิ่งที่นางทำได้ก็คือคอยปรนนิบัติพัดวีและทำให้ผู้อาวุโสของนางมีความสุขมากที่สุดเท่าที่นางจะสามารถทำได้“เหตุใดช่วงนี้มารดาเลี้ยงของเจ้าจึงได้เข้าวังบ่อยครั้งขึ้น” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็ส่ายหน้า“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันเจ้าค่ะ” เฉินเจียวเจียวเอ่ยตอบอย่างไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก ไม่ว่าอย่างไรนางก็เคยเตือนเฉียวซื่อไปแล้วว่าแต่ละตำหนักของบรรดาพระสนมน่าจะมีคนของฝ่าบาทซุกซ่อนอยู่ มารดาเลี้ยงของนางไม่ใช่คนโง่ย่อมจะสามารถหลีกเลี่ยงการทำให้ฝ่าบาทไม่พึงพอพระทัยได้ทั้งคำพูดและการกระทำอยู่แล้วแน่นอนว่าทางด้านเฉียวซื่อที่เข้าออกวังบ่อยครั้งขึ้นย่อมจะต้องระมัดระวังทุกคำพูดและการกระทำของตนเองเป็นอย่างดี ช่วงนี้นางเข้าวังบ่อยขึ้นก็แค่เพียงอยากสานสั
เมื่อสาวน้อยสกุลเฉินทั้งสามไปถึงโถงกลางก็พบว่าแขกที่มาไม่ได้มีแค่เพียงคนสกุลหยวนแต่กลับมีองค์รัชทายาทนั่งดื่มนำ้ชาด้วยท่าทีสงบนิ่งอีกฝั่งหนึ่งด้วย เฉินเจียวเจียวนิ่งงันไปครู่หนึ่งแต่เฉินเจียวเหม่ยกลับรีบรั้งนางให้ก้าวเท้าเข้าไปในห้องโถงพร้อมกัน“ถวายพระพรองค์รัชทายาทเพคะ” ทั้งสามคารวะพร้อมกันอย่างงดงาม องค์รัชทายาทเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มออกมา“พวกเจ้าไม่ต้องมากพิธี” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้พวกนางก็ก้มหน้าลงแล้วหันไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนและหยวนอี้ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ภาพสตรีรุ่นเยาว์ทั้งสามที่รู้มารยาทและงดงามสมวัยทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนอดยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจไม่ได้ ส่วนหยวนอี้นั้นเขาไม่กล้ามองสตรีทั้งสามเท่าใดนักไม่ว่าอย่างไรการเข้ามาในเรือนชั้นในของผู้อื่นเช่นนี้ก็ออกจะเป็นเรื่องที่ขัดต่อธรรมเนียมมากเกินพอแล้ว เพียงแต่เมื่อเด็กสาวทั้งสาวเดินไปนั่งลงข้างกายของผู้อาวุโสของตนเองแล้ว เขาก็อดจ้องมองไปทางข้างกายของฮูหยินสามของสกุลเฉินครู่หนึ่งไม่ได้สีหน้าที่ทั้งขัดเขินและพึงพอใจของหยวนอี้ไม่ได้รอดพ้นไปจากการสังเกตของฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนและองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลง สองยายหลานหันไปสบตากันครู่หนึ่
หลังจากนั้นเพียงหนึ่งสัปดาห์ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนก็พาหยวนอี้ที่ยังไม่หายดีมาเป็นแขกของจวนผิงกั๋วกง เนื่องจากบุรุษภายในจวนล้วนอยู่ในกองทัพทั้งหมดอีกทั้งยังรู้ถึงเจตนาของทางฝั่งสกุลหยวนแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงรับแขกจากสกุลหยวนที่โถงกลางของเรือนชั้นใน โดยมีฮูหยินและลูกสะใภ้ทั้งสามคอยช่วยนางต้อนรับแขก“เจียวเหม่ย ควบคุมสติอารมณ์แล้วออกมาจากหลังพุ่มไม้เดี๋ยวนี้เลย” เฉินเจียวเจียวเอ่ยกับญาติผู้น้องของตนด้วยน้ำเสียงเย็นชา“จะทำอย่างไรดี เขาจะต้องเข้าใจว่าข้าคือสตรีอัปลักษณ์ที่อยู่ในรูปผู้นั้นเป็นแน่” เฉินเจียวเหม่ยเอ่ยออกมาอย่างไม่สบายใจโดยไม่คิดจะสนใจถ้อยคำตักเตือนของเฉินเจียวเจียวเลยสักนิด“ก่อนหน้านี้ท่านก็เคยเล่าให้ข้าฟังว่าเขาเห็นใบหน้าของท่านแล้วมิใช่หรือ ท่านบอกกับข้าเองว่าเขาถูกท่านลากตัวออกจากรถม้าแล้วโยนให้ผู้คุ้มกันของจวนเรา” เมื่อเฉินเจียวมี่เอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเหม่ยก็หันไปขึงตาใส่เฉินเจียวมี่ด้วยสายตาไม่พอใจอย่าเต็มที่“เจ้าอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนั้นอีก ข้ายังคิดเสียดายอยู่เลยว่าในยามนั้นข้าน่าจะอ่อนโยนอีกสักนิด เอ่ยวาจาดีๆ กับเขาสักประโยคสองประโยค” เมื่อเฉินเจียวเหม่ยเอ่ยเช่นนี้ทั้ง
ทางฝังองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลง หลังจากที่รู้ว่าญาติผู้พี่ต่างสกุลพ้นขีดอันตรายแล้วเขาพลันวางใจลง ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนนั้นเมื่อเห็นว่าหลานชายคนโตของนางอยู่ในมือของหมอหลวงแล้วนางก็วางใจลงได้ อันที่จริงนางวางใจตั้งแต่ตอนที่เห็นเฉินเจียวเจียวโรยยาห้ามเลือดลงไปบนบาดแผลแผลแล้ว ท่าทีสงบเยือกเย็นและการอธิบายด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นของเด็กสาวผู้นั้นทำให้จิตใจอันเคร่งเครียดของนางพลอยผ่อนคลายไปด้วย ยิ่งเมื่อได้เห็นว่าองค์รัชทายาทติดตามมาเพื่อปกป้องคุ้มครองนางและหลานชาย ความเชื่อมั่นในความปลอดภัยก็ยิ่งมีมากขึ้นไปอีกฮูหยินผู้เฒ่าสำรวจห้องโถงของเรือนหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้กับอุทยานหลวงด้วยความสนใจ เรือนแห่งนี้แม้ว่าจะตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่กลับใช้แต่ของดีและมีราคา นางหันไปจ้องมองหลานชายผู้สูงศักดิ์ของตนเองอีกครั้งแล้วจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมา“องค์รัชทายาท พระองค์ทรงปลูกเรือนเอาไว้ข้างนอกเช่นนี้ไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงรู้เรื่องนี้หรือไม่” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้เขาก็หันไปส่งยิ้มให้แก่นางแล้วเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม“ย่อมไม่รู้อยู่แล้ว แต่ท่านยายไม่ต้องกังวลต่อให้ทรงรู้เรื่องนี้ก็แ
เมื่อเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวเหม่ยนั่งรถม้าย้อนกลับมาทางเดิมก็พบว่าในยามนี้ชายชุดดำถูกจัดการจนหมดแล้ว บรรดาผู้คุ้มกันของพวกนางต่างก็ได้รับบาดเจ็บกันไม่น้อยเลย โชคดีที่ได้คนของเซียวอวิ๋นหยวนช่วยเหลือเอาไว้จึงยังไม่มีผู้ใดสูญเสียชีวิต“ขอบคุณคุณชายเซียวมากเจ้าค่ะ” ทั้งเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวเหม่ยต่างเอ่ยออกมาพร้อมกัน“เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว” เซียวอวิ๋นหยวนเอ่ยเพียงเท่านี้แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมาอีก“...” เฉินเจียวเจียวกับเฉินเจียวเหม่ยจ้องมองเขาครู่หนึ่งเมื่อเขาเอ่ยออกมาเช่นนี้พวกนางก็หาถ้อยคำที่จะเอ่ยต่อไม่ถูก พวกนางหันสบตากันแล้วจึงได้เอ่ยอำลาเขาด้วยสีหน้านอบน้อม แล้วจึงส่งคนไปนำรถม้ามารับผู้คุ้มกันที่ได้รับบาดเจ็บเพื่อพาพวกเขาไปหาหมอ หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้วพวกนางจึงได้พากันกลับจวนโดยมีองครักษ์ขององค์รัชทายาทติดตามไปส่งจนถึงจวน“เกิดเรื่องใดขึ้น” ทั้งฮูหยินผู้เฒ่า เฉียวซื่อ หวงซื่อ โม่ซื่อและเฉินเจียวมี่ต่างมารอพวกนางที่หน้าประตูจวน เมื่อเฉียวซื่อเห็นว่าบนชุดกระโปรงของเฉินเจียวเจียวมีเลือดติดอยู่นางก็รีบเดินเข้าไปสำรวจเนื้อตัวของเฉินเจียวเจียวด้วยสีหน้าร้อนใจในทันที“ข้าไ
องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงจ้องมองหญิงชราด้วยสายตาอ่อนโยน เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความอ่อนโยนและพยายามปลอบประโลมอย่างเต็มที่“ท่านยายไม่ต้องกังวล อีกสักครู่รถม้าของข้าก็จะตามมาถึงแล้ว พวกเราพาเขากลับไปที่จวนของท่านยายก่อนแล้วข้าจะให้คนไปพาตัวหมอหลงไปสมทบกับพวกเราที่นั่น” เมื่อองค์รัชทายาทเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเหม่ยก็ลงจากที่นั่งบังคับรถม้าแล้วเปิดผ้าม่านเพื่ออำนวยความสะดวกให้องค์รัชทายาทในทันที เขารีบเข้าไปประคองหญิงชราลงจากรถม้าพลางสำรวจร่างกายของหญิงชราด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าหญิงชราปลอดภัยดีแล้วจึงได้หันไปมองด้านในรถม้าที่มีบุรุษที่ได้รับบาดเจ็บนอนคว่ำหน้าอยู่และมีเฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ข้างกายของบุรุษผู้นั้น“เขาเป็นอย่างไรบ้าง” องค์รัชทายาทกระแอมพลางถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนมากกว่าปกติ“เลือดหยุดไหลแล้วเพคะ เพียงแต่บาดแผลสาหัสเอาการคงต้องให้ท่านหมอตรวจสอบดูอีกทีเพคะ” เฉินเจียวเจียวเอ่ยตอบด้วยสีหน้าอึดอัด เมื่อดูจากสถานการณ์แล้วหากเมื่อครู่นี้เฉินเจียวเหม่ยไม่เข้าไปช่วย สองย่าหลานคู่นี้ก็น่าจะยังคงปลอดภัยอยู่ในรถม้าจนกว่าองค์รัชทายาทจะไปถึง เพราะฟังจากที่องค์รัชทายา
ทางฝ่ายของเฉินเจียวเหม่ยนั้นเมื่อได้ประมือกับชายชุดดำเพียงไม่กี่กระบวนท่าก็พอจะรับรู้แล้วว่าคนกลุ่มนี้ไม่ใช่โจรป่าธรรมดาอย่างที่ตนเองเข้าใจ เมื่อรู้ว่าสู้ไม่ได้นางก็คอยมองหาช่องทางที่จะถอนตัว เพียงแต่คนที่นั่งในรถม้ายังมีผู้โดยสารนั่งอยู่ด้านใน หากนางทอดทิ้งแล้วหนีไปพวกเขาก็ย่อมจะต้องตายและนางก็คงจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตเป็นแน่‘ในเมื่อคิดจะช่วยแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด นางเปิดผ้าม่านของรถม้าขึ้นดึงชายหนุ่มผู้หนึ่งออกมาแล้วผลักเขาไปให้ผู้คุ้มกันที่ติดตามอารักขานางมาโดยตลอด สั่งให้ผู้ติดตามคนนั้นรีบพาชายหนุ่มผู้นั้นหนี ส่วนตนเองนั้นก็ประคองหญิงชราออกจากรถม้าด้วยท่าทางคล่องแคล่ว’“อี้เอ๋อ” หญิงชราผู้นั้นเอ่ยเรียกชายหนุ่มรูปร่างผอมบางด้วยสีหน้าเป็นห่วง แต่เมื่อเห็นว่าเขาปลอดภัยดีแล้วมีเพียงนางและสาวน้อยที่มาช่วยกับสาวใช้อีกหลายคนของตนที่ยังคงติดอยู่ท่ามกลางวงล้อมของชายชุดดำกลุ่มนี้“ท่านย่า!” บุรุษหนุ่มที่ถูกช่วยเอาไว้ส่งเสียงเรียกหญิงชราด้วยความเป็นห่วง ทำให้กลุ่มชายชุดดำหลายคนพุ่งความสนใจไปทางเขา ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเกือบจะหนีพ้นและไปจนเกือบถึงรถม้าที่เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่แล้ว กลุ่มชา