เขาจึงยังไม่ได้พูดคุยกับนางให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำได้แต่คาดเดา เพราะเขาถามอ๋องเยียนก็แล้ว ท่านหมอก็ถามแล้ว แม้แต่แม่ทัพหลี่เขาก็พยายามถามแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดตอบคำถามของเขา
"ตาของเจ้างดงามมากจริงๆ ราวกับเก็บดวงดาวยามค่ำคืนไว้ทั้งท้องฟ้า" พูดแล้วนางก็ล้มใส่ตัวเขา หลับไปทั้งเช่นนั้น
‘ความฝันที่เป็นได้เพียงความฝัน ห้ามคิดฝันเกินตัว มันต้องมีบางสิ่งทำให้ท่านแม่ทัพตัดสินใจเช่นนี้ นางต้องทำความผิดใดจนท่านแม่ทัพโกรธ จนต้องลงโทษนางให้แต่งกับคนอัปลักษณ์ใกล้ตายเช่นเขา’ ลู่มู่เฉินตักเตือนตัวเอง
เขามั่นใจว่างานแต่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะนางชอบเขา หรือเพราะดันมีคนรู้เข้าว่าเขาชอบนาง เขารู้ว่าต้องมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น นางจึงถูกบังคับให้แต่งกับเขา
เขารู้ว่านางพูดชมเขาโดยไม่มีสิ่งใดลึกซึ้ง เพราะนางเป็นคนเช่นนั้น ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม พูดสิ่งที่คิดออกมาตรงๆ เพียงแต่..ทุกครั้งที่นางพูดเช่นนี้ ในอกของเขายังคงสั่นระรัวไม่เป็นจังหวะ ในท้องปั่นป่วนคล้ายมีผีเสื้อนับพันกำลังโผบิน
ลู่มู่เฉินแอบยิ้มน้อยๆ งานแต่งนี้อาจต้องจบลงสักวัน เขาย่อมรู้ดี แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นงานแต่งของเขากับนาง หากนางยังตื่นอยู่ เขาก็จะปั้นหน้าพูดกับนางว่าเขาจะนอนบนพื้น แต่ยามนี้นางหลับไปแล้ว ทั้งยังมาล้มอยู่บนตัวเขา เขาจึงปล่อยให้ตัวเองได้เห็นแก่ตัวสักครั้ง
เขาอุ้มกอดหลี่เฟิ่งเซียนขึ้นมาแนบอก กอดกระชับให้แน่นขึ้นและยิ้มอย่างโง่งมแอบมีความสุข เขากอดนางนานอยู่เป็นครู่ พยายามหักห้ามใจอยู่นานกว่าจะอุ้มนางไปนอนบนเตียง ถอดรองเท้าและห่มผ้าให้นาง ส่วนตัวเขาเดินกลับมานั่งหลับที่โต๊ะ
เมื่อแสงรุ่งอรุณมาเยือน ความเจิดจ้าส่องกระทบใบหน้าของหลี่เฟิ่งเซียน นางรู้สึกรำคาญจึงใช้มือปัดไปทีหนึ่ง แต่ปัดอย่างไรแสงก็ยังไม่หายไป สุดท้าย ในใจของนางนึกย้อนถึงช่วงเวลาที่นางถูกขังอยู่ในคุกใต้ดิน นางตกใจสุดขีดรีบตะเกียกตะกายตื่น
นางลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว หายใจเหนื่อยหอบ รวบผ้าห่มมากำไว้แน่น เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นตามไรผม หลี่เฟิ่งเซียนหันมองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นว่าที่นี่ไม่ใช่คุกใต้ดิน แต่เป็นห้องนอนของนาง
และนางก็ต้องตกใจยิ่งกว่าเดิม เมื่อเห็นว่าในห้องของนางเต็มไปด้วยผ้าแพรสีแดง และเครื่องประดับประดาสีแดง นางพึ่งนึกได้ว่าเมื่อคืนตัวเองได้จัดงานแต่งไปแล้ว ในใจของนางเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ
ก็นางยังนึกออกอีกด้วยว่า นางดื่มสุราไปสิบกว่าไหได้ เพื่อให้ยามเข้าหอนางจะได้ไม่ต้องเขินอายมาก ที่นางต้องทำเช่นนั้น เพราะทุกครั้งที่นางนึกว่าต้องเข้าหอกับมู่เฉิน นางมักจะหน้าแดงจนทำสิ่งใดไม่ถูก หยิบจับสิ่งใดก็ผิดพลาดไปหมด นางค้นพบว่าถ้าดื่มสุราจำนวนมาก หน้าของนางก็จะแดงไม่ต่างจากเวลาเข้าหอ นางจึงตกลงใจใช้วิธีนั้นกลบเกลื่อนความเขินอายยามพบหน้าเขา
แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่านางกับเขาเข้าหออย่างไร นางเป็นคนถอดเสื้อผ้าของเขาตามที่นางวางแผนไว้ หรือนางเมามากไปเขาจึงเป็นคนลงมือ ไม่ต้องว่าถึงเรื่องเข้าหอ แค่เรื่องที่ว่านางเดินกลับมาที่ห้องนางยังจำไม่ได้ จำได้แต่ดวงตาแสนงดงามของเขาครู่หนึ่งเท่านั้น
หลี่เฟิ่งเซียนรีบเปิดผ้าห่มของตัวเอง สำรวจตัวเองจนหมดทั้งด้านนอกและด้านใน นางยังใส่ชุดเจ้าสาว ที่หายไปมีเพียงรองเท้า คลำดูตู้โตวด้านในก็ยังคงมัดอยู่เช่นเดิม ยังมัดปมยากจะแกะดังเช่นที่นางมัด หันมองไปทั่วห้องอีกครั้ง ทุกอย่างยังเป็นสีแดง แต่ไม่เห็นเจ้าบ่าวในชุดสีแดงของนาง
‘หรือเขาจะไม่ได้ทำสิ่งใด’ คิดได้ดังนั้นนางก็ถอนหายใจ
‘สารเลว ที่ข้าตื่นเต้นทั้งคืน ดื่มเหล้ามากมาย ทำไปเพื่ออันใดกัน รู้เช่นนี้ข้าไม่ดื่มสุรา แล้วลงมือจัดการเขาเองยังจะดีเสียกว่า เฮ้อ’
แย่ที่สุด!!! นี่เป็นสัญญาณที่แย่มาก เขาไม่แตะต้องนาง หากเขาไม่ได้ชอบนางเล่า หรือเขาไม่ได้ต้องการแต่งกับนางแต่ขัดท่านพ่อไม่ได้ เช่นนี้ยิ่งเลวร้าย หรือบางที นางอาจเข้าใจถูกแล้ว ยู่ยี่ไม่ได้ชอบเขา แต่เขาอาจชอบยู่ยี่อยู่ก่อนแล้ว ยิ่งคิดหลี่เฟิ่งเซียนยิ่งกลัว นี่นางโดนทิ้งตั้งแต่คืนเข้าหอเลยหรือ!!
หลี่เฟิ่งเซียนรีบลงจากเตียง
“มารดามันเถอะ” หลี่เฟิ่งเซียนสบถออกมา นางคงไม่ใช่โดนเขาทิ้งหรอกนะ ตอนเช้าเช่นนี้เขาไปอยู่ที่ใด หรือเขาจะแอบหนีไปตั้งแต่เมื่อคืน
แต่พอวิ่งออกมาถึงอีกด้านของฉากกั้นที่ปักรูปต้นดอกเหมยแดง ลู่มู่เฉินในชุดแดงกำลังหลับอยู่ด้านล่างโต๊ะ เขาขดตัวเล็กน้อยเพราะความหนาว หลี่เฟิ่งเซียนชะงัก ภาพที่เขานอนขดตัวในชุดแดง ผมที่รุ่ยร่ายตรงข้างแก้ม มุมปากที่เปิดเล็กน้อย มีน้ำลายไหลด้วย แต่มันช่างงดงามน่ามองจนนางละสายตาไม่ได้
หลี่เฟิ่งเซียนค่อยๆ นั่งลงใกล้เขา จ้องมองเขาหายใจเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ จู่ๆ มือข้างซ้ายของเขาก็สั่นอย่างรุนแรงจนเขาหน้าตาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด และสะดุ้งตื่น สองคนสบตากันโดยไม่ทันตั้งตัว
“เอ่อ..ข้ากำลังจะเรียกเจ้า” หลี่เฟิ่งเซียนแก้ตัว
“..ซี๊ดด..” เขากัดฟันด้วยความเจ็บปวดเพราะมือซ้ายกระตุกอย่างแรงอีกครั้ง เขายกมือขวามากุมมือซ้ายไว้และบีบจนแน่น
“เจ้าเจ็บมือหรือ?!..ยังเจ็บอยู่อีกหรือ? ไหนเจ้าบอกว่าหายดีแล้ว!!” หลี่เฟิ่งเซียนซักเขา นางยื่นมือไปดึงมือของเขามากุมเอง อ้าปากเป่าให้ราวกับมีแผลอยู่ตรงนั้น แต่แล้วนางก็ต้องตกใจ เพราะมือข้างนั้นเย็นจนนางไม่คิดว่าเป็นมือของคนเป็น แม้จะมีกระดูกอยู่ แต่ส่วนที่มันนุ่มนิ่มก็นุ่มนิ่มจนคล้ายไม่ใช่มือ ส่วนที่แข็งก็แข็งตึงจนขยับไม่ได้
หัวใจของนางเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก นางรีบใช้สองมือนวดคลึงให้เขา ก่อนจะเอามาแนบแก้มเพื่อให้ความอบอุ่น จนเขาตกใจเพราะไม่ทันตั้งตัว เขาใช้มือขวารีบดึงมือซ้ายกลับมากุมไว้
“ข้าไม่เป็นไร มันหายแล้ว แต่มันไม่เหมือนเดิมแล้ว อย่างไรก็ยังต้องเป็นเช่นนี้เวลาอากาศหนาวมากๆ” เขาหลบตามองต่ำอธิบาย“เช่นนั้นเพราะหนาวหรือถึงได้เจ็บ” นางถาม ลู่มู่เฉินพยักหน้าหลี่เฟิ่งเซียนทำหน้าดุก่อนจะวิ่งไปที่เตียงดึงผ้าห่มมาห่อตัวเขาไว้“แล้วเจ้าหนีมานอนที่พื้นเพื่ออันใดกัน ต่อไปห้ามทำเช่นนี้อีก หากข้าเมาก็ต้องเรียกข้าให้เอาผ้าห่มให้เจ้า เข้าใจหรือไม่” นางดุลู่มู่เฉินพยักหน้ารับอีกครั้ง แต่ไม่กล้ามองนาง ไม่กล้าบอกนางว่ามือข้างนี้จะไม่หาย มันยังคงต้องเจ็บเช่นนี้ไปตลอดชีวิต แม้จะตัดทิ้งความรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่มีอยู่จริงก็ยังเกิดขึ้น เวลานี้ก็ยังรู้สึกเจ็บมาก แต่อย่างไรก็ต้องทนต่อไป เขาไม่ต้องการให้นางไม่สบายใจแต่ห่มผ้าให้เขาแล้วนางก็ไม่ยอมไปไหน ยังคงนั่งมองเขา ทั้งยังกระเถิบมาใกล้ขึ้นจ้องมองเขาไม่วางตา ลู่มู่เฉินได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยคำพูด แต่แล้วนางก็ยกมือขึ้นมาเช็ดบางอย่างที่ข้างแก้ม“เจ้านอนน้ำลายไหลเปื้อนแก้มด้วย”“!!..” เขาตกใจรีบก้มหน้าไม่ยอมให้นางเช็ดคราบน้ำลาย“ชิ ทำเป็นเล่นตัว อย่างไรเจ้าก็แต่งกับข้าแล้ว เป็นหรือตายก็ต้องเป็นคนของข้า” หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกอารมณ์เสีย เมื
เขาจึงยังไม่ได้พูดคุยกับนางให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำได้แต่คาดเดา เพราะเขาถามอ๋องเยียนก็แล้ว ท่านหมอก็ถามแล้ว แม้แต่แม่ทัพหลี่เขาก็พยายามถามแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดตอบคำถามของเขา"ตาของเจ้างดงามมากจริงๆ ราวกับเก็บดวงดาวยามค่ำคืนไว้ทั้งท้องฟ้า" พูดแล้วนางก็ล้มใส่ตัวเขา หลับไปทั้งเช่นนั้น‘ความฝันที่เป็นได้เพียงความฝัน ห้ามคิดฝันเกินตัว มันต้องมีบางสิ่งทำให้ท่านแม่ทัพตัดสินใจเช่นนี้ นางต้องทำความผิดใดจนท่านแม่ทัพโกรธ จนต้องลงโทษนางให้แต่งกับคนอัปลักษณ์ใกล้ตายเช่นเขา’ ลู่มู่เฉินตักเตือนตัวเองเขามั่นใจว่างานแต่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะนางชอบเขา หรือเพราะดันมีคนรู้เข้าว่าเขาชอบนาง เขารู้ว่าต้องมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น นางจึงถูกบังคับให้แต่งกับเขาเขารู้ว่านางพูดชมเขาโดยไม่มีสิ่งใดลึกซึ้ง เพราะนางเป็นคนเช่นนั้น ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม พูดสิ่งที่คิดออกมาตรงๆ เพียงแต่..ทุกครั้งที่นางพูดเช่นนี้ ในอกของเขายังคงสั่นระรัวไม่เป็นจังหวะ ในท้องปั่นป่วนคล้ายมีผีเสื้อนับพันกำลังโผบินลู่มู่เฉินแอบยิ้มน้อยๆ งานแต่งนี้อาจต้องจบลงสักวัน เขาย่อมรู้ดี แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นงานแต่งของเขากับนาง หากนางยังตื่นอยู่ เขาก็จะปั้น
แม่ทัพหลี่หันหน้าแบบประหลาดมากมามองลูกสาว เขากะพริบตาไล่ความงุนงง สังเกตอาการของลูกสาวที่หน้าแดงกระวนกระวายทำสิ่งใดไม่ถูก จู่ๆเขาก็เข้าใจทุกอย่าง‘ข้าว่าแล้วเชียว เท่าที่จำได้ ไอ้หนุ่มนั่นเป็นคนเดียวที่ทำให้ลูกข้าเงียบได้ใช่หรือไม่ แต่มันดูแลลูกข้าได้แน่หรือ ถึงอย่างไรนางก็ดูจะชอบมันเข้าแล้วจริงๆ ข้าไม่เคยเห็นนางเป็นเช่นนี้เลย’ แม่ทัพหลี่คิด ยิ่งคิดยิ่งตกใจ นี่เขาไม่เคยสังเกตเลยจริงๆ สุดท้ายเขาไม่พูดสิ่งใดแต่เดินดุ่มๆ ออกไปจากห้องโถงทันทีปล่อยให้หลี่เฟิ่งเซียนและอ๋องเยียนมองตามอย่างงุนงง ก่อนที่นางจะคิดบางอย่างได้และตะโกนออกไป“ท่านพ่อ ห้ามฆ่าเขานะ!!” แล้วนางก็วิ่งตามแม่ทัพออกไป อ๋องเยียนค่อยๆพ่นลมออกมา รู้สึกโล่งอกที่คนถูกฆ่าไม่ใช่เขาลู่มู่เฉินกำลังช่วยเตรียมยาให้ทหารนายหนึ่ง ขาของเขาขาด ไม่ได้ทำแผลให้สะอาดแต่ต้น ยามนี้จึงทั้งบวมและเป็นหนอง“ลู่มู่เฉิน!!” แม่ทัพหลี่ตะโกนเรียกชื่อเขาแต่ไหล “หยุดนะท่านพ่อ ห้ามฆ่าเขาเด็ดขาด!” หลี่เฟิ่งเซียนวิ่งตามหลังแม่ทัพหลี่มาติดๆ ตะโกนอย่างร้อนรนลู่มู่เฉินไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นางคงก่อเรื่องอีกแล้ว เขาถอนหายใจ ยื่นห่อยาให้ทหารอย่างใจเย็น ก
หลี่เฟิ่งเซียนค่อยๆหันกลับไป กะพริบตาปริบๆ ไม่อยากเชื่อว่าใครๆก็มองออก แต่นางไม่รู้ตัว นี่นางโง่เพียงนี้เชียวหรือ“เจ้าไม่ชอบเขา แล้วสั่งทำกล่องเข็มให้เขาทำไมหรือ” นางยังคาใจ“ท่านเป็นคนสัญญาว่าจะออกเงินสร้างสิ่งที่เขาอยากได้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ เขาบอกว่าอยากได้กล่องเข็มครบ 18 แบบ ข้าจึงไปสั่งร้านช่างในหมู่บ้านให้ ใช้เวลาหลายสิบวันกว่าจะเสร็จ วันก่อนช่างเอามาส่งแต่ข้าลืมบอกท่าน” ยู่ยี่อธิบายนางสัญญาไปเช่นนั้นจริงๆ นางรีบร้อนจะตามอ๋องเยียนไปขี่ม้าดูบึงใหญ่ จึงรับปากเขาไปส่งๆ จนนางก็ลืมไปแล้ว ดังนั้น ถือว่ากล่องเข็มนี้นางเป็นคนมอบให้เขา ไม่ใช่ยู่ยี่หัวใจของหลี่เฟิ่งเซียนพองโต นางไม่ต้องแย่งชิงเขากับยู่ยี่ เขาไร้ญาติขาดมิตร ครอบครัวก็ไม่มี ขอเพียงนางรวบหัวรวบหาง เขาต้องเป็นของนางแน่ ถึงเขาจะน่าเกลียดมากไปหน่อย แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยนัยน์ตาของเขางดงามมาก นางชอบนัยน์ตาของเขาที่ราวกับเก็บดวงดาวไว้ทั้งท้องฟ้ายามค่ำคืนคิดแล้วนางก็หยุดตัวเองไม่ได้ อยากจะไปหาเขาตอนนี้เสียเลย หลี่เฟิ่งเซียนวิ่งไปหาลู่มู่เฉิน ไม่สนใจว่ายามนี้ดึกมากเพียงใด ยู่ยี่ห้ามอย่างไรนางก็ไม่ฟัง นางเอากล่องเข็มไปด้วย นางอยาก
“แล้ว..เกิดอะไรขึ้น” แม่ทัพหลี่เบาเสียงลง กลัวจะทำให้ลูกสาวเสียงดังมากขึ้น“...ข้าก็ไม่รู้ เขาคงไม่อยากให้ข้าไปยุ่งกับเขา” นางตอบเบาลง“เหลวไหล ใครจะไม่อยากยุ่งกับลูกพ่อ” แม่ทัพหลี่รีบเอาใจ“มาๆ กินเยอะๆ เดี๋ยวพ่อไปถามให้ ถ้าเขาไม่ยอมพูด พ่อจะบังคับให้เขาพูดให้ได้” เขาหยิบอาหารใส่ถ้วยให้นาง เอาอกเอาใจลูกสาวเต็มที่“ไม่ต้อง ข้า..ข้าจะ ไปถามด้วยตัวเอง”หลี่เฟิ่งเซียนพอจะนึกบางอย่างได้ นางพาลู่มู่เฉินมาที่นี่ อ้างว่ามารักษาตัว แต่ไม่เคยถามว่าเขาอยากอยู่หรือไม่ ท่านพ่อของนางเป็นถึงแม่ทัพ หากเขาไม่เอ่ยปาก ผู้ใดจะกล้าออกไปจากที่นี่ บางทีลู่มู่เฉินอาจไม่อยากอยู่ที่นี่ เขาอาจรู้สึกไม่ต่างจากถูกคุมขังในกรงสุนัข เขาอาจอยากกลับไปหาครอบครัวสุดท้ายหลี่เฟิ่งเซียนตัดสินใจจะถามให้กระจ่าง นางตามหาเขาจนพบเขาอยู่ที่ห้องเก็บยา“ลู่มู่เฉิน ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า” หลี่เฟิ่งเซียนมาถึงก็ถามตรงๆ“..อืม” เขาหันมามองนางครู่หนึ่ง และหันไปยุ่งกับการตวงยาต่อไป“เจ้าอยากกลับบ้านของเจ้าหรือไม่”“ใครบ้างจะไม่อยากกลับบ้าน”เขาตอบตามจริง แต่นางรู้สึกบางอย่างในอกหนักอึ้ง“เจ้ามีบ้านหรือไม่ มีพ่อแม่ ภรรยา...หรือคนที่รอใ
ค่ำวันนั้นนางไปหามู่เฉินคนชั่วของนาง แต่ท่านหมอบอกว่าเขาไม่อยู่ออกไปอาบน้ำ หลี่เฟิ่งเซียนไปรอเขาที่ห้องของเขาอยู่นานเขาก็ยังไม่กลับ นางจึงบุกไปที่ห้องอาบน้ำ แต่เขาก็ไม่อยู่ที่นั่น หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางกลัวว่าเขาจะออกไปข้างนอกค่ายแล้วเกิดถูกจับตัวไปขายอีกครั้งหลี่เฟิ่งเซียนวิ่งกลับไปที่ห้องของนางเพื่อหยิบกระบี่ไปช่วยเขา แต่กลับพบเขากำลังนั่งปลอบใจยู่ยี่ที่ร้องไห้อยู่ นางมองเขากำลังใช้มืออีกข้างตบหลังยู่ยี่เบาๆ อย่างปลอบโยน จู่ๆ นางก็เกิดไม่กล้าเดินเข้าไปรบกวนพวกเขา ในใจของนางมีบางอย่างหนักอึ้งจนนางเองก็อธิบายไม่ได้หลี่เฟิ่งเซียนหอบกล่องใส่เข็มไปนั่งเหม่อมองดวงดาวบนท้องฟ้าที่ริมน้ำ เพราะนางไม่กล้าเข้าห้องของตัวเอง สายลมเย็นส่งเสียงหวีดเป็นบางครั้ง เสียงน้ำไหลกระทบก้อนหิน แม้จะหนวกหู แต่ช่วยให้นางสงบ ไม่ต้องได้ยินเสียงจี้ดๆ ที่ได้ยินในหูตั้งแต่เห็นสองคนนั้นนั่งด้วยกันยิ่งมืดดวงดาวยิ่งแจ่มชัด แต่จู่ๆ กลับมีแสงไฟใกล้นางมาทุกที หลี่เฟิ่งเซียนกลัวว่าจะมีคนร้ายมาแอบจับตัวนางไปอีก จึงรีบหลบหลังพุ่มไม้ แอบก่นด่าตัวเองในใจที่ไม่รู้จักระวัง มืดแล้วยังไม่ระวังตัว ถูกจับไป