หลังจากที่เธอหมดสิ้นลมหายใจ เจิ้งซิงอีคิดว่าทุกอย่างคงจะจบสิ้นลงแล้วในชาติภพนี้
ต่อจากนี้เธอคงต้องเดินทางไปชดใช้กรรมในสิ่งที่เคยก่อ และวิญญาณชั่วร้ายเช่นเธอคงไม่พ้นต้องตกนรก
แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อเธอไม่อาจที่จะไปไหนได้ กลายเป็นเพียงดวงวิญญาณที่ล่องลอย วนเวียนอยู่ในภพภูมินั้น
หลังจากหมดลมหายใจไปแล้ว เธอคิดว่าความเจ็บปวดที่ได้รับเหล่านั้นจะจางหาย
แต่เธอกลับยิ่งต้องพบกับความเจ็บปวดทบทวี ทุกข์ทรมานเสียยิ่งกว่าตาย เพราะเธอต้องทนมองผลของการกระทำของตัวเธอเอง
บิดามารดาที่รักและถนอมเธอที่สุด ต้องอับอายกับคำติฉินนินทาของผู้คน เพราะการกระทำอันน่ารังเกียจของเธอ และตรอมใจกับการตายของเธอจนล้มป่วย ใบหน้าที่มักจะมีรอยยิ้มเมตตาอยู่เป็นนิจกลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้าหม่นหมอง ร่างกายซูบผอมลงทุกวัน รอเวลาที่จะได้ตายตามบุตรสาวอันเป็นที่รักไป
พี่ชายทั้งสามของเธอที่ต้องการทวงความยุติธรรมกับการตายที่คลุมเครือให้น้องสาวเช่นเธอ กลับถูกอีกฝ่ายเล่นงานจนแทบจะไร้ที่ซุกหัวนอน
พี่ใหญ่เจิ้งโฮ่ว ถูกแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกาย และพยายามฆ่า เพราะบุกเข้าไปทำร้ายร่างกายของหวังลู่เสียน ทั้งที่ฝ่ายนั้นบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่พี่ชายของเธอกลับถูกเรียกค่าเสียหายหลายหมื่นหยวน แลกกับการไม่ต้องถูกดำเนินคดี
พี่รองเจิ้งเอ้อร์ ที่ทำการค้าขาย ถูกกลั่นแกล้งจนร้านค้าต้องถูกปิด หมดสิ้นหนทางในอาชีพค้าขาย
พี่สามเจิ้งซานถูกปลดออกจากการเป็นทหาร อาชีพที่เขารักและภาคภูมิใจ และไม่มีการแต่งงานที่ดี
หลานชายทั้งสองของเธอต้องอยู่อย่างอดอยาก ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสืออีกต่อไป
แต่พวกเขาเหล่านั้นกลับไม่เคยกล่าวโทษว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขานั้นเป็นความผิดของเธอเลย ทุกๆ ปีในวันครบรอบวันตายของเธอทุกคนยังคงโศกเศร้ากับการจากไปของเธอ และยังคงระลึกถึงเธออยู่เสมอ
ส่วนคนชั่วพวกนั้นกลับยังเชิดหน้าชูตาอยู่ในวงสังคม เป็นที่นับหน้าถือตาของผู้คน ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของคนอื่น
นั่นทำให้เธอไม่อาจที่จะยอมรับได้
เธอยังจดจำเรื่องราวและความรู้สึกเหล่านั้น จดจำ จนฝังลึกอยู่ภายในใจ สิ่งที่เกิดขึ้นมันเลวร้ายมากจนยากที่จะทำใจได้ไหว เธอไม่อาจทำใจยอมรับได้ และไม่มีวันยอมรับเด็ดขาด
ความผิดที่เธอได้กระทำกับพวกเขา มันกลายเป็นตราบาปที่ทำให้เธอเหมือนกับกำลังตกนรกหมกไหม้ เธอต้องสูญเสียทุกอย่างในชีวิต สูญเสียความเป็นคน แม้กระทั่งลมหายใจ
คนที่เธอทำผิดต่อเขามากที่สุดมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย ต้องอยู่อย่างทุกข์เข็ญและน่าเวทนา
เสิ่นหนิงหลงที่ถูกทำร้ายร่างกาย เขาต้องกลายเป็นคนพิการ ขาของเขาข้างหนึ่งบาดเจ็บสาหัสจนผิดรูป ไม่อาจที่จะกลับมาเดินเหิน ใช้งานได้เหมือนปกติอีกต่อไป
แต่ถึงแม้ว่าเธอจะทำร้ายเขามากมายแค่ไหน แต่คนผู้นั้นก็ยังคงโง่เขลา เธอทำกับเขาถึงเพียงนั้น เขากลับไม่เคยที่จะกล่าวโทษเธอ หรือโกรธเกลียดเธอเลย
คนที่เธอคิดว่าเขาร้ายกาจและเกลียดชังเธอ กลับเป็นคนที่รักและดีกับเธอที่สุด
เสิ่นหนิงหลงมักจะนำดอกไม้สวยๆ มาเคารพหลุมศพเธอในทุกๆ วัน และอยู่พูดคุยกับเธอ ราวกับว่าเธอไม่เคยทำให้เขาต้องเจ็บช้ำน้ำใจ
และการที่เขาพูดเรื่องราวต่างๆ ออกมา มันทำให้เธอได้รู้อะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เคยรู้ นั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิดและยิ่งรู้สึกเสียใจ
เธอติดค้างเขามากมายเหลือเกิน
ขอโทษ ขอโทษจริงๆ
เธอเฝ้าเอ่ยคำคำนี้กับเขาทุกครั้งที่เขามา แต่ก็รู้ดีว่าเขาไม่มีวันที่จะได้ยิน
ในวันนี้ ผู้ชายที่เธอเกลียดเขานักหนา เขาก็มาหาเธออีกแล้ว
เสิ่นหนิงหลงกำลังคุกเข่าอยู่หน้าหลุมศพของเธอ วางดอกไม้ในมือลงอย่างทะนุถนอม
หากเธอเปิดใจยอมรับเขา ไม่หลงเชื่อคำพูดหวานหูและวาจาหลอกลวงของหวังลู่เสียน เธอคงจะเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุด ที่มีสามีเช่นเสิ่นหนิงหลง ผู้ชายที่ทำทุกอย่างเพื่อเธอ และ รักเธอด้วยหัวใจจริงๆ
เพราะเธอโง่งมหลงเชื่อคนชั่วจึงทำให้กลายเป็นเครื่องมือที่อีกฝ่ายใช้ทำร้ายเขา ทุกอย่างจึงต้องเป็นเช่นนี้
"อีอี พี่รักเธอ รักมาตลอด"
คนโง่ มาบอกอะไรเอาตอนนี้ ไม่ใช่ว่าตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่จะเอาแต่กล่าวคำจิกกัดและกลั่นแกล้งเธอหรอกหรือ
คำสารภาพรักของเสิ่นหนิงหลง ทำให้เธอยิ้มออกมาทั้งน้ำตา รับฟังคำพูดมากมายที่ออกมาจากปากของเขา คำพูดที่เมื่อครั้งที่มีชีวิตอยู่เขาไม่เคยพูด หรือจะเป็นเธอเองที่ไม่เคยคิดจะรับฟังก็ไม่ทราบได้
แต่แล้วการเคลื่อนไหวของคนผู้หนึ่งที่เธอสัมผัสได้ทำให้ดวงจิตของเธอร้อนรุ่ม
เจิ้งซิงอีมองไปยังคนที่ซ่อนตัวอยู่ด้วยความตื่นตระหนกเพราะคนผู้นั้นกำลังเล็งอาวุธสังหารไปยังเสิ่นหนิงหลง
"พี่หนิงหลงระวัง"
ปัง ปัง ปัง
ไม่!!!!
ภาพของคนที่คุกเข่าอยู่หน้าหลุมศพของเธอล้มลงไปต่อหน้า เลือดสีแดงฉานไหลทะลักออกมาจากร่างกายของเขา เจิ่งนองไปทั่วบริเวณหลุมศพ นั่นทำให้เจิ้งซิงอีกรีดเสียงร้องออกมาอย่างไม่ยินยอม
เขาสูญเสียทุกอย่างไปหมดแล้ว แต่คนชั่วพวกนั้นก็ยังไม่คิดที่จะละเว้นชีวิตของเขา
พวกสารเลว
เจิ้งซิงอีรู้สึกว่าวิญญาณโปร่งแสงนี้คล้ายจะแตกสลาย
ความคั่งแค้นไม่ยินยอมทำให้ดวงวิญญาณที่ล่องลอย กรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เกิดเป็นลมกระโชกรุนแรง ท้องฟ้าเบื้องบนแปรปรวนมืดครึ้มไปทั่วทั้งผืนนภา ก่อนจะเกิดเป็นสายฟ้าแลบแปลบปลาบและผ่าลงมาตรงวิญญาณที่กำลังคลุ้มคลั่ง
แสงแดดอ่อนๆ ส่องกระทบใบหน้ายิ้มแย้มของคู่สามีภรรยาที่กำลังประคับประคองกันเดินเข้ามาในตลาดยามเช้า พวกเขาทั้งสองยืนมองตลาดสดที่คึกคักไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อข้าวของกันอย่างคับคั่ง บรรดาพ่อค้าแม่ค้าขายของกันมือเป็นระวิง เสียงหัวเราะและการพูดคุยเจื้อยแจ้วของผู้คนดังก้องไปทั่วบริเวณ เรือนร่างที่ดูอวบอิ่มมีน้ำมีนวลขึ้นของเจิ้งซิงอีเดินตามการประคองของสามี หญิงสาวยืนอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย แต่ใบหน้างามกลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ เจิ้งซิงอีมองไปรอบๆ ตลาดแห่งนี้ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ นี่คือตลาด 'สร้างสุข' ตลาดสดที่สร้างขึ้นด้วยมือและน้ำพักน้ำแรงของทุกคน ตอนนี้มันกำลังเติบโตขึ้นมาอย่างมั่นคงตลาดแห่งนี้เปิดให้บริการมาได้กว่าสามเดือนแล้ว และเป็นสามเดือนที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับทุกคนจนน่าตกใจ เจิ้งซิงอีลูบหน้าท้องของตัวเองที่นูนเด่นออกมาด้วยความรักใคร่ วันนี้เธอจะพาเจ้าก้อนแป้งมาเดินชมตลาดของครอบครัว ดวงหน้างามระบายไปด้วยรอยยิ้ม ตลาดแห่งนี้เติบโตมาพร้อมๆ กับบุตรในท้องของเธอที่ตอนนี้กำลังย่างเข้าเดือนที่สี่แล้ว และนี่นับเป็นครั้งแรกที่เธอได้มาเห็นตลาดแห่งนี้ด้ว
เจิ้งซิงอีลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก ทันทีที่รู้สึกตัวฝ่ามือบางรีบวางทาบลงบนหน้าท้องแบนราบของตนในทันที แต่เธอก็ต้องประหลาดใจเมื่อตอนนี้เธอไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นอาการเจ็บปวดตามร่างกายจากการหกล้มหรืออาการเจ็บหน่วงบริเวณท้องน้อย ราวกับว่าก่อนหน้านี้เธอไม่เคยได้รับความเจ็บปวดใดๆ มาก่อนหญิงสาวกวาดตามองสำรวจไปรอบๆ เมื่อรับรู้ถึงความผิดปกติ พลันรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งกายเมื่อพบเพียงความว่างเปล่า เธอมองเห็นเพียงหมอกหนาทึบโอบล้อมอยู่รอบๆ เพียงเท่านั้น ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นอย่างพยายามระงับความหวาดกลัวที่กัดกินใจ เอ่ยเรียกสามีน้ำเสียงสั่น เธอหวังอย่างยิ่งว่าจะได้ยินเสียงของเขาตอบกลับมา"พี่หนิงหลง สามีคะ พี่อยู่ไหน"แต่เหมือนว่าเธอต้องพบกับความผิดหวัง เพราะทันทีที่เปล่งเสียงออกไป เธอกลับได้ยินเพียงเสียงสะท้อนของตัวเองตอบกลับมาเท่านั้นเจิ้งซิงอีชันกายลุกขึ้นยืน พยายามมองฝ่าหมอกหนาด้วยหัวใจที่สั่นสะท้าน เธอไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เหตุใดถึงได้มาอยู่ในสถานที่นี้ได้ หรือเธอจะตายไปแล้วและกลายมาเป็นวิญญาณอีกครั้งดวงตาหวาดหวั่นหันมองความว่างเปล่ารอบกาย ภายในใจรู้สึกเจ็บปวดอย่
เจิ้งซิงอีเนื้อตัวสั่นเทา เอ่ยอ้อนวอนคนตรงหน้าที่ตอนนี้ดวงตาทั้งสองแดงก่ำเต็มไปด้วยโทสะ เธออยากจะขยับหนีแต่ไม่อาจทำได้ เพราะรู้สึกเจ็บร้าวไปหมดทั้งตัว และบริเวณข้อเท้าก็รู้สึกเจ็บแปลบ คงทำได้แค่ถ่วงเวลาให้นานที่สุดเท่านั้น ภาวนาให้คนเป็นสามีรู้ว่าเธอหายตัวไปโดยเร็วหวังลู่เสียนในตอนนี้ดูน่ากลัวมาก เขาคล้ายกับคนเสียสติ เธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปทำอะไรมาถึงได้มีสภาพเช่นนี้ หยาดเลือดที่ไหลซึมจากบาดแผล ทำให้เสื้อผ้าเปียกชุ่มกลายเป็นสีแดงฉาน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนเธอรู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากจะอาเจียน"ซิงอีทำไมพูดแบบนั้น ไม่รักกันแล้วหรือ ทำไมละ เธออยากจะอยู่กับพี่มาตลอดไม่ใช่หรอกหรือ"ดวงตาของหวังลู่เสียนไหววูบกับคำอ้อนวอนนั้น ก่อนจะคลี่ยิ้มเอ่ยถามเสียงเย็น ท่าทางหวาดกลัวจนตัวสั่นและความเกลียดชังในแววตาของหญิงสาวทำให้ภายในใจรู้สึกไม่พอใจและไม่ยินยอมทำไมล่ะ เธอรักเขา อยากอยู่กับเขามาตลอดนี่ ทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนใจ ทำไมเธอถึงจะทิ้งเขาไปล่ะ ชีวิตของเขาในตอนนี้ไม่เหลือใครแล้ว คำถามมากมายเกิดขึ้นภายในใจของหวังลู่เสียน ภาพของเด็กหญิงที่คอยอยู่ข้างกายเขา คอยปกป้อง คอยปลอบใจเขายามเมื่อทุกข์ใจผุดขึ้นม
ในที่สุดตำรวจก็คลี่คลายปมคดีการตายของเสิ่นจงได้ เขาไม่ได้ป่วยตายอย่างที่คิดจริงๆ แต่ตายเพราะถูกฆาตกรรมตำรวจสืบเสาะจนกระทั่งพบหลักฐานสำคัญที่ชี้ไปยังตัวฆาตกรว่าเป็นซูหลันผู้เป็นภรรยาและหวังลู่เสียนลูกเลี้ยงของเขาเอง และหลักฐานสำคัญคือผลตรวจเนื้อเยื่อในซอกเล็บของผู้ตายที่ส่งมาจากปักกิ่ง ชี้ชัดว่าเป็นของหวังลู่เสียนเมื่อพร้อมด้วยพยานหลักฐาน หยางตงฟง นายตำรวจหนุ่มผู้รับผิดชอบคดีจึงนำกำลังเข้าจับกุมสองแม่ลูกมาดำเนินคดี หลังจากนั้นจึงค่อยส่งข่าวให้เสิ่นหนิงหลงพี่ชายคนสนิทผู้เป็นเจ้าทุกข์รับทราบแต่ไม่คิดเลยว่าเมื่อไปถึงบ้านเช่าของสองแม่ลูก กลับพบกับกลุ่มชาวบ้านหลายสิบคนภายในบ้าน พวกเขากำลังมุงดูและวิพากษ์วิจารณ์บางอย่างด้วยอาการตื่นตกใจเหล่าชาวบ้านเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต่างพากันหลีกทางให้ แล้วมายืนสังเกตการณ์กันอยู่ห่างๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นหยางตงฟงนำกำลังเข้าไปในบ้านทันที เมื่อเข้าไปตรวจสอบก็พบว่าภายในบ้านนั้นมีร่องรอยการต่อสู้ ข้าวของถูกรื้อค้นกระจุยกระจายจนกระทั่งเดินลึกเข้าไปภายในตัวบ้านนายตำรวจหนุ่มมีสีหน้าตึงเครียดในทันที เมื่อพบกับร่างไร้วิญญาณของซูหลันถูกฆ่าตายด้วยอาวุ
ยิ่งตลาดใกล้จะเปิดให้บริการเจิ้งซิงอีก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น ในตอนนี้ทุกคนต่างก็มีงานล้นมือและยุ่งจนหัวหมุน สามีของเธอต้องออกจากบ้านพร้อมกับพี่ใหญ่และพี่รองตั้งแต่เช้าทุกวัน กว่าจะได้กลับบ้านก็มืดค่ำ ส่วนพี่สามแม้จะกลับค่ายทหารไปแล้วแต่ก็นำเงินเก็บที่มีมอบไว้ให้เธอส่วนตัวเธอเองก็มีหน้าที่จัดการงานเกี่ยวกับเอกสาร บัญชีรายจ่ายในการก่อสร้างตลาดทั้งหมด และรายรับในส่วนของค่าเช่าแผงที่เหล่าพ่อค้าแม่ค้ามาวางมัดจำเอาไว้ แม้ว่าเธอจะทำงานอยู่กับบ้านแต่ก็ยุ่งวุ่นวายจนหัวหมุนเหมือนกัน และจากหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ ทำให้เจิ้งซิงอีหลงลืมทุกอย่างและแทบจะไม่มีเวลาให้ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลยทางด้านหนึ่งที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับกิจการการงานที่กำลังเติบโต อีกด้านหนึ่งก็กำลังเกิดความโกลาหลขึ้นเช่นเดียวกัน แต่เป็นความโกลาหลที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงเพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!ฝ่ามือใหญ่รื้อค้นข้าวของภายในบ้านก่อนจะจับทุ่มลงกับพื้นอย่างแรงจนมันแตกกระจัดกระจาย ใบหน้าดำคล้ำบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น ดวงตาสีดำสนิทฉายแววอันตราย อาวุธปืนในมือกวัดแกว่งไปมาชี้หน้าสองแม่ลูกที่กำลังกอดกันตัวสั่นเทาหวังลู่เสียนไม่คิดเลยว
หวังลู่เสียนกลับบ้านมาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม เขาอารมณ์ดีอย่างที่สุดที่สามารถกำจัดคนพวกนั้นไปได้โดยที่ไม่ต้องเสียเงินแม้แต่หยวนเดียว ไม่เสียแรงที่เขาต้องเค้นสมองวางแผนการอยู่หลายวัน"ไอ้ชั่วพวกนั้นมันถูกตำรวจจับไปหมดแล้วหรือ ดีจริงๆ"ซูหลันหลังจากที่ได้รู้เรื่องจากปากบุตรชาย ว่าพวกในบ่อนถูกตำรวจจับเข้าซังเตในข้อหาค้ายาเสพติดไปแล้ว ใบหน้าที่มืดครึ้มมาตั้งแต่เช้าหลังจากที่บุตรชายบอกกับนางว่าจะเอาเงินไปใช้หนี้ให้บ่อนก็ปรากฏรอยยิ้มกระจ่างเต็มหน้า นางดีอกดีใจยกใหญ่จนแทบจะจุดพลุฉลอง ซูหลันรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง โชคดีเหลือเกินที่กำจัดอุปสรรคใหญ่ในชีวิตออกไปได้หลายวันมานี้แม้ว่าจะได้เงินประกันมาก้อนโต แต่นางก็ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ซักคืนเดียว และไม่มีความยินดีเลยสักนิด เพราะความเสียดายเงิน เงินที่ได้มาเกือบทั้งหมดต้องเอาไปจ่ายหนี้ให้กับบ่อน หากจะไม่จ่ายก็ไม่ได้ เพราะยังรักชีวิต ไม่อย่างนั้นก็ถูกคนพวกนั้นตามรังควานไม่เลิกพอเรื่องกลับกลายมาเป็นเช่นนี้จะไม่ให้นางรู้สึกยินดีได้อย่างไร ช่างโชคดีเหลือเกินที่บุตรชายยังไม่ทันได้เอาเงินให้พวกมันไป พวกมันก็ถูกจับเสียก่อน สมน้ำหน้าคนพวกนั้นจริงๆ ซูหล