ログイン“หม่อมฉันจะเอาเตียงนอนมาเปลี่ยนให้ใหม่”
“ห้ามเจ้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับที่ส่วนตัวของข้า” ใบหน้าหยกเคร่งขรึมลงทุกที เบื่อหน่ายกับความเจ้ากี้เจ้าการเกินเหตุของเยี่ยนฟาง
“เหตุใดเล่า เตียงท่านแข็งอย่างกับแผ่นไม้ นอนไปประเดี๋ยวจะปวดหลังเอาได้”
“นั่นมันเรื่องของข้า”
“เรื่องของพระองค์ผู้เดียวเสียเมื่อไรกัน หม่อมฉันมิอยากนอนหลังขดหลังแข็งนะเพคะ”
“จะ เจ้า…” นางกล่าวเช่นนี้ หมายความว่าจะมานอนกับเขาหรือ
“คิๆ หม่อมฉันหยอกเล่นเพคะ หากเปลี่ยนอันใหม่ก็จะได้นอนสบายขึ้น จริงหรือไม่เจ้าคะท่านขันที”
“จริงๆ จริงอย่างคุณหนูเกาว่า”
“เช่นนั้นท่านขันทีนำคนของข้าไปที่ห้องนอนทีเถิด”
“ได้ๆ พวกเจ้าตามข้ามาทางนี้” ขันทีเฒ่ารับหน้าที่อย่างเต็มใจ สิ่งใดที่จะทำให้องค์ชายของเขาสุขสบายขึ้น เขาย่อมยินดีทั้งนั้น
ท่าทีดีอกดีใจของคนสนิท ทำให้หยางจิ้งหัวเราะในลำคอ แต่ก็ไม่วายหันมามองค้อนสตรีตรงหน้า
“เจ้ามาทางนี้ ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับเจ้า”
“อ๊ะ ประเดี๋ยวเพคะ พระองค์จะพาหม่อมฉันไปที่ใดเพคะ” ร่างเล็กปลิวไปตามแรงฉุดกระชากลากถู กระทั่งมาถึงห้องเก็บอุปกรณ์วาดภาพจึงจะได้หยุดพัก
ภายในห้องแม้จะมีของวางอยู่หลายอย่าง แต่กลับถูกจัดเป็นระเบียบเรียบร้อย มีทั้งภาพวาดที่ยังวาดไม่เสร็จ และภาพวาดของอดีตฮองเฮาจ้าวหนิงจิน ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง
ตึก!
“โอ๊ย! พระองค์จะทำสิ่งใดเพคะ เหตุใดต้องผลักกันด้วย” ใบหน้างามงอง้ำขึ้นมาทันใด เมื่อถูกดันจนหลังไปชนกับผนัง
“ข้ามิได้ผลัก แรงเท่านี้จะเรียกผลักได้อย่างไร”
“แต่หม่อมฉันเป็นสตรีบอบบาง หม่อมฉันเจ็บ”
“นั่นเรื่องของเจ้า แต่ที่ข้าอยากรู้ คือเจ้ากับคนสกุลเกากำลังทำสิ่งใดอยู่”
“พวกท่านพี่ยังมิได้บอกองค์ชายหรือ”
“พวกเขาบอกว่าจะไม่ยอมให้ผู้ใดดูแคลนข้า แต่ข้าไม่คิดว่านั่นเป็นเหตุผลที่แท้จริง” มือทั้งสองเท้าไว้กับผนัง ป้องกันไม่ให้หญิงสาวหนีหาย
“เป็นเหตุผลนั้นจริงๆ เพคะ หม่อมฉันขอให้พวกเขาช่วยหนุนหลังพระองค์”
“…”
“จริงๆ นะเพคะ หม่อมฉันบอกแล้วว่าจะช่วยพระองค์ อย่างไรหม่อมฉันก็จะช่วยให้ถึงที่สุด องค์ชายประสงค์สิ่งใดขอเพียงปรึกษาหม่อมฉันกับสกุลเกา…หม่อมฉันมิอยากให้พระองค์เดินทางผิด”
“…”
“เมื่อใดที่ความประสงค์ขององค์ชายสำเร็จ พระองค์มีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่เดินในทางที่ผิด ถึงครานั้นมิต้องเอ่ยไล่ หม่อมฉันก็จะไปจากชีวิตพระองค์เอง”
หยางจิ้งพยายามค้นหาแววตาของคนหลอกลวง ทว่านางกลับมีเพียงนัยน์ตาที่ใสซื่อ ทั้งยังมีสีหน้ามุ่งมั่นจนชายหนุ่มลังเล
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับน้องสามของข้าหรือไม่ ไท่ฉางให้เจ้ามาวุ่นวายกับข้าใช่หรือไม่”
“มะ อึก” ลำคอขาวถูกมือใหญ่กำไว้จนรอบ
“เจ้าตอบออกมาตามตรง ข้ามิใช่คนใจดี ยิ่งบัดนี้ไร้ค่า ไร้ศักดิ์ศรี ไม่คิดเสียดายชีวิต เพราะฉะนั้นหากเจ้าโกหก ข้าจะหักคอเจ้าเสียตั้งแต่ตอนนี้”
“ไม่! ไม่เกี่ยวเพคะ หม่อมฉันเพียงอยากช่วยพระองค์จากใจจริง หากพระองค์ไม่เชื่อก็คอยดูเถิด หม่อมฉันไม่มีแผนร้ายแน่นอน”
หยางจิ้งยอมปล่อยมือจากลำคอสวย เห็นรอยแดงที่คอขาวก็นึกละเหี่ยใจ ไม่คิดว่าจะมีผู้ใดบอบบางเช่นนี้
“ข้าจะคอยดู จะจับตาดูเจ้าทุกฝีก้าว”
“เพคะๆ หม่อมฉันย่อมมาให้พระองค์จับตาดูบ่อยๆ แน่ เพราะจากนี้หม่อมฉันและสกุลเกาจะมาหาองค์ชายทุกวัน ศึกษาตำราเสร็จ พระองค์ก็ต้องเล่าเรียนวิชาดาบและการต่อสู้กับท่านพ่อของหม่อมฉันต่อ”
“…”
“อ่อ แล้วหม่อมฉันก็จะพาคนมาปลูกดอกไม้ไว้หลังจวน ทาสีจวนใหม่ ซื้อของมาประดับ แล้วก็ให้คนมาตัดเย็บเสื้อผ้าให้พระองค์ด้วย” นิ้วชี้เคาะลงกลางอกของชายหนุ่มอย่างอาจหาญ
“เป็นเจ้าของจวนหรือไร ข้าไม่อนุญาต และไม่ตัดชุดใดๆ ทั้งนั้น”
“ต้องตัดเพคะ ตัดไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ”
“…”
“เพราะอีกสองเดือนข้างหน้า องค์ชายต้องไปร่วมพิธีสมรสขององค์ชายสามกับคุณหนูสวี”
“แล้วจะให้เขาทำอย่างไรเพคะ หากเขามาขอด้วยตนเอง ฝ่าบาทก็จะทรงค่อนแคะว่าเขาไม่จริงจัง มิยอมให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอใช่หรือไม่”“…” หยางจิ้งลูบแขนที่ถูกตีปรอยๆ ไม่ยอมตอบสิ่งใดออกไป ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาคิดเช่นนั้นจริงเหตุการณ์ในตำหนักใหญ่ดูจะตึงเครียดขึ้นมา ฝ่าบาทเองก็ไม่ยอมอ่อนจนฮองเฮาเริ่มจะอารมณ์ไม่ดี เซียนหนี่ว์จึงต้องใช้ไม้ตาย“เสด็จพ่อมิวางใจลูกเลยหรือเพคะ พระองค์คิดว่าลูกมองคนไม่ออก ว่าผู้ใดจริงใจ ผู้ใดคิดหลอกลวงหรือ” น้ำตาเม็ดโตหยดลงบนแก้มใส จนผู้เป็นบิดาร้อนใจ“หนี่ว์เอ๋อร์ เหตุใดจึงร้องไห้ พ่อมิได้คิดเช่นนั้น พ่อเพียงเป็นห่วงเท่านั้น พ่อไม่รู้จักเขา ไม่เคยได้พูดคุย เขาไม่เคยมาแสดงความจริงใจกับพ่อเลยสักครั้ง จะให้พ่อวางใจเขาให้ดูแลเจ้าได้อย่างไร”“หากเป็นเรื่องนั้นลูกผิดเองเพคะ ลูกไม่ยอมให้เขามาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ เพราะกลัวว่าเสด็จพ่อจะน้อยใจลูก”“…”“เสด็จพ่อ เสด็จพ่อให้โอกาสเขาสักครั้งเถิดเพคะ อย่างน้อยก็อย่าพึ่งปฏิเสธเขาเลย”“พ่อปฏิเสธไปแล้ว…แต่หากเขาจริงใจและรักเจ้าจริง ทันทีที่สารจากแคว้นเราเดินทางไปถึง เขาจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อมาหาลูกพ่อ”“…”“ถึงครานั้น พ่อจะให้โอกาสเขา” ได้ยินเ
“มีอันใด พ่อตกใจหมด”“สะ เสด็จพ่อปฏิเสธหรือเพคะ ปฏิเสธได้อย่างไร”“เหตุใดจะไม่ได้เล่า ในเมื่อธิดาของพ่อยังไม่อยากแต่งออก พ่อเองก็จะไม่บังคับ ท่านตาและท่านลุงของเจ้าต่างก็เห็นด้วยกับพ่อ”“แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องถึงความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นเลยนะเพคะ ฝ่าบาทพิจารณาอีกทีเถิด” เยี่ยนฟางรีบว่า“แล้วอย่างไร บุตรสาวเพียงคนเดียวของข้า จะให้แต่งไปอยู่ไกลบ้านไกลเมืองได้อย่างไรกัน หากแคว้นโจวไม่พอใจก็ปล่อยพวกเขายกทัพมา ข้าพูดคุยกับท่านพ่อตาแล้ว ว่าให้จัดเตรียมกองทัพให้พร้อม”“….”“พี่รองของเจ้าก็ส่งจดหมายไปบอกพี่สามและพี่สี่ให้ตรวจตรา เฝ้าระวังบริเวณชายแดนเรียบร้อยแล้ว” ได้ยินองค์กษัตริย์กล่าว เยี่ยนฟางก็นึกโทษตัวเอง ที่ประเมินความคลั่งรักของสวามีและบุรุษสกุลเกาต่ำเกินไป“ตะ แต่ลูก ลูกอยากไปเพคะ”“หืม หมายความว่าอย่างไร” น้ำเสียงอ่อนโยนเมื่อครู่แข็งขึ้นมาอีกระดับ“ลูกอยากแต่งเพคะ”“…” หยางจิ้งนิ่งค้างไปในทันใด“ฝ่าบาทเพคะ ลูกสาวของเราพ้นวัยปักปิ่นมานานแล้ว นางสมควรได้มีความรัก มีครอบครัว ฝ่าบาทมิอยากอุ้มหลานหรือเพคะ”“ขะ ข้าย่อมอยาก เช่นนั้นพ่อจะหาคุณชายสกุลใหญ่มาแต่งกับเจ้าดีหรือไม่ บุตรชายของรองแม
เอกบุรุษในชุดลายมังกร เดินไปเดินมาในห้องทรงงานด้วยความกังวลใจ ไม่ต่างจากอดีตแม่ทัพ ท่านราชทูต และเสนาบดีกรมขุนนาง“เรื่องนี้หากเราปฏิเสธ อาจจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นพ่ะย่ะค่ะ” เกาเกิงชุนรู้ดี ว่าการที่ต่างแคว้นส่งเทียบหมั้นมา เพื่อขอแต่งเชื่อมสัมพันธ์ มีทั้งข้อดีและข้อเสียหากเรายอมส่งองค์หญิงไปแต่งเชื่อสัมพันธ์ ก็ถือว่าได้มิตร แต่หากปฏิเสธ คงไม่แคล้วกลายเป็นชนวนเหตุให้เกิดสงคราม“พี่ใหญ่! ท่านจะยอมให้องค์หญิงของเราแต่งไปอยู่ต่างแคว้นหรือ หากองค์รัชทายาทแคว้นโจวเป็นชายโฉด นิสัยชั่วร้ายจะทำอย่างไร”“จริงอย่างคุณชายรองว่า ข้าไม่ยอมให้หนี่ว์เอ๋อร์ของข้าแต่งออกไปไกลถึงเพียงนั้นแน่ นางพึ่งอายุได้เพียงยี่สิบหนาว จะห่างจากอกบิดาได้อย่างไร” หยางจิ้งเอ่ยสำทับคำพูดของเสนาบดีกรมขุนนางที่พึ่งรับตำแหน่งมาหมาดๆ“เช่นนั้นกระหม่อมจะเรียกแม่ทัพหว่านมาพูดคุยเรื่องเตรียมทัพ ศึกครั้งนี้กระหม่อมจะนำทัพด้วยตนเอง”“ต้องรบกวนท่านพ่อตาแล้ว” ทันทีที่หวงหยางจิ้งได้รับเรื่องนี้มา ก็เรียกบุรุษสกุลเกามาปรึกษา ดีที่ความคิดเห็นของพวกเขาเป็นไปในทิศทางเดียวกัน จึงหาข้อยุติเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย“เช่นนั้นกระ
“แอ้ แอ้”“อาหรง อาไห่ หนี่ว์เอ๋อร์ เหตุใดพูดเช่นนั้นเล่า พ่อมาหาพวกเจ้าแล้วอย่างไรลูก”“คิก!” เยี่ยนฟางหลุดขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ที่นางและลูกต้องทำถึงเพียงนี้ ก็เพราะหยางจิ้งทำงานแทบไม่หยุดพัก บางคืนไม่กลับมานอนที่ตำหนักเสียด้วยซ้ำ นี่หากว่าหยางจิ้งแต่งตั้งสนม นางคงคิดว่าอีกฝ่ายไปนอนกับสตรีอื่นเสียแล้วมิใช่ว่าเยี่ยนฟางไม่เข้าใจ ว่ายังมีราษฎรอีกมากมายที่ทุกข์ยาก แต่หากสวามีของนางยังโหมงานหนัก ร่างกายเขาจะไม่ไหวเอาได้เหมือนยามที่นางพึ่งคลอดโอรสแฝด ช่วงนั้นฮ่องเต้หนุ่มลุกไม่ขึ้นไปหลายวัน ขนาดโอรสยังไม่อาจเข้าใกล้บิดาได้ เพราะกลัวว่าจะติดไข้ไปด้วย เป็นถึงเพียงนั้นอีกฝ่ายก็ยังไม่หลาบจำ ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่ยอมหยุดพัก จนเยี่ยนฟางและเซียนหนี่ว์ต้องวางแผนเช่นนี้“ฟางเอ๋อร์ เจ้าหัวเราะข้าหรือ”“เพคะ บิดาไม่ใส่ใจบุตร สมควรแล้วที่จะถูกตัดขาด”“ใช่เพคะ” เด็กหญิงยกมือขึ้นกอดอก พลางเชิดหน้าหนีอีกรอบ“โถ่ หนี่ว์เอ๋อร์ของพ่อ พ่อจะไม่ทำอีกแล้ว เจ้าให้อภัยพ่อเถิด องค์หญิงน้อยของพ่อ” หยางจิ้งทั้งกอด ทั้งหอมแก้มใสของบุตรสาว“แน่หรือเพคะ”“แน่สิ พ่อจะไม่ละเลยเจ้ากับเสด็จแม่ของเจ้าอีก”“นั่นมิใช่ประเด
“ฟางเอ๋อร์ ฟางเอ๋อร์นางบีบมือข้า”“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ ฟางเอ๋อร์ ลูกพ่อ”“เยี่ยนฟาง เยี่ยนฟาง เจ้าได้ยินข้าหรือไม่” หยางจิ้งแตะเบาๆ บนแก้มเนียนของภรรยา หวังปลุกให้นางตื่นขึ้นมา“อื้อ เหตุใดเสียงดังกันนักเล่า” ทันทีที่ได้ยินเสียงบ่น ทุกคนก็เงียบกริบ แต่ใบหน้าทุกคนกลับยิ้มแย้มที่รู้ว่าเยี่ยนฟางได้สติขึ้นมาแล้ว“ฟางเอ๋อร์!” คุณชายทั้งสี่เรียกน้องสาวพร้อมกันด้วยน้ำเสียงดีใจ“เจ้าฟื้นแล้ว ใครอยู่ด้านนอก เรียกท่านหมอที”“องค์ชาย ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่เองก็มากันครบเลยหรือ” เยี่ยนฟางดันตัวขึ้นจากเตียงโดยมีสวามีคอยช่วยประคองอยู่ข้างๆ“พวกเราย่อมมา ฟางเอ๋อร์ของแม่รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”“ดีขึ้นมาแล้วเจ้าค่ะ ทำให้ทุกคนเป็นห่วง ข้าต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ”“มิเป็นไรๆ ขอเพียงเจ้าปลอดภัย พี่ใหญ่ก็สบายใจแล้ว” ครอบครัวพูดคุยกันไม่นาน ท่านหมอก็เข้ามาตรวจอาการของเยี่ยนฟาง เมื่อตรวจละเอียดไม่มีสิ่งใดน่าเป็นห่วง จึงจัดเพียงยาบำรุงให้ครอบครัวสกุลเกาก็อยู่ต่ออีกเพียงครู่เดียว เพราะมีบ่าวที่เรือนมาแจ้งว่าฮูหยินรองร้องห่มร้องไห้ เอ่ยว่าถูกอนุท่านแม่ทัพรังแก พวกเขาจึงแยกย้ายกลับเรือน อีกอย่างหยางจิ้งก็ยืนยันว่า
ภายในห้องนอนที่เคยมีเสียงหัวเราะของคนทั้งสอง บัดนี้กลับเงียบสนิท ศีรษะหนักฟุบลงข้างเตียง มือหนาก็กอบกุมมือภรรยาไว้ไม่ห่าง เรื่องราวที่เกิดขึ้น มันกะทันหันจนหยางจิ้งตั้งรับไม่ทัน“ฟางเอ๋อร์ เยี่ยนฟาง เจ้าได้ยินข้าใช่หรือไม่ เจ้าเพียงแค่หยอกข้าให้ตกใจเล่นเหมือนทุกคราใช่หรือไม่ ฮึก รีบตื่นขึ้นมาเร็วเข้า” ทั้งเสียงที่สั่นเครือและน้ำตาที่ไหลออกจากนัยน์ตาสีดำขลับ ล้วนทำให้หลี่เมิ่งมิอาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้“ขอโทษนะหยางจิ้ง ทั้งที่เคยสัญญาว่าจะอยู่กับเจ้า แต่ข้ากลับทำไม่ได้” เซียนสาวซุกหน้าลงกับเข่าทั้งสองพลางร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างไม่อายผู้ใด“ร้องไห้เพราะดีใจ ที่ได้กลับสวรรค์หรือ”“มะ มหาเทพ”“ข้าถามว่าเจ้าดีใจมากใช่หรือไม่ ที่ได้กลับมา”“ขะ ข้าเสียใจ” ใบหน้างามก้มลง พลางตอบออกไปตามความจริง“หืม เจ้าเสียใจอย่างนั้นหรือ เพราะเหตุใดเล่า ทั้งที่เจ้าตั้งใจบำเพ็ญเพียรมาหลายร้อยหลายพันปี แต่เจ้ากลับเสียใจที่ได้กลับมาอยู่สวรรค์หรือ” มหาเทพยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย แต่หลี่เมิ่งกลับรู้สึกว่านางถูกแรงกดดันมหาศาล“ข้าเสียใจ ที่ต้องจากพวกเขาทุกคนมา”“หากข้าให้เจ้ากลับไป เจ้าจะไปหรือไม่”“ข้า-”“เจ้า







