แม้ว่าเฉินเจียวเจียวจะได้รับแต่งตั้งจากฝ่าบาทให้เป็นพระชายาองค์รัชทายาท แต่สำหรับจวนผิงกั๋วกงแล้วเรื่องนี้กลับไม่ค่อยจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีเท่าใดนัก เพราะมีประสบการณ์ที่ไม่ดีต่อคนในราชวงศ์อย่างโซ่วอ๋องมาแล้วฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่ได้กระตือรือร้นเท่าใดนัก นางเพียงสั่งให้เฉียวซื่อที่เป็นลูกสะใภ้เขียนจดหมายขึ้นมาหนึ่งฉบับ บอกเล่าเรื่องราวการยกเลิกการหมั้นหมายกับโซ่วอ๋องของเฉินเจียวเจียวและการได้รับราชโองการแต่งตั้งให้เป็นพระชายาองค์รัชทายาทของนาง อีกทั้งยังเล่าเรื่องความบาดหมางระหว่างจวนผิงกั๋วกงและสกุลจ้าวลงไปในจดหมายด้วย
“อ้อ! อย่าลืมบอกเขาด้วยว่าหลานชายทั้งสามของข้าก็ควรจะกลับมาแต่งงานกันได้แล้ว หลังจากเจียเจียวเข้าพิธีปักปิ่นแล้วทางวังหลวงก็จะจัดพิธีมงคล แต่พี่ชายในสกุลทั้งสามกลับยังไม่ได้แต่งงานนี่จะกลายเป็นน้องสาวแต่งงานก่อนพี่ชายนะ” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้ทั้งหวงซื่อและโม่ซื่อก็ต่างยิ้มออกมา หากคุณชายทั้งสามของจวนผิงกั๋วกงกำลังจะมีงานมงคลย่อมหมายความว่าบุรุษสกุลเฉินใกล้จะได้กลับเมืองหลวงแล้ว
ทางฝังจวนผิงกั๋วกงเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความคาดหวัง แต่ทางวังหลวงกลับมีคนกระวนกระวายใจจนไม่อาจจะข่มตาหลับลงได้ หลังจากหลีกงกงกลับจากจวนผิงกั๋วกงก็เข้าไปถวายรายงานต่อเบื้องพระพักตร์ของหลี่เซียวหลงด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม แถมยังเล่าถึงเรื่องที่เฉินเจียวเจียวและจวนผิงกั๋วกงถึงกับทำอันใดไม่ถูกไปเสียนานเมื่อได้รับราชโองการพระราชทานสมรสจากหลี่เซียวหลงฮ่องเต้
หลี่เซียวหลงอาจจะเบิกบานพระทัยและทรงพระสรวลด้วยความขบขัน แต่คนที่คิดว่าตนเองรู้จักเฉินเจียวเจียวดีอย่างหลี่ไท่หลงกลับไม่ค่อยจะยินดีเท่าไหร่ ในใจได้แต่คิดว่ายามนี้เด็กสาวดื้อรั้นอย่างเฉินเจียวเจียวอาจจะกำลังคิดหาหนทางที่จะทำให้ตนเองไม่ต้องแต่งกับเขาอยู่ก็เป็นได้
“เรื่องสตรีอื่นข้าไม่มี แต่เรื่องปากไม่ดีนั้นคือเรื่องที่ช่วยไม่ได้” หลี่ไท่หลงเอ่ยออกมาต่อหน้าสหายและญาติผู้พี่อย่างไม่คิดจะเก็บงำความคิด หยวนอี้กับเซียวอวิ๋นหยวนสบตากันอยู่ครู่หนึ่งแล้วสุดท้ายจึงได้เป็นหยวนอี้ที่ตัดสินใจเอ่ยเล่าบางอย่างออกมา
“ก่อนหน้านี้คุณหนูรองจวนผิงกั๋วกงเคยพยายามเข้ามาพูดคุยกับข้าหลายครั้ง นางยังเคยบอกกับข้าว่าญาติผู้พี่ของนางสั่งให้นางมาตีสนิทกับข้าให้มากเข้าไว้ เพื่อที่วันหน้านางจะได้สามารถขอให้ข้ามาพูดคุยกับพระองค์และทำให้พระองค์ช่วยไปทูลขอว่าที่สามีที่เป็นคนดีให้แก่ญาติผู้พี่ของนาง” เมื่อหยวนอี้เอ่ยเช่นนี้หลี่ไท่หลงก็พยักหน้า
“ก็ข้านี่ไงคนดี ในเมื่อข้าดีเช่นนี้แล้วนางยังจะต้องการผู้ใดอีก” เมื่อหลี่ไท่หลงเอ่ยเช่นนี้ทุกคนก็ต่างพากันทอดถอนใจออกมา
“องค์รัชทายาท ในเมื่อทรงมั่นพระทัยในตนเองเช่นนี้แล้วจะทรงลากพวกข้ามานั่งฟังพระองค์ทรงพร่ำบ่นด้วยเหตุใด” น้อยครั้งมากที่เซียวอวิ๋นหยวนจะพูดออกมาแต่เมื่อได้พูดแล้วก็ล้วนเข้าเป้าอย่างตรงจุด
“ข้าก็แค่อยากจะรู้ว่านางกำลังคิดจะต่อต้านการแต่งงานกับข้าอยู่หรือไม่” เมื่อเอ่ยจบหลี่ไท่หลงก็หันไปจ้องมองเซียวอวิ๋นหยวนครู่หนึ่งแล้วก็พลันส่ายหน้า
“แม้แต่ตนเองก็ยังเอาตัวไม่ค่อยจะรอด ข้าคงจะพึ่งพาเจ้าไม่ได้”
“...” เซียวอวิ๋นหยวนได้แต่ขมวดคิ้วแต่ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา สุดท้ายหลี่ไท่หลงก็หันไปเอ่ยกับหยวนอี้ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เช่นนั้นก็ญาติผู้พี่ก็แล้วกัน ใช้ข้ออ้างว่าไปขอเยี่ยมเยียนคุณหนูรองแล้วลองสอบถามสถานการณ์ทางเฉินเจียวเจียวให้ข้าหน่อย”
“แล้วกระหม่อมจะใช้ข้ออ้างอันใดไปเยี่ยมเยียนนางเล่าขอรับ แม้ว่าจะตกลงหมั้นหมายกันแล้วแต่คงไม่ค่อยจะเหมาะที่จะไปหานางจนถึงจวน”
“นางตกน้ำมิใช่หรือแถมยังต้องลมเย็น เจ้าใช้ข้ออ้างว่าไปเยี่ยมเยียนอาการป่วยของนางก็ไม่น่าเกลียดแล้ว”
“... แม้แต่กระหม่อมยังหายป่วยแล้วนางแข็งแรงถึงปานนั้นยามนี้คงจะกระโดดโลดเต้นได้แล้วกระมัง” เมื่อหยวนอี้เอ่ยเช่นนี้หลี่ไท่หลงก็พลันส่ายหน้า
“ท่านนี่ช่างเป็นบุรุษคร่ำครึเสียจริง” เมื่อเอ่ยจบก็สะบัดชายแขนเสื้อแล้วเดินจากไปทิ้งให้เซียวอวิ๋นหยวนและหยวนอี้จ้องมองหน้ากัน
“เขาจะร้อนใจไปทำไม ไม่มีผู้ใดกล้าขัดราชโองการหรอก” เมื่อหยวนอี้เอ่ยเช่นนี้เซียวอวิ๋นหยวนก็พลันส่ายหน้า หากเป็นสตรีอื่นเขาย่อมจะคิดเช่นเดียวกันกับหยวนอี้แต่หากสตรีกลุ่มนี้เขากลับสามารถเอ่ยออกมาอย่างเต็มปากว่าไม่แน่
องค์หญิงเก้าผู้เป็นเจ้ากรมข่าวลือฝ่ายสตรี คู่หมั้นของเขาหวังฮุ่ยหลิงผู้รอบรู้ทั้งตำรับตำราและคบหากับผู้คนมากมาย ยังมีเฉินเจียวเหม่ยที่องอาจและกล้าหาญ สตรีกลุ่มนี้เมื่ออยู่ภายใต้การคบคุมของสตรีมากแผนการอย่างเฉินเจียวเจียวแล้วไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนกล้าทำได้ทั้งสิ้น ไม่น่าแปลกใจเลยที่เหตุใดองค์รัชทายาทจึงได้ทรงกังวลเช่นนี้ โซ่วอ๋องถูกถอนหมั้นนับว่าเสียหน้ามากพอสมควรแต่หากองค์รัชทายาทถูกปฏิเสธการแต่งงานย่อมจะต้องเสียหน้ามากกว่า ยิ่งเป็นการแต่งงานที่มีราชโองการพระราชทานสมรสก็ยิ่งมากกว่าเสียหน้า คนรักหน้าตาอย่างองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงย่อมสมควรกังวล
แต่ค่ำคืนนั้นคนที่กังวลกลับกลายเป็นเซียวอวิ๋นหยวน เขามีหน้าที่ต้องคอยปกป้องดูแลความปลอดภัยขององค์รัชทายาทถึงกับเหงื่อตก องค์รัชทายาทที่มักจะพุ่งตรงเข้าหาอันตรายเพื่อสืบเสาะหาข้อมูลเพื่อกำจัดฐานอำนาจของสกุลจ้าวอย่างไม่รักชีวิตเขาเองก็ย่อมยินดีที่จะเสี่ยงตายถวายชีวิต แต่ยามนี้องค์รัชทายาทกำลังลักลอบแอบเข้าจวนผิงกั๋วกงที่มียอดฝีมือมากมายคุ้มกันอยู่ ตัวเขากลับเริ่มจะมีความลังเลในหน้าที่ของตนเองเสียแล้ว
“หากผู้อื่นรู้ว่าพระองค์ทรงลักลอบปีนกำแพงเพื่อเข้าหาคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกง ต่อให้ฝ่าบาททรงออกหน้าช่วยเหลือก็ไม่แน่ว่าจะพ้นผิด” เซียวอวิ๋นหยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องให้ผู้อื่นรู้ วิชาตัวเบาเจ้าสู้ข้าไม่ได้ไม่ต้องติดตามข้ามา ข้าแอบเข้าไปเพียงครู่เดียว เจ้าคอยหลบอยู่แถวนี้ก็พอ อย่าได้ทำให้ข้าต้องเสียเรื่องเชียว” เมื่อเอ่ยจบองค์รัชทายาทก็ทะยานร่างข้ามกำแพงจวนผิงกั๋วกงอย่างหน้าไม่อายไปเสียแล้ว
องค์รัชทายาทผู้นี้ฝึกยุทธ์กับอาจารย์มากฝีมือมาหลายคน เรื่องการต่อสู้อาจจะแค่พอกล้อมแกล้มใช้คำว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ได้แต่วิชาตัวเบากลับมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่หลี่เซียวหลงฮ่องเต้ยังเคยระบายโทสะออกมาอย่างไม่พอพระทัย
“ประเสริฐยิ่ง ข้าเชิญผู้เยี่ยมยุทธ์จากทั่วสารทิศมาสอนเจ้า เจ้าก็ช่างดียิ่งนักไม่ตั้งใจเรียนจนเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์แต่กลับทำได้ดีกับวิชาตีนแมวและย่องเบา สวรรค์ข้าคงทำกรรมมามากจึงได้บ่มเพาะว่าที่โอรสสวรรค์ที่ไม่ค่อยจะได้เรื่องเช่นนี้ออกมา” นี่คือคำพร่ำพรรณนาของฝ่าบาทตอนที่องค์รัชทายาทยังทรงพระเยาว์ แม้ว่ายามนี้องค์รัชทายาทจะดีขึ้นมากแล้วแต่เซียวอวิ๋นหยวนยังจดจำถ้อยดำรัสที่โอรสสวรรค์ทรงพร่ำพรรณนาออกมาได้อย่างแม่นยำ
ทางฝ่ายหลี่ไท่หลงผู้มีความเชี่ยวชาญทางด้านวิชาตัวเบาและการหลบหลีกก็สามารถคลำหาเรือนพักของเฉินเจียวเจียวได้ในที่สุด เมื่อหาพบแล้วเขาได้แต่ทอดถอนใจออกมาแล้วปาดเหงื่ออยู่ในใจ
“โตจนป่านนี้แล้วยังพักอยู่ในเรือนเดียวกันกับผู้อาวุโสอีก เคราะห์ดีที่เจ้าอยู่เรือนเดียวกันกับฮูหยินผู้เฒ่าข้าจึงกล้าเข้ามาหา แต่หากเจ้าพักอยู่กับฮูหยินผิงกั๋วกงข้าคงต้องขอถอนตัวแล้ว ไม่ว่าอย่างไรการลักลอบเข้าเรือนพักของสตรีที่มีเหย้าเรือนแล้วย่อมขัดต่อมโนธรรมในใจข้า” องค์รัชทายาทพร่ำบ่นออกมาเสียงเบาแต่เฉินเจียวเจียวที่กำลังยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้าเดือดดาลก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเช่นกัน
“อ้อ! แล้วการลักลอบเข้าเรือนของสตรีที่ยังไม่ออกเรือนไม่ขัดต่อมโนธรรมในใจของพระองค์เลยหรือ”
“นี่ย่อมไม่เหมือนกันเจ้ากำลังจะออกเรือนกับข้าไม่ได้จะออกเรือนกับผู้อื่นเสียหน่อย”
“องค์รัชทายาท พระองค์มาที่นี่ทำไม” เฉินเจียวเจียวเอ่ยถามด้วยความไม่พอใจ ต่อให้เป็นว่าที่สามีของนางก็จริงแต่การลักลอบเข้ามาหากลางดึกเช่นนี้ย่อมส่อให้เห็นถึงเจตนาที่ไม่ดี
"ข้าแค่จะมาทำข้อตกลงกับเจ้า" หลี่ไท่หลงเอ่ยออกมาเสียงเบาเช่นกันพลางเดินไปหาที่นั่งที่สามารถช่วยลดความคุกคามของตนเองที่มีต่อสาวน้อยตรงหน้าลง
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ