แชร์

บทที่ 2

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-06-04 13:04:14

เอาของไปขายตลาด

“ท่านพี่ ท่านพี่ทำอะไรหรือขอรับ”

เด็กชายตัวน้อยกระตุกชายผ้าของเจียอียืนเรียกอยู่ข้าง ๆ เจียอีหันกลับมามองอันฉีก็ยิ้มให้นางอย่างสดใส เด็กน้อยผู้นี้น่ารักน่าชังเสียจริง เช่นนั้นเขาก็คงจะเป็นน้องชายนางเป็นแน่ เมื่อวานในตอนที่นางสะลึมสะลือกึ่งหลับกึ่งตื่นได้ยินเขาเรียกลู่เสียนว่าแม่ เจียอีก้มลงนั่งยอง ๆ ต่อหน้าอันฉีแล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“น้องพี่ พี่เพิ่งฟื้นขึ้นมาอาจจะหลง ๆ ลืม ๆ ไหนเจ้าลองบอกพี่มาทีว่าเจ้ามีชื่อว่าอย่างไร”

“ข้าชื่ออันฉี ท่านพี่ชอบเรียกข้าว่าอาฉี”

“แล้วหญิงสองคนนั้นมีชื่ออย่างไร”

“ท่านแม่ชื่อลู่เสียน ท่านยายชื่อหวังจื่อรั่วขอรับ”

“แล้วบ้านนี้อยู่กันกี่คน มีเท่านั้นนะหรือ”

“ยังมีท่านตาอีกขอรับ ท่านตาชื่อเจียงตงซิ่ว ข้าได้ยินท่านยายคุยกับท่านแม่ว่าท่านตาไปล่าสัตว์กับเพื่อนบ้าน ไม่แน่ใจว่าจะกลับวันไหนขอรับ”

“อืม เข้าใจแล้ว”

ในเมื่อกลับไปโลกปัจจุบันไม่ได้แล้ว เจียอีก็ขอใช้ชีวิตใหม่ ณ ที่แห่งนี้ให้ดี ดีเหมือนกันได้กลับมาเป็นเด็กสาวอีกครั้ง แม้ทุกอย่างจะอัตคัดขัดสน อย่างไรครอบครัวนี้ก็ดูอบอุ่นมากกว่าครอบครัวในยุคปัจจุบันของนางมากนัก มีแม่และยายที่รักใคร่เอ็นดู และมีน้องชายที่น่ารัก ถึงสภาพความเป็นอยู่ครอบครัวจะไม่ได้ร่ำรวยก็ไม่เป็นอะไร

“เหตุใดบนตัวข้ากับเจ้าถึงได้มีรอยเขียวช้ำไปทั้งตัวแบบนี้เล่า”

“เมื่อวานนี้พอท่านพ่อจากไป ท่านแม่กับพวกเราก็ถูกไล่ออกมาจากตระกูลหลิน พวกเราทั้งสามถูกท่านลุงฮุ่ยเฟิน ท่านป้า และลูก ๆ ของท่านลุงตีขอรับ”

“เลวทรามต่ำช้านัก! มารดามันเถอะ!”

เจียอีสบถออกมาด้วยความโมโห จนเด็กน้อยที่ยืนข้าง ๆ สะดุ้งกับท่าทีของพี่สาวที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต ปกติเจียอีเงียบขรึมเรียบร้อยพูดน้อย เป็นเด็กสาวที่พูดจาไพเราะน่าฟัง และมักจะสำรวมอาการอยู่เสมอ เพราะถูกลู่เสียนอบรมสั่งสอนมาอย่างดีให้นอบน้อมถ่อมตน แต่หลังจากฟื้นขึ้นมาแล้วบุคลิกของนางแปลกไปราวกับคนละคน

“เจ้าเด็กน้อย เอ่อ เจ้ามีชื่อว่าอะไร อาฉี ใช่ ใช่อาฉี คนอื่นไปไหนกันหมดล่ะ”

“ท่านแม่กับท่านยายเข้าป่าไปเก็บของป่าก็เลยสั่งให้ข้าช่วยดูท่านพี่ขอรับ”

“อ๋อ อื้ม เช่นนั้นมีอะไรกินบ้าง ข้าหิวจนไส้จะขาดแล้ว”

“ท่านพี่หิวหรือขอรับ”

เด็กชายตัวน้อยเดินนำหน้าเข้าไปในครัว บนเตาถ่านที่ไฟดับสนิทแล้วมีหม้อดินตั้งอยู่ เจียอีไม่รอช้ารีบเข้าไปเปิดดู พบว่าข้างในคือโจ๊กข้าวฟ่างใส่ผักที่เติมน้ำเข้าไปจนโหรงเหรง มองดูแล้วคล้ายอาหารหมูเสียมากกว่า เจียอีจึงปิดฝาหม้อดินไว้ตามเดิม นางกลืนน้ำลายฝืด ๆ ลงคอแล้วเบือนหน้าหนี

“อาฉี นี่หรืออาหารที่เจ้ากิน”

“ขอรับท่านพี่ เมื่อเช้านี้ข้ากินโจ๊กนี่ ท่านแม่บอกว่าบ้านท่านยายยากจนนัก เราจะใช้ชีวิตเหมือนตอนที่อยู่บ้านหลินไม่ได้ ท่านพี่ก็กินเถิดขอรับเดี๋ยวข้าจะไปนำน้ำมาให้”

หลินอันฉีเดินออกไปจากห้องครัว เจียอีได้แต่ถอนหายใจลากยาว คว้าเอาถ้วยมาตักโจ๊กข้าวฟ่างแล้วยกซด เมื่อโจ๊กเข้าไปในปากนางก็อาเจียนออกมาในทันทีพร้อมกับไอสำลัก โจ๊กข้าวฟ่างที่รสชาติแย่แบบนี้เจียอีไม่เคยกินมาก่อน ในยุคปัจจุบัน ถึงจะขัดสนเงินทองมากแค่ไหน ในยุคนั้นบะหมี่สำเร็จรูปราคาถูกยังพอจับจ่ายหาซื้อมาได้ แถมมีรสชาติดีกว่าโจ๊กเหลว ๆ นี่สามสี่เท่า จะให้เรียกว่าน้ำต้มข้าวไปเลยก็พอจะได้ โชคดีที่อันฉีเดินถือกาน้ำดื่มมาพอดีนางจึงรีบเอามายกดื่มล้างปาก

ไม่ได้การแล้ว...เดิมทีนางคิดว่าทะลุมิติเข้ามาในครอบครัวที่ไม่ร่ำรวยก็ไม่เป็นไร แต่ดูเหมือนครอบครัวนี้จะยากจนเกินไป หากอยากมีชีวิตอยู่รอดก็จะต้องหาเงินสำรองไว้ ในยุคสมัยที่ผู้คนอดอยาก ปัจจัยสี่กลายเป็นปัญหาใหญ่ของครอบครัวที่มีต้นทุนต่ำ

“ท่านพี่ดีขึ้นบ้างหรือไม่ขอรับ”

“พี่ดีขึ้นแล้ว ขอบใจเจ้ามาก น้ำดื่มนี่รสชาติประหลาดนัก”

“น้ำดื่มนี่ข้าไปตักมาจากบ่อน้ำหลังบ้าน”

“เช่นนั้นเราควรจะเอามาต้มฆ่าเชื้อโรคก่อนเอามาดื่ม บ่อดินไม่สะอาด เชื้อโรคปนเปื้อนมาก็กินไม่ได้ ในยุคที่ผู้คนอดอยากแบบนี้หากเกิดโรคระบาดขึ้น การที่ยารักษาโรคดี ๆ จะเข้าถึงนั้นอย่าหวัง เพราะฉะนั้นเราก็ควรใส่ใจเรื่องอาหารการกินให้มากขึ้น”

น้องชายตัวน้อยเอียงคอสงสัย เขาไม่เคยรู้จักว่าสิ่งใดคือเชื้อโรค

“สิ่งใดคือเชื้อโรคหรือท่านพี่ ทำไมเราถึงกินเชื้อโรคไม่ได้ มันไม่อร่อยหรือขอรับ”

“โธ่ เด็กน้อย เชื้อโรคหรือจุลชีพก่อโรค คือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วอาจทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย หากเผลอกินเข้าไปเราอาจจะป่วยและอาจจะตายได้ เพราะฉะนั้นเราต้องฆ่าเชื้อโรคก่อน”

“ฆ่า? ...ทางการจะจับเราขังคุกไหมขอรับ”

“แน่นอนว่าไม่ มาเถอะ มาช่วยพี่จุดไฟ เราจะเอาน้ำมาต้มไว้ดื่ม”

“ขอรับ”

สองพี่น้องช่วยกันก่อไฟจนติด จากนั้นเทน้ำที่อันฉีตักมาใส่กาต้มน้ำ นำขึ้นตั้งบนเตาต้มจนเดือด แล้วก็รอจนอุ่นถึงดื่ม ครู่ต่อมานางหวังและลู่เสียนก็กลับถึงบ้าน เจียอีและอันฉีจึงรีบวิ่งออกมารับแม่และยาย ในตะกร้าที่ลู่เสียนถืออยู่มีเห็ดหูหนูจำนวนมากและผักป่าอีกสองชนิด

“ท่านแม่ ส่งมาให้ข้าเถอะ ข้าจะช่วยท่านถือเอง”

“เจียเอ๋อร์ เจ้าดีขึ้นแล้วหรือ”

“ข้าดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ”

เจียอีได้ตะกร้ามาแล้วก็ยกมาวางไว้ที่ระเบียงบ้าน ส่วนอันฉีวิ่งไปเอาน้ำดื่มที่ฆ่าเชื้อจนเย็นแล้วมาต้อนรับนางหวังและลู่เสียน

“ท่านยาย ท่านแม่ นี่คือน้ำที่ท่านพี่กับข้าช่วยกันต้มฆ่าเชื้อโรคขอรับ”

“ฆ่าเชื้อโรค?”

นางหวังถามย้ำ หันไปมองหน้าหลานสาวด้วยความสงสัย ลู่เสียนเองก็ไม่ต่างกัน แต่ไหนแต่ไรก็มักจะดื่มชาที่ผ่านความร้อนหรือน้ำอุ่นเป็นประจำอยู่แล้ว หากดื่มน้ำอุณหภูมิปกติก็ไม่เคยเห็นว่าจะต้องนำไปต้มก่อนสักครั้ง พออยากจะเอ่ยถามเจียอีก็รีบชิงเปลี่ยนเรื่องเสียก่อนเพราะขี้เกียจอธิบายยืดยาว

“ท่านแม่ได้เห็ดหูหนูมามากมายขนาดนี้จะเอาไปทำอะไรหรือเจ้าคะ”

“แม่จะตากให้แห้งสักสองถึงสามวัน แล้วเก็บไว้ทำอาหาร”

“ได้มามากมายขนาดนี้ให้ข้ากับอาฉีช่วยกันเอาไปขายที่ตลาดดีไหมเจ้าคะ”

“เจ้ากับอาฉีนะหรือ”

“เจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นอีกสามวัน แม่ตากแห้งแล้วพวกเจ้าทั้งสองก็เอาไปขายที่ตลาดเถอะ”

ลู่เสียนแทบไม่เชื่อหูตัวเองว่าเด็กสาวขี้อายอย่างเจียอีจะอยากไปนั่งขายของที่ตลาด ส่วนมากนางจะเก็บตัวอยู่บ้าน ทำงานบ้านและงานเรือน เรื่องออกตลาดนั้นนาน ๆ ครั้ง เพราะเจียอีให้เหตุผลว่านางไม่ชอบพื้นที่แออัดมีผู้คนมากมายเบียดเสียดกันไปมา

“ได้เจ้าค่ะท่านแม่ อีกสองวันข้าจะเอาไปขาย”

เจียอีรีบรับปากไปเพราะกลัวว่าจะไม่ได้ไปขายของที่ตลาด เมื่อกินอาหารเย็นร่วมกันแล้วทุกคนต่างเข้านอน รุ่งสางลู่เสียนก็เอาเห็ดหูหนูออกตาก พอตกเย็นก็เก็บเข้าบ้าน เช้ามาก็เอาออกตากใหม่ ทำแบบนี้จนกว่าเห็ดหูหนูจะแห้งสนิทดี ตลาดในเมืองไกลจากหมู่บ้าน 10 ลี้ เจียอีและอันฉีต้องออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ ระหว่างทางทั้งสองได้หยุดพักเหนื่อยบ้าง แต่ก็ต้องเร่งฝีเท้าเดินต่อไปเพื่อให้ถึงตลาดโดยไว ที่ตรงไหนว่างสองพี่น้องก็จับจองไว้ จากนั้นหันไปถามลุงคนหนึ่งที่นั่งขายถังหูลู่อยู่ข้าง ๆ

“ท่านลุงเจ้าคะ ข้ากับน้องสามารถขายของตรงนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ”

“ได้ ๆ ที่ตรงนี้เป็นของข้าเอง แต่พวกเจ้าต้องจ่ายข้าวันละ 5 อีแปะเป็นค่าเช่าที่นะ”

“5 อีแปะเชียวหรือเจ้าคะ”

“อืม 5 อีแปะ”

“เอ่อ...ข้ายังไม่ได้พกเงินมามากนัก เอาไว้หากขายของได้แล้วข้าค่อยจ่ายได้หรือไม่เจ้าคะ”

“ไม่ได้! ถ้าไม่มีข้าก็ไม่ให้ขาย ไสหัวไปซะ อย่ามาเกะกะใกล้ร้านข้า”

ลุงโวยวายใหญ่ โบกมือไล่สองพี่น้องออกไปให้พ้นหน้าร้าน มิหนำซ้ำยังปัดตะกร้าเห็ดหูหนูของเจียอีร่วงลงพื้น เสียงเอะอะของลุงทำให้คนในละแวกนั้นหันมามองเป็นตาเดียวกัน รวมไปถึงหญิงสาวนางหนึ่งที่กำลังเลือกปิ่นปักผมอยู่ไม่ไกล หญิงสาวผู้นี้แต่งกายด้วยผ้าเนื้อดีราคาแพง ใส่เครื่องประดับงดงาม นางวางปิ่นปักผมในมือลงทันที รีบเดินตรงปรี่มาทางที่คนกำลังโต้เถียงกันอยู่

“โกหก! ที่ตรงนี้ไม่ใช่ของท่านลุงผู้นี้สักหน่อย ที่ตรงนี้เป็นของทางการ ไม่ว่าใครก็สามารถนำของมาวางขายได้โดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าที่”

สือเฟิ้งหรั่น เจ้าของร้านขายของแห้งอายุ 22 หนาว หน้าตางดงาม ลักษณะท่าทางโผงผางซื่อตรง คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น เมื่อเห็นว่าฝ่ายที่โดนเอาเปรียบคือเด็กสาวและเด็กชาย เฟิ้งหรั่นจึงเกิดอารมณ์โมโหทนไม่ไหวรีบเข้ามาช่วยพูด

“แม่นาง เจ้าพูดจาเหลวไหล คนแถวนี้ต่างก็รู้กันหมดว่าที่ตรงนี้เป็นของข้า”

“ที่ของท่านลุงอย่างนั้นหรือ ได้! เช่นนั้นข้าจะให้ท่านพ่อของข้าถามเพื่อนที่เป็นคนของทางการดูว่าที่ตรงนี้เป็นของผู้ใดกันแน่ หากได้ความชัดแจ้งแล้วว่าท่านลุงยักยอกสมบัติส่วนกลางมาหาประโยชน์ส่วนตน โทษคือถูกโบยสามสิบไม้แล้วห้ามขายของที่ตลาดนี้ไปตลอดชีวิต”

“โอหังนัก! พวกเด็กเมื่อวานซืน”

ลุงเจ้าของร้านถังหูลู่เมื่อเถียงสู้เฟิ้งหรั่นไม่ได้ก็เลือกที่จะด่าทอแทน จนคนที่มาเดินจับจ่ายซื้อของและพ่อค้าแม่ค้าต่างก็มามุงดู พอเห็นว่าคนเริ่มเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ตาลุงเจ้าเล่ห์ก็กลัวว่าเรื่องนี้จะไปถึงหูทางการเข้าจริง ๆ เพราะที่ตรงนี้ถือเป็นที่ส่วนกลางที่ตนถือวิสาสะเก็บเงินกับคนที่เอาของมาตั้งวางขาย เสียงซุบซิบของชาวบ้านก็เริ่มดังขึ้นจนหนาหูเป็นสองเสียง บ้างก็ว่าที่ตรงนี้มีเจ้าของ บ้างก็ว่าที่ตรงนี้เป็นของทางการให้วางขายได้ไม่คิดเงินค่าเช่า สับสนมึนงงปนเปไปคนละทิศละทาง

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • จากสาวน้อยบ้านนาสู่ภรรยาท่านแม่ทัพ   บทที่ 139

    เจียอียิ้มแห้งแล้ววางฝ่ามือลูบตรงท้องน้อย ลู่จิวเห็นท่าทางเช่นนั้นก็ได้แต่เอียงคอมองด้วยความสงสัย "ห๋า!...อย่าบอกนะว่าเจ้า""อื้ม""จะ เจ้าหิว!""...เฮ้อ..."เหตุใดลู่จิวถึงไม่เปลี่ยนไปเลยนะ..."ข้ากำลังตั้งครรภ์ต่างหากเล่า""ตั้งครรภ์! จริงหรือเนี่ย""จริง"สิ้นเสียงยืนยันลู่จิวกระโดดโลดเต้นราวก

  • จากสาวน้อยบ้านนาสู่ภรรยาท่านแม่ทัพ   บทที่ 138

    "...ตั้งครรภ์!"แม้น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจะตกใจเล็กน้อย แต่ชายหนุ่มก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจระคนตื่นเต้น เขาจำต้องทวนถามสาวใช้อีกครั้งเพราะไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง"จริงหรือ""เจ้าค่ะ คนท้องมักจะอยากกินของแปลก ๆ หากไม่ได้กินก็จะงอแงน้อยใจ ท่านแม่ทัพเชิญหมอมาตรวจดูดีกว่าเจ้าค่ะเพื่อความแม่นยำ""อืม เช

  • จากสาวน้อยบ้านนาสู่ภรรยาท่านแม่ทัพ   บทที่ 137

    บทส่งท้ายจากสาวน้อยบ้านนาสู่ภรรยาท่านแม่ทัพหลายเดือนผ่านไปที่ค่ายบูรพายังคงสงบสุขด้วยดี สาวใช้สองนางที่ประจำการอยู่เรือนรับรองเดินยกอาหารเข้ามาให้เจียอี หนึ่งในสองคนนั้นวางอาหารลงบนโต๊ะแล้วเดินไปเรียกเจียอีที่กำลังทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่ที่เตียง"ฮูหยินเจ้าคะ ข้าได้ทำตามวิธีการที่ฮูหยินบอกทุกประกา

  • จากสาวน้อยบ้านนาสู่ภรรยาท่านแม่ทัพ   บทที่ 136

    "ไปอยู่ที่ค่ายบูรพาดูแลตัวเองดี ๆ นะ""ข้าจะดูแลตัวเองดี ๆ...เจ้าก็เช่นกัน""อื้ม" หลังจากร่ำลาเรียบร้อยแล้วลู่จิวก็หันมาสบตาจือเฉิน เขายกยิ้มให้นางเล็กน้อย เดิมทีคิดว่าลู่จิวจะมาเพื่อรั้งเขาไว้หรือพูดอะไรสักอย่าง แต่ไม่เป็นอย่างที่คิด...นางแค่มาลาสหายของนางเพียงเท่านั้นจือเฉินรู้สึกเหมือนหัวใจแหล

  • จากสาวน้อยบ้านนาสู่ภรรยาท่านแม่ทัพ   บทที่ 135

    ดินแดนบูรพา (จบ)ในระหว่างที่ลู่จิวและอู๋ห่างกำลังจะเดินทางถึงหน้าโรงเตี๊ยม จือเฉินได้ควบม้ามาขวางเอาไว้ จึงทำให้คนขับรถม้าต้องดึงบังเหียนหยุดกะทันหัน คนที่นั่งอยู่ในรถม้าไม่ทันตั้งตัวทำให้ร่างกายเสียหลักจากแรงบังคับหยุด ลู่จิวรีบประคองอู๋ห่างเอาไว้แล้วแหวกม่านเดินลงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่ด้านนอก พ

  • จากสาวน้อยบ้านนาสู่ภรรยาท่านแม่ทัพ   บทที่ 134

    "อื้อ...จริงสิ ข้าเห็นยามากมายในห้องท่านพ่อ ปกติท่านพ่อกินยาบำรุงเยอะขนาดนี้เลยหรือ""...คุณหนู ข้า...เอ่อ ข้าไม่รู้จะพูดดีไหม""พูดมา""คราวนั้นที่ข้าล่วงหน้ากลับมาก่อน พอข้ามาถึงก็พบเถ้าแก่หยวนนอนหมดสติอยู่ในห้องอ่านตำราของคุณชายจางหย่ง ดีที่เรียกหมอมาดูอาการทันเวลา ตั้งแต่นั้นมาเถ้าแก่ก็ป่วยบ่อย

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status