นางจำที่พักม้านี้ได้ สมัยก่อนนางเคยมาเที่ยวชายแดนกับท่านพ่อและแวะพักที่นี่ครั้งสองครั้ง หากวิ่งไปทางตะวันออกเรื่อยๆ จะต้องพบเจอกับด่านตรวจของทหารแน่ นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าคนชั่วถึงให้นางเริ่มหนีที่นี่ เพียงแต่นางก็แอบสงสัยว่าเหตุใดเขาถึงได้รู้ว่าควรหนีที่ไหน
หลี่เฟิ่งเซียนวิ่งมานานจนปวดสองเท้าไปหมด นางไม่กล้าหยุดวิ่งแต่ก็ยังไม่เจอด่านตรวจทหารสักที ถึงนางจะวิ่งสุดแรง แต่คุณหนูใหญ่ที่ไม่เคยทำงานหนัก ไม่เคยเดินเท้าไกลๆ วิ่งมาทั้งวันนางก็ยังวิ่งได้ไม่ถึงไหน
กระทั่งท้องฟ้าค่อยๆ มืด หนทางข้างหน้าเริ่มมองไม่ชัด นางไม่รู้จะทำเช่นไร นึกถึงคำพูดของท่านพ่อที่บอกว่าเวลาไปล่าสัตว์ หากไม่มีกระโจม ให้ปีนไปนอนบนต้นไม้
นางจึงหยุด ระหว่างที่กำลังเลือกต้นไม้ นางได้ยินเสียงสุนัขเห่ามาไกลๆ วูบหนึ่งนางแอบหวังว่าจะเป็นเจ้าคนชั่วที่หนีตามมา แต่เมื่อฟังดีๆ มันคือเสียงสุนัขจริงๆ หลี่เฟิ่งเซียนรีบปีนขึ้นไปบนต้นไม้ต้นหนึ่ง นางคิดว่านางปีนได้ดี แต่เมื่อหันมองลงไป นางเห็นคนผู้หนึ่งใส่ชุดดำทั้งตัว กำลังมองนางปีนขึ้นอย่างทุลักทุเล
"เจ้าคิดจริงหรือว่าจะหนีพ้น?" ชายชุดดำพูด
หัวใจของหลี่เฟิ่งเซียนกระตุกเพราะความกลัว คนผู้นี้มีกลิ่นอายบางอย่างที่เย็นยะเยือก เขายืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อใดนางไม่รู้สึกตัวเลย
'ไม่ง่ายดายเช่นนั้นหรอก' คำพูดของเจ้าคนชั่วผุดขึ้นมาในความทรงจำ เขาคงรู้บางอย่าง แต่กลับไม่ยอมบอกนางดีๆ ป่านนี้คงกำลังหัวเราะเยาะนาง สารเลว เช่นนั้นจะบอกให้นางหนีเพื่ออะไร นางทั้งโมโหทั้งหวาดกลัว
“ข้าจะลงไป แต่อย่าทำรุนแรงกับข้าได้หรือไม่” หลี่เฟิ่งเซียนทำใจกล้าลองต่อรอง
“ย่อมไม่ได้ ทาสที่หลบหนี อย่างไรก็ต้องถูกลงโทษ” ชายชุดดำตอบ
“ก็ได้ เจ้าถอยออกไปหน่อย”
หลี่เฟิ่งเซียนลงมาถึงใต้ต้นไม้ ความมืดเริ่มปกคลุม นางมองประเมินศัตรูตรงหน้า นางไม่มีอาวุธ ขณะที่เขามีดาบใหญ่ หากต่อสู้นางอาจจะแพ้ เพราะดูแล้วชายชุดดำผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย นางต้องหาทางหลุดออกไปจากสถานการณ์ให้ได้
ผ่านไปสักครู่ เจ้าหนวดก็พาสุนัขวิ่งมาพร้อมกับคบเพลิง เขาทั้งด่าทอทั้งสบถใส่หลี่เฟิ่งเซียน แต่นางทันทีที่เขาโผล่มา นางกลับดีใจมากที่เห็นเขามีกระบี่ติดตัวมาด้วย ให้แย่งอาวุธจากชายชุดดำคงเป็นไปไม่ได้ แต่กับเจ้าหนวดนั้น นางรู้ว่าง่ายดายยิ่ง
หลี่เฟิ่งเซียนวิ่งโถมตัวใส่เจ้าหนวด!!
“อ้ากกกก... นางสารเลวนี่!” เจ้าหนวดตะโกนออกมาสุดเสียงอย่างตกใจ เขาไม่อยากติดโรคร้าย
หลี่เฟิ่งเซียนรีบแย่งกระบี่ของเจ้าหนวดมา นางหันมาแทงไปที่ข้อเข่าของชายชุดดำอย่างรวดเร็ว น่าเสียดายที่เขาว่องไวเกินไปสามารถหลบได้ หลี่เฟิ่งเซียนจึงหันมาฟันคอเจ้าหนวด เขามัวแต่ห่วงว่าจะติดโรค ไม่ได้คิดว่านางจะกล้าขนาดฆ่าเขา
ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา แม้นางจะมีแรงไม่พอถึงขั้นฟันหัวหลุด แต่เจ้าหนวดก็ล้มลง เลือดพุ่งสาดกระจาย คบเพลิงในมือหล่นลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้ง และไฟก็เริ่มลุกลาม สุนัขตัวนั้นตกใจกับไฟ มันวิ่งหางจุกตุดหนีกลับไปทางเดิม เห่าหอนอย่างหวาดกลัว หลี่เฟิ่งเซียนมองไปทางชายชุดดำ เขาก็ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น้อย
ท่ามกลางแสงไฟหลี่เฟิ่งเซียนเห็นดาบใหญ่ที่เขาถือชัดเจน
“เจ้าเป็นใคร” หลี่เฟิ่งเซียนถาม
“เจ้าเป็นวรยุทธ์?!!” เขาถาม ใช่แล้ว นางเป็นวรยุทธ์ ทั้งยังเคยไปปราบโจรกับแม่ทัพหลี่หลายครั้ง กระทั่งฆ่าคนนางก็เคยมาแล้ว
“ข้ารู้ว่าเจ้าถือดาบของราชสำนัก ตราของสุนัขรับใช้หลงอี้” หลี่เฟิ่งเซียนบอกเขา
“!!..” ชายชุดดำตกใจ
“หอนางโลมนั่น ไม่ใช่หอนางโลมทั่วไปสินะ” หลี่เฟิ่งเซียนถาม
“เห็นทีจะปล่อยเจ้าไปไม่ได้แล้ว”
“ข้าก็คิดเห็นเช่นเดียวกับเจ้า” นางทำเป็นขู่ ทั้งที่ขาสั่น
ชายชุดดำพุ่งมาอย่างรวดเร็ว หลี่เฟิ่งเซียนถึงจะพอเป็นหมัดมวย ร่ำเรียนวรยุทธ์จากแม่ทัพหลี่บ้าง แต่ไหนเลยจะสู้หน่วยองครักษ์ของขันทีหลงอี้ได้ นางเกือบถูกฟันที่คอ ยังดีที่นางหลบได้ แต่ถูกฟันที่หัวไหล่แทน นางล้มลง ชายผู้นั้นรีบตามมาเหยียบนางไว้ จ่อดาบที่คอของนาง ก้มหน้าลงมาใกล้
“ข้าจะถามอีกครั้ง เจ้าเป็นใคร” เขาถาม
แต่หลี่เฟิ่งเซียนกลับถ่มน้ำลายใส่หน้าเขา เขาตกใจรีบผละถอย
“ข้าติดเชื้อร้ายแรง เจ้าฆ่าข้าตายที่นี่ อีกไม่นานเจ้าก็ต้องตายเช่นกัน” หลี่เฟิ่งเซียนยังคงใช้วิธีสกปรกข่มขู่
เขารีบใช้แขนเสื้อเช็ดคราบน้ำลาย นางไม่รีรอ แทงกระบี่ไปที่บริเวณท้อง เขายังคงหลบได้ แต่หลี่เฟิ่งเซียนจับรองเท้าของเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย เขาจึงเตะนางไปแรงๆ นางยังคงไม่ยอมปล่อยเท้าข้างนั้น กลับแทงกระบี่ไปที่หัวเข่าของเขาอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่พลาดเป้า กระบี่ทะลุขา เขาล้มลง
ไฟลุกลามมากขึ้นมากขึ้น หลี่เฟิ่งเซียนรีบลุกขึ้นวิ่งหนี แต่เขากลับยังมีมีดสั้นขว้างใส่นาง ยังดีที่นางใส่เสื้อผ้านางโลมไม่เป็น ชุดนั้นจึงรุ่มร่ามจนทำให้เขาวัดระยะเป้าหมายผิดพลาด มีดสั้นบินผ่านระหว่างช่วงเอวและแขนไป แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงสร้างบาดแผลให้นางอยู่ดี
หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกเจ็บแปลบที่ข้างเอว เสื้อฉีกขาด นางเห็นว่ามีดสั้นลอยไปปักที่ต้นไม้ตรงหน้าของนาง นางจึงวิ่งไปดึงมีดสั้นออกมา และย้อนกลับไปแก้แค้น!!
‘คุณหนูใหญ่เช่นข้า ไม่ให้อภัยสารเลวหน้าไหนที่ตัดเส้นผมของข้า’ หลี่เฟิ่งเซียนก่นด่าในใจ ใช่แล้วระหว่างที่มีดบินผ่านไป นอกจากจะทำให้นางเป็นแผลแล้ว ยังตัดเส้นผมแสนล้ำค่าของนางไปกำหนึ่ง!
ชายชุดดำเห็นว่านางย้อนกลับมา จึงดึงกระบี่ที่ขาออก และขว้างใส่หลี่เฟิ่งเซียน โชคร้ายอีกครั้ง ตอนนี้นางโกรธมากเกินไปจนทำให้สายตาชัดเจนยิ่ง นางมองเห็นกระทั่งใบไม้ที่กำลังสั่นไปมาเพราะความร้อนจากไฟไหม้ กระบี่เล่มใหญ่กว่าใบไม้มาก นางจะไม่เห็นได้หรือ
หลี่เฟิ่งเซียนหลบกระบี่ที่ถูกขว้างมา และขว้างมีดสั้นออกไป มีดสั้นนั่นปักลงกลางอกของชายชุดดำทันที!
ในที่สุดนางก็หนีออกมาจากป่าได้ ป่าที่ไฟกำลังลุกไหม้ นางหลบหนีมาอีกด้านของแม่น้ำเพื่อหลบเลี่ยงการถูกไฟคลอก แต่กลายเป็นว่านางกลับมาที่พักม้าแห่งเดิม เพราะนางเดินทางในป่าไม่เป็น เห็นแสงไฟไกลๆ ก็ตามมาเรื่อยๆ จึงไม่รู้ว่าตัวเองย้อนกลับมาที่เดิม หันหลังไปมองด้านหลังไฟลุกลามไปเกือบทั้งภูเขา หากหนีออกมาผิดทางนางอาจถูกไฟคลอกตายไปแล้ว
“ผีหลอกกกกกกกกกกกกกก!!”
“มารดามันเถอะ!” หลี่เฟิ่งเซียนก่นด่า นางมีเลือดโชกตั้งแต่หัวไหล่ ไหลไปที่เอว ผมเผ้ารุงรัง ที่แก้มของนางยังคงมีแผลถลอกและตุ่มใสปลอม ยามนี้มืดค่ำแล้ว เสี่ยวเอ้อที่คิดว่ามีแขกจึงออกมาต้อนรับ แต่เห็นสภาพของนางเข้า เขาตกใจยิ่งกว่าเห็นผี!!
“ข้าไม่เป็นไร มันหายแล้ว แต่มันไม่เหมือนเดิมแล้ว อย่างไรก็ยังต้องเป็นเช่นนี้เวลาอากาศหนาวมากๆ” เขาหลบตามองต่ำอธิบาย“เช่นนั้นเพราะหนาวหรือถึงได้เจ็บ” นางถาม ลู่มู่เฉินพยักหน้าหลี่เฟิ่งเซียนทำหน้าดุก่อนจะวิ่งไปที่เตียงดึงผ้าห่มมาห่อตัวเขาไว้“แล้วเจ้าหนีมานอนที่พื้นเพื่ออันใดกัน ต่อไปห้ามทำเช่นนี้อีก หากข้าเมาก็ต้องเรียกข้าให้เอาผ้าห่มให้เจ้า เข้าใจหรือไม่” นางดุลู่มู่เฉินพยักหน้ารับอีกครั้ง แต่ไม่กล้ามองนาง ไม่กล้าบอกนางว่ามือข้างนี้จะไม่หาย มันยังคงต้องเจ็บเช่นนี้ไปตลอดชีวิต แม้จะตัดทิ้งความรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่มีอยู่จริงก็ยังเกิดขึ้น เวลานี้ก็ยังรู้สึกเจ็บมาก แต่อย่างไรก็ต้องทนต่อไป เขาไม่ต้องการให้นางไม่สบายใจแต่ห่มผ้าให้เขาแล้วนางก็ไม่ยอมไปไหน ยังคงนั่งมองเขา ทั้งยังกระเถิบมาใกล้ขึ้นจ้องมองเขาไม่วางตา ลู่มู่เฉินได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยคำพูด แต่แล้วนางก็ยกมือขึ้นมาเช็ดบางอย่างที่ข้างแก้ม“เจ้านอนน้ำลายไหลเปื้อนแก้มด้วย”“!!..” เขาตกใจรีบก้มหน้าไม่ยอมให้นางเช็ดคราบน้ำลาย“ชิ ทำเป็นเล่นตัว อย่างไรเจ้าก็แต่งกับข้าแล้ว เป็นหรือตายก็ต้องเป็นคนของข้า” หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกอารมณ์เสีย เมื
เขาจึงยังไม่ได้พูดคุยกับนางให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำได้แต่คาดเดา เพราะเขาถามอ๋องเยียนก็แล้ว ท่านหมอก็ถามแล้ว แม้แต่แม่ทัพหลี่เขาก็พยายามถามแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดตอบคำถามของเขา"ตาของเจ้างดงามมากจริงๆ ราวกับเก็บดวงดาวยามค่ำคืนไว้ทั้งท้องฟ้า" พูดแล้วนางก็ล้มใส่ตัวเขา หลับไปทั้งเช่นนั้น‘ความฝันที่เป็นได้เพียงความฝัน ห้ามคิดฝันเกินตัว มันต้องมีบางสิ่งทำให้ท่านแม่ทัพตัดสินใจเช่นนี้ นางต้องทำความผิดใดจนท่านแม่ทัพโกรธ จนต้องลงโทษนางให้แต่งกับคนอัปลักษณ์ใกล้ตายเช่นเขา’ ลู่มู่เฉินตักเตือนตัวเองเขามั่นใจว่างานแต่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะนางชอบเขา หรือเพราะดันมีคนรู้เข้าว่าเขาชอบนาง เขารู้ว่าต้องมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น นางจึงถูกบังคับให้แต่งกับเขาเขารู้ว่านางพูดชมเขาโดยไม่มีสิ่งใดลึกซึ้ง เพราะนางเป็นคนเช่นนั้น ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม พูดสิ่งที่คิดออกมาตรงๆ เพียงแต่..ทุกครั้งที่นางพูดเช่นนี้ ในอกของเขายังคงสั่นระรัวไม่เป็นจังหวะ ในท้องปั่นป่วนคล้ายมีผีเสื้อนับพันกำลังโผบินลู่มู่เฉินแอบยิ้มน้อยๆ งานแต่งนี้อาจต้องจบลงสักวัน เขาย่อมรู้ดี แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นงานแต่งของเขากับนาง หากนางยังตื่นอยู่ เขาก็จะปั้น
แม่ทัพหลี่หันหน้าแบบประหลาดมากมามองลูกสาว เขากะพริบตาไล่ความงุนงง สังเกตอาการของลูกสาวที่หน้าแดงกระวนกระวายทำสิ่งใดไม่ถูก จู่ๆเขาก็เข้าใจทุกอย่าง‘ข้าว่าแล้วเชียว เท่าที่จำได้ ไอ้หนุ่มนั่นเป็นคนเดียวที่ทำให้ลูกข้าเงียบได้ใช่หรือไม่ แต่มันดูแลลูกข้าได้แน่หรือ ถึงอย่างไรนางก็ดูจะชอบมันเข้าแล้วจริงๆ ข้าไม่เคยเห็นนางเป็นเช่นนี้เลย’ แม่ทัพหลี่คิด ยิ่งคิดยิ่งตกใจ นี่เขาไม่เคยสังเกตเลยจริงๆ สุดท้ายเขาไม่พูดสิ่งใดแต่เดินดุ่มๆ ออกไปจากห้องโถงทันทีปล่อยให้หลี่เฟิ่งเซียนและอ๋องเยียนมองตามอย่างงุนงง ก่อนที่นางจะคิดบางอย่างได้และตะโกนออกไป“ท่านพ่อ ห้ามฆ่าเขานะ!!” แล้วนางก็วิ่งตามแม่ทัพออกไป อ๋องเยียนค่อยๆพ่นลมออกมา รู้สึกโล่งอกที่คนถูกฆ่าไม่ใช่เขาลู่มู่เฉินกำลังช่วยเตรียมยาให้ทหารนายหนึ่ง ขาของเขาขาด ไม่ได้ทำแผลให้สะอาดแต่ต้น ยามนี้จึงทั้งบวมและเป็นหนอง“ลู่มู่เฉิน!!” แม่ทัพหลี่ตะโกนเรียกชื่อเขาแต่ไหล “หยุดนะท่านพ่อ ห้ามฆ่าเขาเด็ดขาด!” หลี่เฟิ่งเซียนวิ่งตามหลังแม่ทัพหลี่มาติดๆ ตะโกนอย่างร้อนรนลู่มู่เฉินไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นางคงก่อเรื่องอีกแล้ว เขาถอนหายใจ ยื่นห่อยาให้ทหารอย่างใจเย็น ก
หลี่เฟิ่งเซียนค่อยๆหันกลับไป กะพริบตาปริบๆ ไม่อยากเชื่อว่าใครๆก็มองออก แต่นางไม่รู้ตัว นี่นางโง่เพียงนี้เชียวหรือ“เจ้าไม่ชอบเขา แล้วสั่งทำกล่องเข็มให้เขาทำไมหรือ” นางยังคาใจ“ท่านเป็นคนสัญญาว่าจะออกเงินสร้างสิ่งที่เขาอยากได้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ เขาบอกว่าอยากได้กล่องเข็มครบ 18 แบบ ข้าจึงไปสั่งร้านช่างในหมู่บ้านให้ ใช้เวลาหลายสิบวันกว่าจะเสร็จ วันก่อนช่างเอามาส่งแต่ข้าลืมบอกท่าน” ยู่ยี่อธิบายนางสัญญาไปเช่นนั้นจริงๆ นางรีบร้อนจะตามอ๋องเยียนไปขี่ม้าดูบึงใหญ่ จึงรับปากเขาไปส่งๆ จนนางก็ลืมไปแล้ว ดังนั้น ถือว่ากล่องเข็มนี้นางเป็นคนมอบให้เขา ไม่ใช่ยู่ยี่หัวใจของหลี่เฟิ่งเซียนพองโต นางไม่ต้องแย่งชิงเขากับยู่ยี่ เขาไร้ญาติขาดมิตร ครอบครัวก็ไม่มี ขอเพียงนางรวบหัวรวบหาง เขาต้องเป็นของนางแน่ ถึงเขาจะน่าเกลียดมากไปหน่อย แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยนัยน์ตาของเขางดงามมาก นางชอบนัยน์ตาของเขาที่ราวกับเก็บดวงดาวไว้ทั้งท้องฟ้ายามค่ำคืนคิดแล้วนางก็หยุดตัวเองไม่ได้ อยากจะไปหาเขาตอนนี้เสียเลย หลี่เฟิ่งเซียนวิ่งไปหาลู่มู่เฉิน ไม่สนใจว่ายามนี้ดึกมากเพียงใด ยู่ยี่ห้ามอย่างไรนางก็ไม่ฟัง นางเอากล่องเข็มไปด้วย นางอยาก
“แล้ว..เกิดอะไรขึ้น” แม่ทัพหลี่เบาเสียงลง กลัวจะทำให้ลูกสาวเสียงดังมากขึ้น“...ข้าก็ไม่รู้ เขาคงไม่อยากให้ข้าไปยุ่งกับเขา” นางตอบเบาลง“เหลวไหล ใครจะไม่อยากยุ่งกับลูกพ่อ” แม่ทัพหลี่รีบเอาใจ“มาๆ กินเยอะๆ เดี๋ยวพ่อไปถามให้ ถ้าเขาไม่ยอมพูด พ่อจะบังคับให้เขาพูดให้ได้” เขาหยิบอาหารใส่ถ้วยให้นาง เอาอกเอาใจลูกสาวเต็มที่“ไม่ต้อง ข้า..ข้าจะ ไปถามด้วยตัวเอง”หลี่เฟิ่งเซียนพอจะนึกบางอย่างได้ นางพาลู่มู่เฉินมาที่นี่ อ้างว่ามารักษาตัว แต่ไม่เคยถามว่าเขาอยากอยู่หรือไม่ ท่านพ่อของนางเป็นถึงแม่ทัพ หากเขาไม่เอ่ยปาก ผู้ใดจะกล้าออกไปจากที่นี่ บางทีลู่มู่เฉินอาจไม่อยากอยู่ที่นี่ เขาอาจรู้สึกไม่ต่างจากถูกคุมขังในกรงสุนัข เขาอาจอยากกลับไปหาครอบครัวสุดท้ายหลี่เฟิ่งเซียนตัดสินใจจะถามให้กระจ่าง นางตามหาเขาจนพบเขาอยู่ที่ห้องเก็บยา“ลู่มู่เฉิน ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า” หลี่เฟิ่งเซียนมาถึงก็ถามตรงๆ“..อืม” เขาหันมามองนางครู่หนึ่ง และหันไปยุ่งกับการตวงยาต่อไป“เจ้าอยากกลับบ้านของเจ้าหรือไม่”“ใครบ้างจะไม่อยากกลับบ้าน”เขาตอบตามจริง แต่นางรู้สึกบางอย่างในอกหนักอึ้ง“เจ้ามีบ้านหรือไม่ มีพ่อแม่ ภรรยา...หรือคนที่รอใ
ค่ำวันนั้นนางไปหามู่เฉินคนชั่วของนาง แต่ท่านหมอบอกว่าเขาไม่อยู่ออกไปอาบน้ำ หลี่เฟิ่งเซียนไปรอเขาที่ห้องของเขาอยู่นานเขาก็ยังไม่กลับ นางจึงบุกไปที่ห้องอาบน้ำ แต่เขาก็ไม่อยู่ที่นั่น หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางกลัวว่าเขาจะออกไปข้างนอกค่ายแล้วเกิดถูกจับตัวไปขายอีกครั้งหลี่เฟิ่งเซียนวิ่งกลับไปที่ห้องของนางเพื่อหยิบกระบี่ไปช่วยเขา แต่กลับพบเขากำลังนั่งปลอบใจยู่ยี่ที่ร้องไห้อยู่ นางมองเขากำลังใช้มืออีกข้างตบหลังยู่ยี่เบาๆ อย่างปลอบโยน จู่ๆ นางก็เกิดไม่กล้าเดินเข้าไปรบกวนพวกเขา ในใจของนางมีบางอย่างหนักอึ้งจนนางเองก็อธิบายไม่ได้หลี่เฟิ่งเซียนหอบกล่องใส่เข็มไปนั่งเหม่อมองดวงดาวบนท้องฟ้าที่ริมน้ำ เพราะนางไม่กล้าเข้าห้องของตัวเอง สายลมเย็นส่งเสียงหวีดเป็นบางครั้ง เสียงน้ำไหลกระทบก้อนหิน แม้จะหนวกหู แต่ช่วยให้นางสงบ ไม่ต้องได้ยินเสียงจี้ดๆ ที่ได้ยินในหูตั้งแต่เห็นสองคนนั้นนั่งด้วยกันยิ่งมืดดวงดาวยิ่งแจ่มชัด แต่จู่ๆ กลับมีแสงไฟใกล้นางมาทุกที หลี่เฟิ่งเซียนกลัวว่าจะมีคนร้ายมาแอบจับตัวนางไปอีก จึงรีบหลบหลังพุ่มไม้ แอบก่นด่าตัวเองในใจที่ไม่รู้จักระวัง มืดแล้วยังไม่ระวังตัว ถูกจับไป