ชุดฮันฝูสีชมพูอ่อนตัวบาง เมื่อสวมทับบนร่างกายแล้วแทบปกปิดร่องรอยเขียวช้ำไม่ได้ ยิ่งบริเวณรอบลำคอระหงยิ่งสังเกตเห็นได้ง่าย ทำเอาร่างบางแทบอยากกรีดร้องออกมา จื่อหานต้องการอะไรจากนาง แค่ก้าวขาให้พ้นประตูเรือนยังมิกล้า สภาพเช่นนี้ไหนเลยจะสู้หน้าผู้คนได้
“แต่งตัวเสร็จหรือยัง ข้ารอนานแล้วนะ”
“ทะ ท่านพี่ ยังอยู่อีกหรือเจ้าค่ะ ข้านึกว่าท่านกลับเรือนไปแล้ว” ลู่ชิงนิ่วหน้าเบื่อหน่าย อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะไม่ก้าวขาออกจากเรือนแล้วแท้ๆ แต่สามีตัวร้ายยังวอแวไม่เลิก อยากเอ่ยปากไล่เขาให้พ้นหน้าเสียจริง แต่ทำไม่ได้ ความจริงมันช่างโหดร้ายยิ่งนัก
“ข้ารอเจ้าไปกินอาหารเช้าด้วยกัน”
“จริงหรือเจ้าค่ะ พวกเรากินข้าวด้วยกันที่เรือนหลังนี้ได้ไหม สภาพร่างกายข้าไม่สู้ดีนัก” ร่างบางงุนงงเล็กน้อย ร้อยวันพันปีเขาไม่เคยคิดอยากกินข้าวกับนาง ความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนทำให้จื่อหานเปลี่ยนไปราวกับพลิกฝ่ามือเชียวหรือ มิใช่ว่าเขาเกิดลุ่มหลงนางขึ้นมาหรอกนะ น่าขนลุกเกินไปแล้ว
“ไม่ได้ ข้าต้องการกินข้าวข้างนอก รีบออกมา ข้าขี้เกียจฉุดลากเจ้าเต็มทน”
“เจ้าค่ะ” ลู่ชิงมองบนด้วยความหมั่นไส้ พลางก้าวออกจากเรือนด้วยจิตใจอันห่อเหี่ยว เขาไม่คิดว่านางจะอับอายผู้คนบ้างเลยหรือ จื่อหานทำดีได้เพียงเสี้ยววินาทีจริงๆ
“รีบก้าวสั้นๆ ของเจ้าให้เร็วขึ้นหน่อยได้ไหม ข้ารีบ!!”
“ท่านพี่จะพาข้าไปไหนเจ้าค่ะ”
“ข้าจะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตา อุดอู้อยู่แต่ในจวนมาหลายเดือนแล้ว”
“พวกเราไปวันอื่นไม่ได้หรือเจ้าคะ ข้าไม่ต้องการพบปะผู้คนด้วยสภาพเช่นนี้” เมื่อเห็นว่าร่างสูงดึงดันจะพานางออกไป ลู่ชิงจึงอ้อนวอนขอความเห็นใจ
“อย่ามาเรื่องมากกับข้า” ร่างสูงกระชากข้อมือเล็กขึ้นรถม้าโดยไม่ใส่ใจคำร้องขอเสียงเบา เขาผลักลู่ชิงให้นั่งลง ก่อนหันไปสั่งคนขับออกเดินทาง
“ไปเหลาอาหารเตียจิงฮ้ง”
“ท่านพี่ เหตุใดต้องไปที่นั่นด้วยเจ้าคะ” ลู่ชิงโวยวายเสียงดัง เหลาอาหารผู้คนพลุกพล่านยิ่งกว่าอะไร นางไม่มีทางรอดพ้นจากสายตาเหล่านั้นแน่นอน ทำแบบนี้เอามีดมาแทงนางให้ตายไปเลยเสียดีกว่า
“ข้าหิว ไปกินข้าวไม่ได้หรือไง”
“กินข้าวที่จวนก็ได้นี่เจ้าคะ ไม่เห็นต้องลำบากเดินทางเลย”
“เจ้าเป็นอะไรหนักหนา กลัวชู้รักช้ำใจตายหรือไง”
“เอ๊ะ ท่านพี่พาลเกินไปแล้วนะเจ้าค่ะ ข้ากับมู่เฉินไม่มีความสัมพันธ์กันแล้ว ข้าไม่อยากไปเหลาอาหารเพราะอับอายผู้คนต่างหาก ร่องรอยพวกนี้มองปราดเดียวก็รู้ว่าคืออะไร” ลู่ชิงเถียงกลับยืดยาว เห็นได้ชัดว่าเขากำลังจะพานางไปให้ผู้คนหัวเราะเยาะ
“นั่นเป็นเรื่องของเจ้า ไม่ใช่เรื่องของข้า” ร่างสูงไม่ยี่หระแม้แต่น้อย แถมยังตีมึนใส่นางอีกต่างหาก
ลู่ชิงอ้าปากค้างด้วยความเหลือเชื่อ จื่อหานหน้าด้านหน้าทนเกินไป นางไม่อาจตีฝีปากกับเขาได้ เมื่อเห็นว่าโต้เถียงกันไปก็ไร้ประโยชน์ ลู่ชิงจึงเบนสายตาออกไปนอกหน้าต่างแทน นางแง่งอนตัวโตตามประสาหญิงสาวผู้ถูกกระทำ
จื่อหานประคองลู่ชิงลงจากรถม้าท่ามกลางสายตาผู้คนด้วยความทนุถนอม เขาแสร้งเอาอกเอาใจนางตั้งแต่ก้าวเข้ามาในเหลาอาหารเตียจิงฮ้งจนกระทั่งถึงห้องรับรอง เสียงชื่มชมนินทาดังระงมทั่วร้านให้ได้ยินเป็นระยะ หัวข้อการสนทนาแปรเปลี่ยนเป็นเรื่องราวของนางทันทีโดยมิได้นัดหมาย ผู้คนในเมืองให้ความสนใจกับนางไม่น้อย
ลู่ชิงเบ้ปากไปมา การตกเป็นเป้าสายตาทำเอานางรู้สึกอึดอัดแทบหายใจไม่ออก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขานินทานางเรื่องอะไร ร่างบางเชิดหน้าขึ้นอีกครั้ง ในเมื่อนางไม่อาจหลีกเลี่ยงคำนินทาได้ อย่างนั้นก็ยอมรับด้วยความภาคภูมิใจไปเสียเลย
“เสี่ยวเอ้อ มานี่หน่อย” จื่อหานเรียกลูกจ้างตัวน้อยเสียงดัง
ยังไม่ทันที่เสี่ยวเอ้อคนนั้นจะขานรับ ทายาทเพียงคนเดียวของเหลาอาหารเตียจิงฮ้งก็เดินถือผ้าคลุมไหล่มาสวมทับให้ลู่ชิงอย่างถือวิสาสะ ทำเอาคนตัวโตโมโหเลือดขึ้นหน้ากันเลยทีเดียว
“ข้าไม่ได้เรียกเจ้า สาระแนเข้ามาทำไม เอาผ้าคลุมไหล่อันสกปรกออกไปจากเมียข้า”
“หึ กล้าเรียกนางว่าเมียได้เต็มปากเต็มคำ การกระทำของเจ้าช่างเหมือนสุนัขสิ้นดี” มู่เฉินต่อว่าเสียงเรียบ
“สุนัขแล้วอย่างไร สุดท้ายลู่ชิงก็เป็นของข้า เจ้ามันก็แค่สุภาพบุรุษไร้น้ำยาเท่านั้นแหละมู่เฉิน” จื่อหานแย้มรอยยิ้มร้ายออกมา เขาดูถูกอีกฝ่ายซึ่งหน้าด้วยความหยิ่งผยอง
“ลู่ชิงมิใช่สิ่งของ นางมีความรู้สึกมีหัวใจ แม้ว่าเจ้าจะได้ครอบครอง แต่เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายนาง”
“ทำร้ายนางหรือไม่ เป็นเรื่องครอบครัวข้า คนนอกเยี่ยงเจ้าไม่ควรสอดมือเข้ามา เจ้าเองก็เป็นสาเหตุให้นางถูกผู้คนติฉินนินทาเช่นเดียวกัน” จื่อหานโต้เถียงมู่เฉินไม่ลดละ เขาคาดไว้แล้วว่าร่องรอยบนร่างกายของลู่ชิงจะทำให้บุรุษหนุ่มผู้นี้ดิ้นพล่าน การเยาะเย้ยถากถางครั้งนี้สาสมใจยิ่งนัก
“ข้ากับลู่ชิงบริสุทธิ์ใจต่อกัน มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่แม้แต่หน้าที่ของสามียังทำให้ดีไม่ได้”
“เจ้า!!”
“ทะ ท่านพี่ พอก่อนเจ้าค่ะ ไปกินข้าวที่เหลาอาหารของพวกเราดีกว่า” ลู่ชิงรีบห้ามปรามเมื่อเห็นว่าสถานการ์ย่ำแย่ลง ร่างบางกอดเอวคนตัวโตเอาไว้ เพราะกลัวชายหนุ่มทั้งสองมีเรื่องชกต่อยกัน
“ชิงเออร์ เหลาอาหารหย่งเหอแทบไม่มีคนแล้ว เจ้าซื้ออาหารของข้ากลับไปกินที่จวนดีกว่า” มู่เฉินถากถางจื่อหานคืนบ้าง บุรุษผู้นี้ดีแต่ใช้กำลัง ไม่มีความรู้เรื่องการทำอาหาร จะดูแลกิจการให้รุ่งเรืองได้อย่างไร
“เหอะ แค่เหลาอาหารไปได้ดีกว่าทำเป็นอวดอ้าง”
“ข้าไม่เคยอวดอ้างผู้ใด ยกเว้นคนกักขฬะเยี่ยงเจ้า”
“มู่เฉิน!!! เจ้าอยากลองดีใช่ไหม”
“ทะ ท่านพี่ พวกเราไปกันเถอะเจ้าค่ะ อย่าเสียเวลาโต้เถียงอีกเลย” ลู่ชิงรีบลากแขนสามีออกจากเหลาอาหารด้วยความเร็ว นางไม่อาจปล่อยให้บุรุษทั้งสองทะเลาะกันต่อไปได้ แค่นี้ก็อับอายสายตาผู้คนจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
“กลัวชู้รักของเจ้าเจ็บตัวหรือไง” น้ำเสียงเดือดดาลกระแทกเข้ามาในโสตประสาทร่างบาง จื่อหานกำลังโมโหเดือดดาลอย่างบ้าคลั่ง ลู่ชิงจึงเลือกใช้วิธีเอาน้ำเย็นเข้าลูบเพื่อให้เขาสงบลง
“ท่านพี่เจ้าขา ชู้รักอะไรกัน หัวใจดวงน้อยของข้ามีท่านเพียงคนเดียว ข้าไม่เหลือตาไว้มองผู้ใดอีกแล้วเจ้าคะ ท่านพี่ใจเย็นลงก่อน”
“อย่ามาเสแสร้งต่อหน้าข้า” แม้ริมฝีปากหนาจะต่อว่านาง แต่ร่างกายกลับเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความแผ่วเบา ลู่ชิงมั่นใจว่าจื่อหานโอนอ่อนลงแล้ว นางจึงรีบเข้าไปปรนนิบัติต่อทันที
“ท่านพี่เจ้าขา ข้าจริงใจต่อท่านมากกว่าผู้ใด ท่านสั่งอะไรข้าก็ทำตามไม่เคยขัด เหตุใดต้องโมโหเพราะคำพูดยุแยงของมู่เฉินด้วยเล่า” ร่างบางนั่งลงบนตักเขา พลางใช้ฝ่ามือเรียวยาวลูบหน้าอกคนตัวโตเบาๆ เพื่อปลอบประโลม
“ช่างเถอะ เป็นดังเจ้าว่า ข้าไม่ควรเก็บคำพูดไร้สาระของเจ้าลูกเต่านั่นมาใส่ใจ”
“ท่านพี่เก่งกาจยิ่งนัก” ลู่ชิงเอ่ยชม นางส่งรอยยิ้มกว้างให้คนตัวโตจนเห็นฟันขาว สาวน้อยประจบประแจงสามีสุดกำลัง
“หึ เสี่ยวเออร์ ไปเรียกทุกคนในร้านมาพบข้าเดี๋ยวนี้” จื่อหานออกคำสั่งดุดัน ลูกจ้างพวกนี้ทำงานไม่ได้เรื่องสักคน พวกมันสมควรถูกลงโทษให้หลาบจำ
“หืมมม เรื่องเร่งด่วนหรือเจ้าคะ ตอนนี้เหลาอาหารยังมีลูกค้าอยู่ประปราย รอให้พวกเขาทำงานเสร็จก่อนดีหรือไม่" ลู่ชิงเสนอแนะอีกฝ่ายด้วยความหวังดี
“เหลาอาหารหย่งเหอปิดแล้ว เชิญทุกท่านออกไปได้ ใครกินข้าวไม่อิ่มไปกินต่อที่อื่น”
“ทะ ท่านพี่ ไล่ลูกค้าแบบนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ”
“ข้าเป็นเจ้าของเหลาอาหาร จะไล่ใครก็ได้ วันนี้ไม่มีอารมร์ขาย อยากปิดร้าน”
“เหอะ เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ รอวันเจ๊งได้เลย” ลู่ชิงพึมเพาเสียงเบา พฤติกรรมป่าเถื่อนของเขาทำนางปวดใจไม่น้อย ด้วยอาชีพเชฟที่ร่ำเรียนมา การกระทำเช่นนี้ช่างขัดหูขัดตานางเสียเหลือเกิน
“พวกเจ้ายืนเรียงแถวหน้ากระดานทีละคน” จื่อหานไม่สนใจลู่ชิงอีกต่อไป เขากำลังวางแผนทำร้ายร่างกายลูกจ้างด้วยความโมโห ไม่ได้เข้ามาตรวจสอบเหลาอาหารเพียงเดือนเดียว ลูกจ้างปัญญาอ่อนพวกนี้ทำเขาขาดทุนย่อยยับ
“คุกเข่าลง เอามือประสานกันไว้บนศีรษะ”
“ท่านพี่ จะทำอันใดเจ้าค่ะ”
ชั่วพริบตาเดียว ลูกจ้างทั้งหมดต่างลงไปกองกับพื้นกันระเนระนาด จื่อหานฟาดฝ่าเท้าใส่หน้าอกพวกเขาไม่ยั้ง ร่างสูงกำลังจะตามไปกระทืบซ้ำ แต่ถูกลู่ชิงเอ่ยห้ามปรามเอาไว้เสียก่อน
“พะ พอก่อนเจ้าค่ะ ตีพวกเขาให้ตายก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ท่านพี่ลดโทสะลงบ้างได้หรือไม่ พวกเราหาทางแก้ไขร่วมกันดีกว่า”
“แก้ไขอะไร พวกมันสมควรตายมากกว่า” จื่อหานฉุดเฉียวมาก เขาขาดทุนย่อยยับ แถมยังถูกเจ้าลูกเต่านั่นเยาะเย้ยถากถาง เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้
“ขอเพียงท่านพี่ไว้ชีวิตพวกเขา ข้าจะทำให้เหลาอาหารหย่งเหอกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง” ลู่ชิงต่อรองเสียงสั่น นางไม่อาจทนดูจื่อหานรังแกลูกจ้างตาดำๆ ได้ ยังไงก็เรียนทำอาหารมาแล้ว ลองดูสักตั้งจะเป็นไรไป
“เจ้าแน่ใจหรือว่าทำได้” ร่างสูงเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ พลางก้มลงกระซิบข้างหูเสียงเบา ปลายนิ้วแกร่งเวียนวนลูบไล้ซอกคอขาวด้วยความหื่นกระหาย ร่างบางเขินอายจนแก้มนวลมีริ้วรอยสีแดงสดพาดผ่าน
“แน่ใจเจ้าค่ะ ท่านพี่ให้โอกาสข้าสักครั้งได้หรือไม่”
“ได้สิ หากเจ้าต้องการย่อมได้” จื่อหานตกปากรับคำทันทีเมื่อได้สบตากลมโตสว่างไสว ร่างสูงชะงักงันไปชั่วขณะ เขาไม่คิดเลยว่าตนเองจะทำเรื่องโง่ๆ พรรณนี้ได้ เหตุใดถึงใจอ่อนกับลู่ชิงเล่า
เมื่ออายุครรภ์ของลู่ชิงครบห้าเดือน อาการแพ้ต่างๆ จึงเลือนหายไป จื่อหานสามารถเข้าใกล้นางได้แล้ว แถมอารมณ์ฉุนเฉียวก่อนหน้านี้ก็จืดจางลงไปมาก หลังจากอดทนอดกลั้นมานาน ช่วงเวลานาทีทองของจื่อหานก็กำลังจะกลับมาอีกครั้ง ร่างสูงวางแผนจับฮูหยินสุดที่รักกินไว้เสียดิบดี ก่อนหน้านี้ทำได้เพียงแอบลูบ แอบคลำ มีโอกาสแล้วจะสำเร็จโทษให้สาสมใจภายในห้องน้อนอันกว้างใหญ่ แมวน้อยลู่ชิงกำลังเพลินเพลินใจกับฝีมือบีบนวดของสามี จื่อหาน ทุ่มเทปรนิตินางอย่างดีตั้งแต่รู้ว่าตั้งครรภ์“ท่านพี่ ข้าไม่ปวดแล้วเจ้าค่ะ” ร่างบางก้มหน้าบอกสามีที่กำลังนวดฝ่าเท้า นางแตะหลังมือเขาแผ่วเบาเป็นเชิงบอกว่าเลิกบีบนวดได้“ฝ่าเท้าเจ้าบวมขึ้นหรือไม่” จื่อหานพิจารณาอยู่พักใหญ่ก่อนเอ่ยถาม นอกจากอาการปวดที่นางชอบบ่นให้ฟังยังมีเนื้อหนังที่เต่งตึงขึ้นมา“นิดหน่อยเจ้าค่ะ ช่วงนี้ข้าขยันเดินจนลืมระมัดระวัง”“อ๊ะ ท่านพี่ ตีก้นข้าทำไม” ลู่ชิงโอดครวญเสียงใสเมื่อฝ่ามือใหญ่ฟาดลงบั้นท้ายงอนงามเต็มแรง“สั่งสอนเด็กดื้อให้หลาบจำ” จื่อหานย้ำเตือนความผิดนาง“เหอะ ท่านหลอกกินเต้าหู้ข้าต่างหาก เอามือข้างขวาออกจากหน้าอกข้าเดี๋ยวนี้” ร่างบางจ้องมองชายหนุ่มตา
ความสงบสุขในชีวิตจื่อหานผ่านไปรวดเร็วมากหลังจากภรรยาผู้แสนดีเริ่มมีปากมีเสียง ทุกอย่างในจวนแปรเปลี่ยนฉับพลัน หากจะบอกว่าหน้ามือกลายเป็นฝ่าเท้าคงไม่แปลกนัก ลู่ชิงอาละวาดด่าทอสามีไม่เว้นวัน นางหาเรื่องมากลั่นแกล้งจื่อหานสารพัดจนเขาแทบร้องไห้ ทำอะไรไม่พอใจนิดหน่อยก็ชี้หน้าด่ากราด ชายหนุ่มไม่อาจปริปากโต้เถียงได้เลยนอกจากนี้ร่างบางยังเกียจคร้านขึ้นมาก นางจิกหัวใช้สามีก่อนนอนทุกคืน จื่อหานจึงต้องรับหน้าที่เป็นหมอนวดไปโดยปริยาย ลู่ชิงเอาแต่ใจเหลือเกิน ไม่รู้ว่านางเกิดความผิดปกติอันใด“ท่านพี่ ข้าอยากกินถังหูลู่เจ้าค่ะ” ลู่ชิงขมวดคิ้วออกคำสั่ง นางกำลังรู้สึกเคร่งเครียดมากๆ ใบหน้าคมของจื่อหานรกหูรกตาชะมัด“เดี๋ยวข้าใช้เจียวเหมยไปซื้อให้”“ข้าอยากกินลูกท้อด้วยเจ้าค่ะ”“องครักษ์เว่ยไปซื้อลูกท้อมาให้ฮูหยิน”“ข้าอยากกินหม้อไฟจากเหลาอาหารหย่งเหอ”“เจ้าอยากกินอะไรนักหนาลู่ชิง” จื่อหานนิ่วหน้าถามอีกครั้ง น้ำเสียงห้วนๆ กระตุ้นต่อมเกรี้ยวกราดของร่างบางได้เป็นอย่างดี นางต่อว่าสามีเสียงดังลั่น“ท่านพี่เสียงดังใส่ข้าทำไม!! ไม่พอใจหรือเจ้าคะ”“เฮ้อ ข้าหมายถึงเจ้ากินเยอะเกินไป” ชายหนุ่มแก้ตัวด้วยความเหน็ดเ
การทำซิ่วท้อของลู่ชิงเป็นไปด้วยความยากลำบาก นางเสาะหาวัตถุดิบหลักอย่างมันม่วงไม่ได้เลย แม้ว่าอยากลองใช้วัตถุดิบอื่นเช่น มันเทศ ถั่วแดง หรืองาดำ ทำไส้มากแค่ไหน แต่นางต้องทำซิ่วท้อไส้มันม่วงให้สำเร็จเสียก่อน เนื่องจากขนมชนิดนี้ล่ำลือกันว่าเป็นสูตรลับ หากทำสำเร็จอาจเพิ่มฐานลูกค้าได้ จากนั้นจึงค่อยประยุกต์ใส่ไส้อื่นเข้าไป เหลาอาหารหย่งเหอต้องขายดีอีกเท่าตัว“เฮ้อ ข้าจะทำยังไงดี ทำไมมันม่วงหายากหาเย็นนัก” ลู่ชิงโอดครวญออกมาขณะเกลือกกลิ้งอยู่บนศาลาริมน้ำ“ฮูหยินกลุ้มใจมากหรือเจ้าค่ะ” สาวใช้ร่างท้วมเอ่ยถาม พักนี้ฮูหยินชอบขมวดคิ้วทุกวัน นางจึงเกิดอาการเป็นห่วงเจ้านายขึ้นมา“ใช่ ข้ากลุ้มใจจะตายอยู่แล้ว อยากได้มันสีม่วงมาทำอาหาร”“หากตลาดในเมืองไม่มี พวกเราออกไปดูตลาดชานเมืองกันไหมเจ้าคะ แถวนั้นชาวบ้านมักเก็บของป่ามาขาย” ซูเจียวเสนอแนะหนทางแก้ไขปัญหา“จริงหรือซูเจียว ทำไมเจ้าไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้” ลู่ชิงตื่นเต้นมาก นางไม่เคยออกไปรอบชานเมือง มาก่อน จึงไม่รู้ว่ามีตลาดขายของป่า“อะ เอ่อ พอดีระยะทางค่อนข้างไกลนิดหน่อยเจ้าค่ะ ฮูหยินต้องขออนุญาตนายท่านก่อน” สาวใช้ร่างท้วมติดอ่างกะทันหัน เหตุใดนางจึ
เหลาอาหารหย่งเหอขายดิบขายดีมาก ลู่ชิงจึงต้องรับหน้าที่เป็นผู้ดูแลไปโดยปริยาย เนื่องจากพักนี้จื่อหานทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ไปดูแลเหลาสุรา ยาดองเหล้าสูตรใหม่ของลู่ชิงขายดีมาก ทั้งสูตรม้ากระทืบโรง นารีรำพึง โด่ไม่รู้ล้ม หรือกำลังช้างสาร ต่างมีสรรพคุณบำรุงร่างกายบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือชาวบ้านทั่วไป ล้วนเดินทางมาใช้บริการจำนวนมาก จื่อหานพึ่งตระหนักได้ว่าปัญหานี้ใหญ่หลวงนัก เกินกว่าจะคาดเดาได้กิจการทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี แต่ลู่ชิงยังมีปัญหาคาใจเรื่องสูตรลับของตระกูลอยู่บ้าง นางคิดยังไงก็คิดไม่ออกเสียที ผู้คนรอบตัวต่างบอกว่าขนมที่นางทำยากจะลอกเลียนแบบได้ แต่กลับไม่มีผู้ใดอธิบายวิธีการทำหรือรูปลักษณ์ออกมาอย่างชัดเจน ในหัวนางเองก็ไม่มีความทรงจำของร่างเดิมหลงเหลืออยู่สักนิด คิดไม่ออกเลยว่าสูตรลับที่ผู้คนต้องการนักหนาคืออะไร รู้เพียงว่ามันคือขนมชนิดหนึ่งเท่านั้น“ซูเจียว วันนี้ท่านพี่ไปเหลาสุราใช่หรือไม่” ลู่ชิงเอ่ยถามสาวใช้ขณะนั่งเล่นในสวน นางมีเรื่องราวคับข้องใจหลายอย่างอยากสอบถามเขา“เจ้าค่ะฮูหยิน”“อืม เตรียมรถม้าให้ข้าหน่อยสิ ข้าจะไปเหลาสุรา”“ตะ แต่ นายท่านไม่ต้องการให้ฮูหยินไปที่นั่นน
ความสงบสุขกลับมาเยือนลู่ชิงอีกครั้ง ชีวิตประจำวันของนางวุ่นวายอยู่กับการดูแลเหลาอาหารหย่งเหอเป็นหลัก ทุกอย่างรอบตัวกำลังดำเนินไปด้วยความราบรื่น จื่อหานเองก็ทำตัวดีขึ้นไม่น้อยเช่นกัน เขาเชื่อใจนางมากกว่าเดิมหลายเท่า ส่วนลู่เองชิงก็เอาอกเอาใจสามีไม่ขาด ความสัมพันธ์ของทั้งคู่หวานหยดย้อยราวกับน้ำผึ้งเดือนห้า ไม่ว่าจะไปทำงานที่ไหน จื่อหานต้องคอยรายงานลู่ชิงเพื่อให้นางสบายใจทุกครั้ง“ฮูหยินเจ้าคะ รถม้าเตรียมพร้อมแล้ว” ซูเจียวเอ่ยเตือนพลางขบขัน พักนี้ฮูหยินของนางชอบเหม่อลอยคิดถึงนายท่านอยู่เสมอ“อืม รีบไปกันเถอะ เย็นนี้ข้าอยากลองทำอาหารหลายอย่าง” ลู่ชิงตอบรับสาวใช้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นางชื่นชอบการทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจ พอได้ออกไปซื้อวัตถุดิบทีไรเป็นต้องมีความสุขจนหน้าบานทุกที“เจ้าค่ะ”“อ้อ ท่านพี่จะกลับจากเหลาสุราเมื่อไหร่” ร่างบางสอบถามอีกครั้งเมื่อนึกขึ้นได้ จื่อหานเร่งรีบออกไปก่อนนางตื่นเสียอีก คาดว่าคงมีปัญหาใหญ่โตที่ต้องแก้ไข“ประมาณยามเว่ยเจ้าค่ะ นายท่านอยากกลับมารอกินอาหารเย็นพร้อมฮูหยิน”“เยี่ยมเลย ท่านพี่จะได้ลองชิมอาหารชนิดใหม่ด้วยกัน” ลู่ชิงอุทานออกมาอย่างมีความสุข ในหัวเล็กๆ เต็มไ
สถานการณ์ระหว่างลู่ชิงกับมู่เฉินตึงเครียดขึ้นมาก ร่างบางตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนนับร้อย สาวน้อยฝืนยิ้มจืดเจื่อนออกมา คาดหวังว่าสถานการณ์ตรงหน้าจะผ่อนคลายลงบ้าง แต่นางกลับคิดผิดถนัด ความเงียบงันเริ่มปกคลุมทั่วบริเวณอีกครั้ง“อะ เอ่อ ข้าขอตัวกลับก่อนนะ” ลู่ชิงเอ่ยลาไม่ปิดบัง นางต้องการหลีกหนีความอึดอัดที่กำลังเผชิญอยู่โดยไว“เดี๋ยวสิ ข้ามีเรื่องอยากปรับความเข้าใจกับเจ้า” มู่เฉินรั้งแขนนางไว้ สายตาวิงวอนถูกส่งมาให้ลู่ชิงเป็นระยะ หากร่างบางปฏิเสธขึ้นมา เรื่องนี้อาจไม่จบลงอย่างง่ายดาย“งะ งั้นหรือ คุยกันตรงนี้ไม่เหมาะสมเท่าไหร่ เจ้าอยากดื่มชาสักถ้วยไหม” ลู่ชิงหาวิธีหลบเลี่ยงสายตาผู้คนทั้งหลาย“ได้สิ เจ้านำทางไป”“ข้าต้องการใช้ห้องรับรองส่วนตัว” เมื่อเดินทางมาถึงร้านขายน้ำชา มู่เฉินก็แจ้งความประสงค์ต่อเสี่ยวเอ้อก่อนเดินขึ้นบันไดไป“ห๊าาา มะ ไม่ได้ๆ ข้าแต่งงานแล้ว ส่วนเจ้าเองก็มีคู่หมั้น พวกเราไม่ควรทำตัวเกินงาม” ลู่ชิงคัดค้านเสียงหลง นางโบกไม้โบกมือไม่เห็นด้วยยกใหญ่ การกระทำเช่นนี้สมควรตายนัก มู่เฉินกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องพูดคุยกับเจ้า” ชายหนุ่มเบาเสียงลงเมื่อเห็นนางลำบา