จวนผิงกั๋วกงไม่เคยได้พักเรื่องข่าวลือ หลังจากที่มีราชโองการแต่งตั้งคุณหนูใหญ่เป็นพระชายาองค์รัชทายาทก็ต่างมีคนเอ่ยถึงเรื่องนี้จำนวนมาก แต่ครั้งนี้กลับไม่ใช่ข่าวลือเสียหายอย่างเช่นครั้งก่อน และสิ่งที่กระตุ้นให้ผู้คนพูดถึงกันอย่างหนาหูมากที่สุดก็คือ เพราะคำยกย่องว่าเป็นสตรีที่ดีมีความสามารถรอบด้านที่คุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงมักจะได้รับ จึงทำให้คุณหนูรองสกุลจ้าวทนความริษยาไม่ไหวถึงกับวางแผนกับพี่ชายส่งคนไปผลักนางตกน้ำแล้วนัดแนะกับคุณชายสกุลอู๋จอมเสเพลอันดับหนึ่งของเมืองหลวงลงน้ำไปช่วย
คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟย่อมไม่ไหม้ ไม่เพียงคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงจะสามารถเอาตัวรอดจากการช่วยเหลือของคุณชายอู๋ได้ แต่ยังมีองค์รัชทายาทลงน้ำไปช่วยด้วย ถึงแม้ว่าองค์รัชทายาทจะทรงตรัสว่าไม่ได้ลงไปช่วย แต่ทุกคนต่างพูดถึงเรื่องนี้กันอย่างหนาหูว่าสาเหตุที่องค์รัชทายาทปฏิเสธก็แค่เพียงต้องการปกป้องชื่อเสียงของว่าที่พระชายาต่างหาก น่าเห็นใจก็แค่คุณชายสกุลหยวนและคุณหนูรองจวนผิงกั๋วกงที่ต้องพลอยลงไปในน้ำเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงให้ญาติของตน…
แน่นอนว่าเรื่องดีๆ ย่อมจะได้รับความนิยมน้อยกว่าเรื่องไม่ดี แม้ว่าข่าวเรื่องการได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระชายาองค์รัชทายาทของคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงจะน่าเอ่ยถึงมากเพียงใดแต่ก็ไม่ได้รับความนิยมเท่าเรื่องอื้อฉาวคาวโลกีย์ของคุณหนูรองสกุลจ้าว นอกจากจะเป็นสตรีจิตใจคับแคบและช่างอิจฉาริษยาแล้ว คุณหนูรองสกุลจ้าวยังลุ่มหลงกับเรื่องการประพฤติผิดในกาม ฉากหน้าทำเป็นส่งเทียบเชิญเหล่าบุรุษมาขับขานบทกวีร่วมกัน แต่ฉากหลังกลับเป็นการนัดแนะบุรุษมามั่วสุมทำเรื่องต่ำช้าคาวโลกีย์ ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสตรีต่ำช้าและน่าขายหน้ามากที่สุดมีผู้ใดเกินหน้าจ้าวซีอินแห่งจวนสกุลจ้าวอีกแล้ว
“ข้าไม่ยอม! ไม่ใช่ข้า ข้าไม่ได้ทำ” เสียงขว้างปาข้าวของและเสียงกรีดร้องของจ้าซีอินดังลั่นไปทั่วทั้งบริเวณเรือนของนาง ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายซ้ายที่เห็นสภาพของบุตรสาวถึงกับร่ำไห้ออกมา ส่วนลูกสะใภ้ที่เป็นหลานสาวจากสกุลเดิมของนางได้แต่คอยยืนเอ่ยวาจาปลอบใจแม่สามีด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ท่านแม่ ท่านจะต้องเข้มแข็งเข้าไว้นะเจ้าคะ เรื่องนี้จะต้องมีคนจงใจให้ร้ายน้องรองเป็นแน่เจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินลูกสะใภ้เอ่ยเช่นนี้จ้าวฮูหยินก็หันไปสะบัดฝ่ามือลงบนใบหน้าของลูกสะใภ้ของตนในทันที
“เรื่องนี้เจ้าเองก็มีส่วน ข้าบอกกับเจ้าแล้วใช่ไหมให้เจ้าคอยห้ามปรามซีอินเอาไว้ ไม่ให้นางออกจากจวน แล้วยังมีเหตุใดยามนี้จึงไม่ไปดูแลสามี เขานอนป่วยอยู่ที่เรือนแล้วเหตุใดเจ้าจึงได้มาเสนอหน้าที่นี่” เมื่อแม่สามีเอ่ยเช่นนี้ต่งอี้เถียนก็ก้มหน้าลงแล้วเอ่ยเสียงเบา
“ข้าตั้งใจจะมาตามท่านแม่ให้ออกไปรับมือกับคนสกุลจี้เจ้าค่ะ พวกเขาพาคนมามากมายบอกว่าจะมารับจี้เฟยเซียนกลับจวนสกุลจี้เจ้าค่ะ พร้อมกับตั้งใจจะมาทวงทรัพย์สินที่ทางท่านพี่เคยข่มขู่เอามาจวนสกุลจี้กลับไปอีกด้วยเจ้าค่ะ” คำพูดของลูกสะใภ้ทำให้จ้าวฮูหยินถึงกับมีสีหน้าแดงก่ำ
“อยากจะไปก็ไปสิผู้ใดคิดห้าม แต่การที่คิดจะมาทวงทรัพย์สินข้าไม่มีทางให้ พ่อสามีของเจ้าเล่าอยู่ที่ใดเหตุใดจึงไม่ออกไปรับหน้า”
“ท่านพ่อสามีบอกว่าเรื่องนี้ให้ท่านแม่ออกหน้าจัดการเจ้าค่ะ ในฐานะที่..ในฐานะที่ท่านแม่อบรมบุตรธิดาได้ไม่ดีก็ควรจะออกหน้าสะสางความวุ่นวายที่บุตรชายและบุตรสาวก่อนเจ้าค่ะ” ต่งอี้เถียนเอ่ยพลางก้มหน้าลงแล้วขยับกายเพื่อเว้นระยะห่างกับแม่สามี นางมั่นใจว่าคำพูดนี้ของนางจะต้องทำให้แม่สามีโกรธเป็นแน่และก็เป็นอย่างที่นางคิด จ้าวฮูหยินก็ระเบิดอารมณ์ออกมาด้วยการก่นด่าออกมาอย่างมากมาย
“ประเสริฐยิ่ง พอเกิดเรื่องขึ้นก็ล้วนโยนเรื่องทั้งหมดมาให้ข้าแบกรับ หากเขาไม่ตามใจลูกและชี้นำลูกในทางที่ผิด ลูกๆ ที่น่ารักของข้าจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้หรือ” จ้าวฮูหยินเอ่ยพลางเดินนำข้ารับใช้ไปที่โถงหน้าโดยมีต่งอี้เถียนเดินติดตามไปด้วยเพราะอยากรู้ว่าจี้เฟยเซียนจะยินยอมจากไปแต่โดยดีอย่างที่คนสกุลจี้ต้องการหรือไม่
“นี่พวกเจ้ากำลังทำอันใด” จ้าวฮูหยินตะเบ็งเสียงตวาดออกมาด้วยความโมโหเมื่อเห็นว่าจี้เฟยเซียนกำลังให้คนขนข้าวขนของออกจากจวนสกุลจ้าวอย่างไม่คิดจะไว้หน้านาง
“จ้าวฮูหยิน พี่ชายของข้ามารับข้ากลับแล้วข้าวของเหล่านี่ข้าต้องขนกลับเพราะเป็นของที่ข้านำติดตัวมาจากสกุลจี้ก็ต้องนำกลับไปคืนสกุลจี้ ส่วนนี่คือใบรายการทรัพย์สินของข้าที่คุณชายจ้าวข่มขู่และบังคับแย่งชิงไป ข้าจดรายการทุกอย่างอย่างละเอียดรบกวนจ้าวฮูหยินส่งคืนให้ข้าด้วย” จี้เฟยเซียนเอ่ยพลางโบกมือให้สาวใช้นำใบรายการทรัพย์สินที่ยาวเหยียดเป็นหางว่าวไปส่งให้จ้าวฮูหยิน
“นี่มันคืออันใดกัน จี้เฟยเซียนเจ้าอยากจะออกจากที่นี่ก็เชิญไปได้เลยนางจิ้งจอกเช่นเจ้าเมื่อกลับสกุลไปก็คงได้แห้งเหี่ยวคาเรือน ส่วนพี่สาวน้องสาวของเจ้าก็คงจะยากแล้วที่จะได้ออกเรือนเช่นกันในเมื่อมีสตรีฉาวโฉ่เช่นเจ้าอยู่ในครอบครัว ส่วนใบรายการทรัพย์สินเหล่านี้ข้าไม่รู้เรื่องเลยสักนิดเจ้าคิดจะรีดไถจวนสกุลจ้าวของข้าหรือ” จ้าวฮูหยินเอ่ยพลางทิ้งใบรายการทรัพย์สินลงบนพื้นโดยไม่คิดจะสนใจแต่จี้เฟยเซียนที่อ่อนน้อมถ่อมตนและยินยอมให้พวกนางดูถูกมาโดยตลอดกลับหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“ข้าฉาวโฉ่หรือไม่กระทบกับพี่สาวน้องสาวหรือไม่ข้าย่อมไม่อาจจะคาดเดาผลลัพธ์ แต่ที่แน่ๆ สำหรับคุณหนูสกุลจ้าวนั้นทั้งฉาวโฉ่และอื้อฉาวอย่างแท้จริง สตรีที่มีชื่อเสียงอื้อฉาวเช่นนี้ข้าเองก็อยากจะรู้เช่นกันว่าจวนสกุลจ้าวที่มีจิตใจคับแคบเช่นนี้จะยอมไว้ชีวิตนางหรือไม่ อ้อ ใบรายการทรัพย์สินนั่นข้าทำไว้อีกหลายชุด ชุดหนึ่งส่งให้กรมอาญาไปแล้วอีกชุดข้าส่งเข้าวังไปให้ฝ่าบาททอดพระเนตรแล้ว อย่าได้ลืมราชโองการของฝ่าบาทสิเจ้าคะ หากพวกท่านไม่คืนก็ถือว่าเป็นการขัดราชโองการนะเจ้าคะ”
“จี้เฟยเซียน!” จ้าวฮูหยินตวาดออกมาด้วยสีหน้าเคืองแค้น แต่จี้เฟยเซียนกลับไม่สะทกสะท้านนางหันไปมองต่งอี้เถียนแล้วส่งยิ้มออกมา
“ข้าจากไปได้เจ้าคงจะโล่งใจ แต่ขอบอกเลยว่าอย่าได้คิดดีใจ สามีที่ไม่ได้รักเจ้าผู้นั้นเขาไม่มีทางดีต่อเจ้าอย่างแท้จริงหรอก เพราะเจ้าน่าเองก็น่าจะรู้ดีว่าคนที่เขารักมากที่สุดก็คือตัวเขาเอง จากนี้ไปไม่มีข้าให้เจ้าโขกสับแล้วเจ้าคงจะเหงาแต่เชื่อข้าเถิดไม่มีข้าเขาก็หาผู้อื่นเข้ามาให้เจ้าโขกสับต่ออยู่ดี ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้เวลาในการรักษาตัวนานเท่าใดเพียงแค่นั้น” จี้เฟยเซียนเอ่ยพลางยิ้มเยาะออกมา
“ข้าต้องไปแล้ว หวังว่าจ้าวฮูหยินจะคืนทรัพย์สินมาให้ข้าด้วย” เมื่อเอ่ยจบจี้เฟยเซียนก็เดินออกจากสกุลจ้าวไปท่ามกลางสายตาของชาวบ้านที่มามุงดูอยู่หน้าจวน
“น่าสงสารนางจริงๆ ถูกบังคับให้แต่งเข้าไปเป็นภรรยารอง ถูกโขกสับอยู่ในจวนนานนับปี ยามนี้แม้จะกลับจวนได้ดังเดิมแต่ชีวิตที่เคยรุ่งโรจน์ของนางกลับดับมืดไปแล้ว” คำพูดของชาวบ้านที่ลอยเข้าหูมาทำให้จี้เฟยเซียนเพียงแค่คลี่ยิ้มออกมาอย่างเศร้าใจ
“เจ้าไม่ต้องคิดมากสกุลจี้ของพวกเราไม่ได้คร่ำครึเหมือนสกุลใหญ่สกุลอื่น หากหาคู่ครองที่ดีให้เจ้าอีกครั้งไม่ได้ข้าผู้เป็นใหญ่ของเจ้าก็จะอาสาดูแลเจ้าไปจนตลอดชีวิต” เมื่อพี่ชายเอ่ยเช่นนี้จี้เฟยเซียนก็ยิ้มออกมา
“เรื่องคู่ครองข้าไม่คิดจะมีอีกแล้วเจ้าค่ะ แต่เรื่องเลี้ยงดูไปตลอดชีวิตข้าสนใจยิ่ง…ท่านใหญ่ต่อไปข้าจะติดตามท่านไปเรียนรู้เรื่องการค้าขายด้วย ในเมื่อไม่มีชื่อเสียงให้ต้องคำนึงถึงแล้วท่านก็ปล่อยให้ข้าได้ทำตามใจตนเองเถิด ไม่แน่ว่าวันหน้าข้าอาจจะกลายเป็นเศรษฐินีแข่งกับคหบดีใหญ่อย่างท่านพ่อกับพี่ใหญ่ก็ได้นะเจ้าคะ” เมื่อจี้เฟยเซียนเอ่ยเช่นนี้พี่ชายของนางก็พยักหน้า
“ได้! ต่อแต่นี้ไปพี่ใหญ่ผู้นี้จะสนับสนุนเจ้าทุกอย่าง เจ้าไม่ต้องกังวลท่านพ่อและท่านแม่ย่อมไม่คิดจะห้ามเจ้า ขอเพียงเจ้ามีความสุขไม่ว่าเรื่องใดพวกเราล้วนตามใจเจ้าอยู่แล้ว” เมื่อพี่ชายเอ่ยเช่นนี้จี้เฟยเซียนก็พลันยิ้มออกมา
ในกาลก่อนเป็นเพราะนางกังวลเรื่องชื่อเสียงมากเกินไป กังวลเรื่องการแต่งงานของพี่สาวและน้องสาวจนเกินไป แต่ตอนที่นางตกยากพี่สาวและน้องสาวเหล่านั้นกลับไม่คิดจะเห็นใจ ยังพากันเดียดฉันท์ที่นางกลายเป็นภรรยารองของผู้อื่น ส่วนบิดามารดาเพราะเป็นห่วงนางมากจนเกินไปทรัพย์สินที่มีถูกจ้าวซีเฉิงรีดไถอย่างไรก็ยอมให้ขอแค่เพียงเขายินยอมทำดีต่อนาง ส่วนนางเป็นเพราะนั้นอ่อนแอมากจนเกินไปจนถูกรังแกเช่นนี้ แต่ตอนนี้นางไม่ใช้จี้เฟยเซียนคนเดิมอีกต่อไปแล้ว นางจะไม่ยอมให้ผู้ใดมากำหนดชีวิตของนางอีกนอกจากตัวของนางเอง
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ