ท่านอ๋องตกตะลึงกับใบหน้าที่เรียบเนียนดุจสตรีตรงหน้า หลี่เหยานั้นยังไม่รู้ตัวว่าผ้าผูกหน้าของนางหลุดไปแล้วเพราะนางสนใจแต่บาดแผลและรีบซับเลือดให้กับเขาทันที
“ขอประทานอภัยกระหม่อมเลินเล่อจนทำให้…”
ท่านอ๋องหันมาคว้ามือนางและจับให้หันมา เขาสบตานางอีกครั้งจนแน่ใจในตอนนี้นี่เอง แม้ว่าจะใช้เสียงทุ้มต่ำที่พยายามดัด แต่รูปร่างและผิวพรรณนี้เขามั่นใจว่าคนตรงหน้านี้ไม่ใช่ผู้ชายแน่นอน
“เจ้า…หน้าของเจ้า…”
หลี่เหยาพึ่งจะรู้ตัวเอาตอนนี้ว่าผ้าผูกหน้าของนางหลุดออกไปเสียแล้วเมื่อเริ่มควานหาแต่ท่านอ๋องจับมันโยนทิ้ง
“ไม่ต้องใช้แล้ว เจ้ารีบทำแผลก่อนที่มันจะปริออกอีกรอบหนึ่งเถอะ”
“แต่ว่า…”
“หน้าเจ้าหรือแผลของข้าที่สำคัญกว่า”
“ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
เสียงอ่อยที่ลืมดัดนี้ยิ่งทำให้เขามั่นใจและฉีกยิ้มออกมาเล็กน้อย นางเป็นสตรีอย่างที่เขาคิดเอาไว้จริง ๆ แต่ว่า..นางคือผู้ใดแล้วเหตุใดท่านหมอตงจึงได้ส่งนางมายังค่ายทหารแห่งนี้ หรือว่าหมอตงผู้เฒ่าเขาเองก็ไม่ทราบว่านางเป็นสตรีเช่นกัน ดังนั้นความลับนี้ก็มีเพียงเขาคนเดียวที่รู้สินะ เช่นนั้นเขาก็จะช่วยนางปิดเป็นความลับ
“กระหม่อมจะเริ่ม…ตัดไหมอีกครั้ง คราวนี้หากว่าพระองค์เจ็บก็บอกนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้ ครั้งนี้ข้าจะไม่ทำเจ้าตกใจอีกแล้ว”
หลี่เหยารู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวเมื่อถูกคนตรงหน้าจ้องมองไม่ละสายตา อีกใจก็เกรงว่าเขาจะจับได้ว่านางเป็นผู้หญิงแต่เห็นว่าเขาไม่ว่าอะไรจึงได้รีบทำแผลต่อโดยพยายามจะไม่สนใจสายตาของท่านอ๋องที่ยังจ้องมองนางอยู่
“ตัดไหมเสร็จแล้ว กระหม่อมจะค่อย ๆ ดึงออกมาอาจจะ…อาจจะเจ็บเล็กน้อย”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบ”
หลี่เหยาไม่พูดอะไรหลังจากนั้น ทำเพียงก้มหน้าก้มตาทำแผลให้เขาต่อไปจนท่านอ๋องเป็นผู้ทำลายความเงียบ
“หลี่เหยา เจ้ารู้จักบ่อน้ำพุอุ่นในถ้ำบนเนินเขาหรือไม่”
“บะ บ่อน้ำพุหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่ มันอยู่ในถ้ำบนเชิงเขา ข้ามักจะชอบไปที่นั่นแต่ตอนนี้ข้าบาดเจ็บและไม่ได้ขึ้นไปอาบน้ำที่นั่นแล้ว ที่นั่นค่อนข้างจะเงียบและไม่มีใครขึ้นไปเพราะเป็นเหมือนสถานที่ต้องห้ามสำหรับเหล่าทหาร”
“ไม่เคยทราบเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“เอาไว้เจ้าลองไปดูสิ ที่นั่นน่าจะมีสมุนไพรหายากเผื่อว่าเจ้าอยากจะทำยา”
“พ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยท่านอ๋อง”
หลี่เหยาที่ฟังและกำลังคิดถึงบ่อน้ำพุในถ้ำที่ว่านั้นก็เผลอยิ้มออกมา นานแค่ไหนแล้วนะที่นางไม่ได้แช่น้ำเช่นนั้นหลังจากที่เดินทางมายังเมืองลู่โจวแห่งนี้
ส่วนอีกฝ่ายที่ลอบสังเกตท่าทีก็พยายามทำเป็นไม่สนใจเพราะที่เขาบอกไปก็เพื่ออยากจะพิสูจน์ หากว่านางไปจริง ๆ เขาก็จะมั่นใจได้ว่าสิ่งที่เขาคิดและเห็นไม่ผิดจากที่คิด
“เสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ จากนี้เพียงแค่ใส่ยาตามเวลาก็เพียงพอแล้วไม่จำเป็นต้องพันแผลพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ขอบใจเจ้ามากหลี่เหยา เจ้าไปพักผ่อนเถอะ”
หลี่เหยารีบเก็บของและออกไปด้วยอารมณ์ที่ดีกว่าทุกครั้ง เขาที่ลอบมองถึงกับแอบยิ้มออกมาอย่างเผลอตัวแต่ก็รีบหุบยิ้มทันทีเมื่อนึกถึงฟางอี้หลงและราชโองการหมั้นหมายที่เขาได้รับเมื่อครั้งก่อน
หากว่าผิดสัญญากับสกุลฟาง เรื่องระหว่างเขากับฟางอี้หลงจะยังเหมือนเดิมอยู่หรือไม่ แต่ว่าในยามนี้สายตาที่หลี่เหยามองอี้หลงก็ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเช่นกัน ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรคงจะต้องพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้ให้ได้เสียก่อน
“ขออย่าให้เป็นอย่างที่ข้าคิดเอาไว้เลย หลี่เหยา”
คืนนั้น
หลี่เหยาค่อย ๆ เดินเลี่ยงออกมาหลังจากที่ทหารยามยอมปล่อยนางออกมาโดยอ้างว่าจะต้องไปเก็บยาสมุนไพรที่หลังเขาตามคำสั่งท่านอ๋อง ทหารในค่ายคุ้นเคยกับนางดีจึงเสนอตัวมาคุ้มกันแต่นางบอกเพียงว่านางไปเองจะสะดวกกว่าพวกเขาจึงกลับไปประจำการที่เดิม เมื่อนางเดินตามทางที่ท่านอ๋องบอก ไม่นานก็เห็นปากถ้ำที่อยู่ไม่ไกล
“ที่นี่เองหรือ ยอดไปเลย”
นางค่อย ๆ จุดตะเกียงและเดินเข้าไปตามเส้นทางและไม่นานก็เห็นแสงที่ส่องลงไปที่บ่อน้ำด้านในถ้ำ แสงจันทร์ที่ส่องลอดลงมายังบ่อน้ำทำให้สว่างจนไม่ต้องพึ่งพาแสงไฟทำให้หลีม่านตื่นตาตื่นใจไม่น้อย
“งดงามยิ่งนัก น้ำนี่อุ่นมากเลย ยอดเยี่ยมจริง ๆ”
นางค่อย ๆ หันไปมองแต่ที่นี่เงียบและไร้เสียงนางจึงค่อนข้างวางใจก่อนจะค่อย ๆ ปล่อยผมลงมาและถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้นจนเหลือเพียงชั้นในสีอ่อนด้านใน ทำเอาหัวใจผู้ที่ลอบมองอยู่เต้นกระตุกรุนแรงจนมือไม้สั่น
“ไม่จริง…นางเป็นผู้หญิงจริง ๆ ถ้าอย่างนั้น…นางชอบฟางอี้หลงงั้นหรือ”
เสียงเดินลงบ่อน้ำทำเอาหยางห่าวหรานกลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัวและต้องรีบหันหลบทันทีเพื่อมิให้นางจับได้ อีกทั้งใบหน้ายามต้องแสงจันทร์ของนางในยามนี้อาจจะทำให้เขาอยากจะเผยตัวออกจากที่ซ่อนเพื่อแสดงตัวให้นางรู้ว่าเขารู้ความลับของนาง แต่ก็ต้องยอมถอยออกมาและรอจนนางแช่น้ำจนพอใจและตามนางลงจากเขา
“นางเป็นสตรี แล้วเหตุใดจึงปกปิดความลับนี้เอาไว้ ท่านหมอตง….”
หลี่เหยายังคงมาทำแผลให้เขาทุกวันจนแผลหายสนิท แต่เขาก็อ้างหลากหลายเหตุผลให้นางมาทำแผลให้จนหลอกให้นางต้มยาเพื่อบำรุง
“ต้าเป่าต้มไม่ถูกวิธี ข้าเป็นแม่ทัพจำเป็นต้องบำรุงร่างกายให้ดี จากนี้เจ้าต้มมาให้ข้าดื่มเช้าเย็น”
แม้ว่าหลี่เหยาจะไม่ทราบสาเหตุแต่นางก็ไม่ได้ถาม ความสัมพันธ์ของนางกับคนในค่ายก็สนิทกันมากขึ้น ท่านอ๋องมักจะเห็นนางอยู่กับต้าเป่าและอี้หลงและทุกครั้งที่นางอยู่กับเขานางมักจะใช้สายตาที่เขามองแล้วต้องอิจฉาทุกครั้งจนเริ่มไม่พอใจ และลุกลามไปจนกระทั่งเป็นความหึงหวงโดยไม่รู้ตัว
“เช่นนั้นพวกท่านก็สามารถจัดการได้ในดาบเดียว ยอดจริง ๆ”
“ไม่ใช่ข้าคนเดียว ท่านอ๋องน่ะ”
“อะแฮ่ม!!”
“ท่านอ๋อง”
“พวกเจ้ามาทำอะไรกันที่กระโจมนี้ นี่มิใช่กระโจมของหมอหลวงหรอกหรือ”
“กระหม่อมต้องรีบนำยาไปให้พวกทหารที่บาดเจ็บ ขอตัวพ่ะย่ะค่ะ”
ต้าเป่าเป็นคนแรกที่เอาตัวรอดไปได้ ส่วนอี้หลงที่กำลังช่วยนางบดยาอยู่นั้นยังไม่รู้ตัวว่าทำให้ท่านอ๋องไม่พอพระทัยอยู่ เขายังหันไปถามหลี่เหยา
“บดเช่นนี้ทุกวันมือของเจ้าคงแตกหมดแน่”
“พี่อี้หลงกล่าวเกินไปแล้วข้าก็มิได้...”
“อี้หลง!”
“ท่านอ๋อง มีสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“นี่เจ้าเป็นรองแม่ทัพของข้าหรือว่าเป็นผู้ช่วยหมอ”
“เอ่อ…กระหม่อม…”
“ข้าสั่งให้เจ้านำหน่วยลาดตระเวนออกไปรอบค่ายเจ้าทำหรือยัง”
“ยังพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นกระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้ อ้อหลี่เหยาข้าเห็นต้นเหวินลี่สีม่วงที่เจ้าบอกอยู่แถว ๆ เนินเขา ขากลับข้าจะแวะเก็บมาให้เจ้านะ”
“ขอบคุณพี่อี้หลงขอรับ”
“ข้าไปก่อนนะ”
สายตาที่ยิ้มให้อี้หลงผ่านผ้าปิดปากนั่นทำให้ท่านอ๋องนึกอยากจะกระชากตัวฟางอี้หลงและลากคอเขาออกไปจากค่ายเสียจริง ๆ นับตั้งแต่ที่รู้ว่าหลี่เหยาเป็นสตรีเขาก็แทบจะไม่อยากให้ผู้ใดเข้าใกล้นางและทำตัวสนิทสนม แม้แต่องครักษ์ข้างกายของเขาก็มักจะมาขลุกตัวกับนางบ่อย ๆ จนเขาเริ่มโมโห
“ดูเหมือนว่ากระโจมของหมอหลี่เหยาจะเนื้อหอมเสียจริงนะ ทั้งองครักษ์ของข้าและรองแม่ทัพข้างกายต่างก็ชอบมาที่นี่กันหมด”
ท่านอ๋องหันไปสบตากับนางเป็นครั้งแรกในรอบหลาย ๆ วันมานี้ หลีม่านเองก็ไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับเขาแล้วเช่นกัน“หม่อมฉันเพียงแค่แจ้งให้ทราบ มิได้ขออนุญาตพระองค์นะเพคะ”“เดี๋ยวก่อน! เจ้าจะไปไหน”“จะไปเตรียมของเพื่อไป ว้าย! ห่าวหรานท่านทำอะไรน่ะ”“ข้าจะดูสิว่าผ่านวันนี้ไปเจ้าจะมีแรงลุกจากเตียงกลับไปที่สกุลฟางอยู่หรือไม่”“อย่านะ หยางห่าวหรานท่านปล่อยข้าลงนะ คนบ้าท่านปล่อยข้านะ”“เงียบเถอะเหยาเหยา ยิ่งเจ้าร้องมากเท่าไหร่ข้ายิ่งรู้สึกอยากรังแกเจ้ามากเท่านั้น เพราะฉะนั้นเก็บแรงไว้ร้องครางบนเตียงเถอะ”ท่านอ๋องพาพระชายาเข้ามาในห้องนอนพร้อมกับลงกลอนแน่นหนาเมื่อวางร่างของนางลงที่เตียงได้ก็เริ่มจับนางมากอดและซุกไปทั่วทั้งกายด้วยความคิดถึง“เหยาเหยาเจ้าใจร้ายกับข้าเกินไปแล้ว ไม่คุยกับข้าตั้งสามสี่วันนี่ยังจะหอบลูกหนีไปอีกงั้นหรือ”“อย่านะเพคะ พระองค์มิได้ต้องการ…”“ข้าต้องการ ใครพูดว่าข้าไม่ต้องการกัน เจ้าต่างหากที่เอาแต่ผลักไสข้า ไม่ต้องการข้าแล้วงั้นหรือเจ้าใจร้ายเกินไปแล้ว”“เดี๋ยวก่อนเพคะ คุยกันก่อน”“ไม่ เอาไว้คุยหลังจากนี้เถอะเจ้าจะให้ข้าทนอีกงั้นหรือ ข้าอดทนมากี่วันกี่คืนแล้วเจ้าไม่รู้หรือ เจ
ฮูหยินทั้งสองเดินทางมาเยี่ยมหลีม่านและเมื่อเห็นสีหน้าไม่ดีของพระชายาจึงได้เอ่ยถาม หลีม่านหมดหนทางจึงได้เอ่ยปากปรึกษาเรื่องนี้ไปตอนนี้ลูกทั้งสองกำลังสนุกกับการเล่นดาบไม้และตุ๊กตาผ้าที่ท่านตาและอี้หลงนำมาให้จึงไม่ได้สนใจท่านยายทั้งสองกับท่านแม่ที่อยู่ระเบียงหน้าเรือนรับรองแขก“เช่นนั้นเจ้าก็ลองคิดดูสักหน่อยเถิด แม่ว่าเรื่องนี้ท่านอ๋องก็น่าเห็นใจไม่น้อย คงจะอยากได้บุตรเพิ่มจริง ๆ”“นั่นสิม่านเอ๋อร์ แม่รองคิดว่าที่แม่เจ้าพูดมาก็ถูก หานเยว่กับหลินอิงก็อายุจะสี่ขวบแล้ว เจ้าเว้นช่วงมานานท่านอ๋องก็คงอยากจะได้บุตรเพิ่ม อีกอย่างเจ้าดูสิ ทั้งสองคนติดท่านตากับท่านลุงเช่นนี้ท่านอ๋องก็คงอยากจะมีลูกสาวลูกชายเพิ่มเพื่อจะได้เล่นกับพวกเขาบ้าง”“แต่ว่าพี่ใหญ่กับฉวนหลานเองก็มีบุตรสองคนเช่นกัน เหตุใดพวกเขาไม่มีปัญหาเรื่องนี้เล่าเจ้าคะ”“ไม่ใช่ไม่มีแต่สุขภาพของหลานเอ๋อร์เจ้าก็รู้อยู่นี่นา นางเองก็สุขภาพพึ่งจะฟื้นฟูได้ไม่กี่ปี มีลูกสองคนก็นับว่าเก่งมากแล้ว แต่เจ้าที่สุขภาพแข็งแรงดีอีกอย่างเชื้อพระวงศ์อื่น ๆ ก็มีลูกมากเป็นธรรมดา”“ช่างเถิดเจ้าค่ะ เรื่องนี้เอาไว้ข้าจะคุยกับท่านอ๋องอีกครั้ง”“อืม เช่นนั้นวันน
สี่ปีต่อมา“ยกขาขึ้นสูง ๆ อาเจินไปเอาไม้มา”“แต่ว่าพระชายาเพคะ”“ข้าบอกให้ไปเอาไม้มา”อาเจินหันไปมองท่านหญิงและท่านชายที่ถูกพระชายาทำโทษเพราะแย่งขอเล่นจนทะเลาะกัน ซึ่งนางเคยสอนและตักเตือน “หยางหานเยว่” กับ “หยางหลินอิง” ฝาแฝดแสนซนที่อายุยังไม่ครบสี่ขวบดีก็ซนและเริ่มทะเลาะกัน อาเจินถือไม้ไผ่ที่หลีม่านเคยสั่งให้เหลาเอาไว้มาและถือไว้ เมื่อเด็กน้อยทั้งสองเห็นไม้ในมือท่านแม่ก็เริ่มร้องไห้อีกครั้ง“รู้หรือไม่ว่าทำอะไรผิด”“ฮึก ฮึก ท่านแม่ขอรับลูกสำนึกแล้วแต่ว่า…”“รู้แล้วเหตุใดถึงยังทำอีก แม่เคยพูดแล้วว่าถ้าทะเลาะกันอีกก็ต้องถูกลงโทษ เยว่เอ๋อร์ เจ้าเป็นพี่เจ้าเดินออกมาก่อน”“แต่ข้า…”“อาเยว่ของตา!! เดี๋ยวก่อน ๆ ม่านเอ๋อร์นี่เจ้าทำอะไรน่ะ”“ท่านตา! ฮิือ….”หานเยว่รีบวิ่งไปหาท่านตาทันทีเมื่อเห็นท่านแม่ที่ถลึงตามองด้วยความโกรธ พวกเขารู้ดีว่าท่านแม่จะไม่ทำโทษหากว่ามีแขกมาที่จวน “อิงเอ๋อร์หลานลุงเป็นอะไรไป”“ท่านลุง ฮือ….”“นี่พวกท่าน…. กลับมานี่นะ หานเยว่ หลินอิง”หลินอิงรีบวิ่งไปหาฟางอี้หลงที่เดินมาพร้อมกับท่านตาได้ทันเวลาก่อนที่พวกเขาจะถูกทำโทษ ไม้ไผ่เหลาอย่างดีในมือของหลีม่านสั่นเมื่อเห็นลู
ประทัดหน้าจวนอ๋องเดิมซึ่งเป็นที่พักขององค์หญิงเจ็ด “เอี้ยฉวนหลาน” ดังขึ้นเมื่อขบวนเกี้ยวเจ้าบ่าวมาถึงหน้าประตูจวน องค์รัชทายาทแห่งซีเป่ยมาพร้อมกับชินหยางอ๋องและพระชายาที่เริ่มมีครรภ์โตขึ้นจากเดิมก็หันไปมองทันที“พี่ใหญ่มาแล้วเพคะ”“ฉางซือท่านจะทำจริง ๆ น่ะหรือ นี่เป็นธรรมเนียมของซีโจวท่านเป็นถึงองค์รัชทายาท ที่จริงไม่ต้องทำก็ได้”“ไม่ได้ ๆ ห่าวหรานท่านอย่าได้ปรามาสเรา นี่งานแต่งของหลานเอ๋อร์ทั้งทีข้าในฐานะพี่ชายของนางก็ต้องทำให้ครบพิธี มิเช่นนั้นคงรู้สึกผิดกลับไปซีเป่ยเป็นแน่”“เช่นนั้นก็ตามใจท่านเถอะ ไปเถอะเหยาเหยา เจ้าค่อย ๆ เดินนะ”“เพคะ”ท่านอ๋องไม่ยอมให้พระชายาอยู่ห่างพระวรกายเลยตั้งแต่ครรภ์นางมากขึ้น ทั้งคู่เดินออกมาด้านนอกเพื่อรับแขกที่มาร่วมในงาน ฟางอี้หลงในชุดเจ้าบ่าวหล่อเหลาสง่างามเมื่อลงจากม้ามาคำนับท่านอ๋อง“ยินดีด้วยอี้หลง ในที่สุดก็ถึงวันมงคลเสียที ข้ากับเหยาเหยาขออวยพรให้เจ้าและฉวนหลานมีความสุขยั่งยืนนานลูกหลานเต็มเมือง”“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าสาวมาแล้ว!”เสียงของแม่สื่อดังออกมาพร้อมกับขบวนเจ้าสาวที่มีสาวใช้ของฉวนหลานพยุงเพื่อพาเจ้าสาวเดินออกมา องค์รัชทายาทของซีเป่ยเ
หลีม่านค่อย ๆ เดินเข้าไปเพื่อถอดชุดเจ้าบ่าวของท่านอ๋องออกแต่นั่นก็ดูเหมือนจะไม่ทันใจของอีกฝ่ายที่ทนเห็นอกอวบอิ่มตรงหน้าที่พุ่งเข้ามาไม่ไหว ปลายเริ่มโลมเลียผ่านชั้นในบางสีแดง มือเริ่มดึงเชือกที่ผูกลำคอและดึงสิ่งที่ปิดกั้นอยู่ออกจนหมด ร่างบางแหงนหงายตามแรงดูดกระชากจากลิ้นสวาทของพระสวามี“อ๊าา ห่าวหราน อ๊าา…”ไม่นานหลีม่านก็ถูกดึงขึ้นมาที่เตียง ชุดที่เหลือถูกสะบัดออกอย่างรวดเร็วจนนางมองตามไม่ทัน ตอนนี้ริมฝีปากของทั้งคู่ประกบเข้าด้วยกันราวกับโหยหามานานแสนนาน ผ้าห่มถูกละเลยอีกทั้งม่านรอบเตียงก็ยังค่อย ๆ ถูกดึงลงมา“อ๊าา ห่าวหราน อื้อ”“เหยาเหยาของข้าช่างงดงามนัก กลิ่นของเจ้าและตัวเจ้าทั้งหอมและหวานมากกว่าครั้งใด ๆ”ท่านอ๋องปวดกายหนึบจนเกือบจะทนไม่ไหว มังกรยักษ์ของพระองค์ไม่เคยเรียกร้องมากถึงเพียงนี้มาก่อนแม้ว่าพระองค์อยากจะค่อย ๆ ทำพิธีส่งตัวไปอย่างช้า ๆ แต่ความเร่าร้อนของพระชายาตรงหน้ากลับไม่เป็นใจเอาเสียเลย“ข้าทนไม่ไหวแล้วเหยาเหยา เริ่มกันเถอะนะ อาา…อุ่นเหลือเกิน ยังแน่นไม่เปลี่ยน อาา…”เสียงครางแหบต่ำทำให้พระชายาเริ่มตอดรับตามจังหวะพร้อมกับเบียดกายเรียกร้องให้ท่านอ๋องชื่นชมส่วนอื่น ซึ่
ท่านอ๋องขึ้นม้าพร้อมกับสายสะพายโบสีแดงที่ฉวนหลานยื่นให้ด้วยสีหน้าหมั่นไส้พี่ชายตัวเองเล็กน้อยแต่ก็ยิ้มให้เขาด้วยความดีใจ“ยินดีด้วยเพคะท่านอ๋อง”“ขอบใจองค์หญิง แล้วพบกันในวังนะ”“เพคะเสด็จพี่รอง”ชินหยางอ๋องยิ้มให้ฉวนหลานก่อนจะค่อย ๆ ดึงบังเหียนของเสี่ยวเซินออกจากจวนสกุลฟาง ขบวนเจ้าสาวของชินหยางอ๋องเริ่มเคลื่อนออกจากจวนสกุลฟางแล้ว ครั้งนี้งานอภิเษกถูกจัดขึ้นในวังหลวงซึ่งฮ่องเต้มีพระราชโองการให้องค์รัชทายาทเป็นผู้จัดการงานทั้งหมดท้องพระโรง เมื่อเจ้าบ่าวรับเจ้าสาวลงจากเกี้ยวก็ค่อย ๆ พยุงนางออกมาและทั้งคู่ก็รับโบแดงซึ่งมีหมัวมัวในวังยื่นให้ ทั้งสองเดินขึ้นบันไดไปยังท้องพระโรงที่มีฝ่าบาทและฮองเฮา แม่ทัพฟางและฮูหยินทั้งสอง แขกเหรื่อในงานพร้อมกับเหล่าขุนนางที่รอร่วมยินดีกับทั้งคู่อยู่ด้านใน เมื่อทั้งสองเข้ามาในท้องพระโรงแล้ว กงกงจึงดำเนินการตามประเพณี“คำนับที่หนึ่ง…คำนับฟ้าดิน”“คำนับสอง คำนับบิดามารดา”“คำนับสาม… คำนับกันและกัน”กงกงเดินนำไม้มงคลมายื่นให้ชินหยางอ๋องก่อนจะกระซิบ“ท่านอ๋องเชิญเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวพ่ะย่ะค่ะ”“ขอบคุณกงกง”หยางห่าวหรานรับไม้บนพานออกมาและค่อย ๆ เปิดหน้าเจ้าส