นอกจากจะนับวันเวลาเพื่อรอพี่ชายทั้งสามและท่านอาทั้งสองเดินทางมาถึงเมืองหลวง กิจวัตรประจำวันที่เฉินเจียวเจียวไม่เคยพลาดก็คือการฟังข่าวจากคนข้างกายหลินชิงเหมย เมื่อหลายเดือนก่อนช่วงจังหวะที่หลินชิงเหมยมัวเข้าไปคอยรับใช้…ไม่ใช่สิ! อันที่จริงต้องเรียกว่าไปเรียนรู้กฎระเบียบและการวางตัวภายในวังกับพระนางเต๋อเฟย นางได้ซื้อความภักดีของสาวใช้คนสนิทที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายของหลินชิงเหมยเอาไว้ เพื่อจะได้คอยสอดแนมความเป็นไปของหลินชิงเหมยอย่างละเอียด
ชาติก่อนเพราะคิดว่าหลินชิงเหมยไร้พิษสงนางจึงได้มองข้ามเด็กสาวผู้นั้นไป แต่ชาตินี้ย่อมไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว ไม่เพียงกับหลินชิงเหมยเท่านั้นยามนี้เฉินเจียวเจียวกลายเป็นคนที่ไม่คิดจะมองประเมินผู้อื่นด้วยความประมาทเลินเล่ออีกแล้ว ข้อดีของการใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังและรอบคอบก็คือทำให้สามารถมองเหตุการณ์รอบกายได้กว้างขึ้น อย่างน้อยเรื่องความขัดแย้งระหว่างสกุลจ้าวและราชสกุลหลี่ที่นางเคยคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวแต่ยามนี้กลับกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวไปเสียแล้ว
“นี่เจ้ากำลังจะบอกกับข้าว่ายามนี้หลินชิงเหมยกำลังทำข้อตกลงบางอย่างกับที่ปรึกษาของเสนาบดีจ้าวเช่นนั้นหรือ” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยถามเช่นนี้ตงจื้อก็ขานรับแล้วรีบบอกเล่าเรื่องราวที่นางได้ฟังมาจากเหลียนฮวาให้แก่เจ้านายอย่างละเอียด
“เหลียนฮวาบอกกับบ่าวว่าที่ปรึกษาของสกุลจ้าวลักลอบติดต่อคุณหนูรองสกุลหลินผ่านทางซ่งมามาที่หลินฮูหยินว่าจ้างให้เข้าไปอบรมกิริยามารยาทคุณหนูรองสกุลหลินเจ้าค่ะ”
“พวกเขามีข้อตกลงอันใดกันบ้างเหลียนฮวาได้เก็บหลักฐานมาให้ข้าหรือไม่” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยถามเช่นนี้ตงจื้อก้พลันส่ายหน้า
“ส่วนใหญ่เป็นคำพูดที่มามาผู้นั้นนำข้อความจากที่ปรึกษาสกุลจ้าวมาถ่ายทอดให้คุณหนูรองสกุลหลินได้รับฟังอีกทีเจ้าค่ะ ไม่มีสารหรือจดหมายที่ใช้ติดต่อกันเลยสักชิ้น” ตงจื้อเอ่ยพลางทอดถอนใจออกมาซึ่งนางคิดว่าต่อให้มีคนอย่างคุณหนูรองสกุลหลินจะต้องรีบเผาเพื่อกำจัดโดยไม่คิดจะเหลือร่องรอยเอาไว้เป็นแน่ เมื่อเห็นว่าเฉินเจียวเจียวนั่งฟังด้วยสีหน้าตั้งออกตั้งใจนางจึงได้เล่าต่อ
“เหลียนฮวาเล่าว่า ซ่งมามาผู้นี้เดิมทีก็สอนกิริยามารยาทตามปกติ แต่เมื่อนางเห็นว่าไม่มีผู้ใดแล้ว ก็เริ่มสอบถามกับคุณหนูรองสกุลหลินว่าอยากจะก้าวขึ้นไปอยู่ในจุดสูงสุดของตำหนักในหรือไม่” ถ้อยคำนี้ของตงจื้อทำให้เฉินเจียวเจียวนิ่งงันไป
“เมื่อคุณหนูรองสกุลหลินบอกว่าอยาก ซ่งมามาก็หันมาไล่เหลียนฮวาให้ออกจากห้องแต่โชคดีที่คุณหนูรองสกุลหลินยังคงไว้ใจเหลียนฮวาอยู่ เหลียนฮวาจึงได้มีโอกาสได้อยู่ร่วมฟังพวกนางพูดคุยและตกลงกัน ซ่งมามาเอ่ยว่าถ้าหากคุณหนูรองสกุลหลินยินยอมทำตามคำสั่งของท่านเสนาบดีจ้าวแต่โดยดีไม่เพียงเขาจะสนับสนุนให้คุณหนูรองสกุลหลินได้นั่งตำแหน่งฮองเฮา แต่ยังสามารถช่วยผลักดันให้ทายาทของคุณหนูรองได้ขึ้นในจุดสูงสุดของราชบัลลังก์ด้วยเจ้าค่ะ”
“แล้วหลินชิงเหมยตอบว่าอย่างไร” เฉินเจียวเจียวเอ่ยถามด้วยสีหน้าอึมครึม
“นางถามว่าสกุลจ้าวจะช่วยผลักดันนางได้จริงหรือ แล้วทำเช่นไรนางจึงจะสามารถแทนที่คุณหนูของบ่าวได้และทำอย่างไรองค์รัชทายาทจึงจะสนใจนาง” คำพูดของตงจื้อทำให้เฉินเจียวเจียวขมวดคิ้วพลางคิดในใจว่า
‘ชาติก่อนหมายปองแย่งชิงสามีของข้า พอมาชาตินี้หลินชิงเหมยยังกล้าเปลี่ยนมาหมายตาว่าที่สามีของข้าอีกหรือ’
“แต่ซ่งมามากลับปฏิเสธ แล้วบอกว่าการผลักดันให้นางเป็นพระชายาองค์รัชทายาทนับว่าเป็นเรื่องยาก มิสู้ผลักดันให้นางเป็นพระชายาของโซ่วอ๋องแล้วผลักดันให้โซ่วอ๋องได้ครอบครองราชบัลลังก์จึงจะว่านับเป็นเรื่องง่ายกว่า”
“หึหึ แล้วหลินชิงเหมยตอบตกลงหรือไม่”
“คุณหนูรองสกุลหลินตอบว่า ขอเพียงสกุลจ้าวสามารถช่วยเหลือนางในการกำจัดคุณหนูได้ ไม่ว่าสกุลจ้าวจะให้นางทำเช่นไรนางย่อมยินดีเจ้าค่ะ หลังจากพวกนางพูดจาตกลงกันได้ซ่งมามาจึงได้ขอตัวกลับเจ้าค่ะ”
“แล้วซ่งมามาผู้นั้นเจ้าพอจะสืบได้หรือไม่ว่านางเป็นผู้ใด มาจากไหนและยามนี้ทำงานให้สกุลจ้าวจริงหรือไม่” แม้ว่าจะแน่ใจถึงสิบส่วนว่าซ่งมามาผู้นั้นทำงานให้สกุลจ้าว แต่เฉินเจียวเจียวก็ไม่อาจจะวางใจด้วยเกรงว่าอาจจะมีผู้อื่นฉวยโอกาสที่นางมีเรื่องขัดแย้งกับหลินชิงเหมยมายั่วยุและเพิ่มความบาดหมางระหว่างพวกนางยิ่งขึ้น
“บ่าวตามสืบมาแล้วเจ้าค่ะ และทันได้เห็นกับตาว่าซ่งมามาผู้นั้นติดต่อกับที่ปรึกษาของสกุลจ้าวจริงๆ เจ้าค่ะ” เมื่อตงจื้อเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็พยักหน้าพลางเอ่ยออกมาเสียงเบา
“ผลักดันโซ่วอ๋องให้นั่งราชบัลลังก์ พวกเขาช่างกล้าตั้งข้อเสนอเสียจริง เบื้องบนยังมีทั้งฝ่าบาทและองค์รัชทายาท หากโซ่วอ๋องทรงหมายมั่นปั้นมือว่าจะครอบครองราชบัลลังก์นั่นก็ย่อมหมายความว่าเขาคิดจะก่อการกบฏ” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด
ชาติก่อนเพราะเกรงว่าโซ่วอ๋องจะเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องการก่อการกบฏของสกุลจ้าว นางต้องใช้เวลาเกลี้ยกล่อมอยู่ตั้งนานสองนาน กว่าจะสามารถดึงโซ่วอ๋องออกจากการเป็นปฏิปักษ์กับองค์รัชทายาท แต่ชาตินี้กลับกลายเป็นว่ายังไม่ทันได้แต่งเป็นพระชายาหลินชิงเหมยก็ขันอาสาออกหน้าที่พาโซ่วอ๋องเข้าไปอยู่ภายใต้อาณัติของสกุลจางเข้าเสียแล้ว
“ไม่ได้การ เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแจ้งองค์รัชทายาทเอาไว้เสียหน่อย” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางนิ่วหน้า ในฐานะว่าที่พระชายาจะไปขอเข้าพบองค์รัชทายาทที่ตำหนักบูรพาก็คงไม่งาม นัดพบกันข้างนอกก็ยิ่งแล้วเข้าไปใหญ่ แล้วสุดท้ายจึงคิดได้ว่าหนทางที่จะติดต่อองค์รัชทายาทได้ก็คือหอเมฆา
“ตงจื้อ เจ้าคิดว่าหากอยู่ๆ ข้าไปปรากฏตัวที่หอเมฆาจะเกิดเรื่องใหญ่หรือไม่” ได้ฟังคำถามนี้ของเฉินเจียวเจียว ตงจื้อก็รีบส่ายหน้าในทันที
“แล้วคุณหนูจะไปทำอันใดที่สำนักคุ้มภัยกันเล่าเจ้าคะ” เมื่อตงจื้อเอ่ยถามเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็พลันพยักหน้า
“นั่นน่ะสิ คุณหนูจวนผิงกั๋วกงเช่นข้าหากไปปรากฏตัวที่หอเมฆาย่อมจะเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมากเป็นแน่” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางคิดถึงผู้คุ้มกันและคนในกองทัพที่ยามนี้ถูกเกณฑ์มาคอยคุ้มกันให้นางแล้วก็พลันหัวเราะออกมา
“ช่างเถิด ข้าคงจะต้องหาวิธีอื่นส่งข่าวนี้ให้แก่องค์รัชทายาทเสียแล้ว” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางนิ่วหน้าแล้วสุดท้ายจึงคิดได้ว่านางไม่ได้เข้าวังไปเยี่ยมเยียนองค์หญิงเก้านานแล้ว
“เจ้าไปเรียกตงผิงมา ให้นางส่งเทียบขอเข้าเฝ้าของข้าไปที่ตำหนักขององค์หญิงเก้า” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้ตงจื้อก็รีบไปตามตงผิงในทันที เรื่องติดต่อกับคนในวังตงผิงนับว่าเชี่ยวชาญมากที่สุด
หลังจากนั้นตงผิงก็ดำเนินการส่งเทียบขอเข้าเฝ้าองค์หญิงเก้าไปที่วัง ใช้เวลาเพียงไม่นานตงผิงก็กลับมารายงานกับเฉินเจียวเจียวว่าองค์หญิงเก้าตอบรับเทียบขอเข้าเฝ้าแล้ววันพรุ่งนี้สามารถเข้าไปที่ตำหนักขององค์หญิงเก้าได้เลย เรื่องในวันนี้ทำให้เฉินเจียวเจียวถึงกับต้องทอดถอนใจออกมา มีป้ายคำสั่งอยู่ในมือก็ยากที่จะได้ใช้ประโยชน์คนของหอเมฆาหรือจะสู้คนของผิงกั๋วกง
แต่ที่ทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดมากกว่าก็คือยามที่อยากจะพบกลับพบว่าคนที่เคยปีนกำแพงเข้าหากลับขอเข้าพบได้ยากเย็นยิ่ง ไม่เพียงเรื่องฐานะของคนทั้งคู่ยังมีกฎระเบียบมากมายที่ต้องระมัดระวัง ยามนี้นางจึงได้เข้าใจแล้วว่าทำไมองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงจึงได้ปีนกำแพงเข้ามาพูดคุยกับนาง ส่วนนางหากอยากจะพบปะพูดคุยกับเขาจะปีนกำแพงก็คงจะไม่เหมาะมีเพียงต้องหาคนกลางคอยให้ความช่วยเหลือเท่านั้นนางจึงจะสามารถเข้าพบเขาได้
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ