ในระหว่างทางกลับเมืองถิงฮวา เยว่อู๋ชางกับจิ้นซู่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของม้าจำนวนไม่น้อยกว่าสี่ตัวกำลังวิ่งมาเบื้องหน้า ชายป่าแห่งนี้เป็นทางลัดจากหมู่บ้านซานฉีมุ่งหน้าสู่เมืองถิงฮวา แม้จะไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดแต่ทว่าชายเหล่านี้กลับแต่งกายด้วยอาภรณ์สีดำเช่นเดียวกันทั้งสี่ จิ้นซู่คอยระวังให้กับคุณชายรอง แต่ทว่าชายกลุ่มนี้กลับควบม้าผ่านพวกเขาไปโดยไม่ได้สนใจพวกเขาทั้งสองคน นั่นก็หมายความว่าชายกลุ่มนี้ไม่ได้ถูกส่งให้มาทำร้ายคุณชายรอง“พวกคนเหล่านั้นคือคนของผู้ใดน่ะ” เยว่อู่ชางเอ่ยถามจิ้นซู่หลังจากชายชุดดำทั้งสี่ควบม้าผ่านเขาไปแล้ว“ข้าน้อยก็ดูไม่ออกเหมือนกันขอรับ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ชาวบ้านซานฉี” หัวใจของเยว่อู๋ชางเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าชิงชิงกลับเรือนของนางไปแล้วหรือยัง เพราะเส้นทางนี้ต้องไปเจอกับลานกว้างหลังหมู่บ้านก่อนที่ใด และนั่นก็หลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะได้พบกับเด็กหญิงหากนางยังไม่กลับไป“จิ้นซู่ กลับไปหมู่บ้านซานฉีเดี๋ยวนี้” สั่งบ่าวข้างกายเสร็จม้าก็ถูกบังคับให้เปลี่ยนทิศทางทันทีเขาไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้กังวลใจเช่นนี้ แต่เขาได้แต่คิดว่าชิงชิงอาจจะกำลังตกอยู่ในอันตราย จิ้นซู่ไม่ทั
กำหนดการเดินทางกลับเมืองถิงฮวาของเยว่อู๋ชางต้องล่าช้าออกไปหลังจากนี้หนึ่งวัน เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแม่นางน้อยชิงชิงทำให้คุณชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจ เยว่อู๋ชางนั้นรู้สึกเป็นห่วงนางเพราะถึงแม้ว่านางจะฝึกฝนศิลปะวิชาการป้องกันตัว แต่นางก็ยังถือว่ายังเยาว์วัยยิ่งนัก อีกทั้งร่างกายก็อรชรบอบบางเสียเหลือเกิน เขาอยากจะรู้ยิ่งนักว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้มีผู้มาลอบทำร้ายนางเช่นนี้“คราวนี้เจ้าจะบอกพี่ได้หรือยัง ว่ามันเกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดชายชุดดำเหล่านั้นถึงได้มารังแกเจ้าได้” หลังจากที่เด็กหญิงบดสมุนไพรประคบบาดแผลให้แก่คนสนิทของเขาเสร็จ คุณชายหนุ่มก็เอ่ยถามออกมา“ข้าได้ยินคนพวกนั้นบอกว่าท่านลุงของข้าที่อยู่ในเมืองถิงฮวาเป็นผู้ส่งพวกเขามาให้พาข้ากลับไป พอข้าไม่ยอมพวกเขาจึงได้บังคับข้า” ชิงเหมยตอบออกมาตามตรง เพราะอย่างน้อยก็ถือว่าพี่ชางนั้นเป็นผู้มีพระคุณของนาง อีกทั้งพี่ซู่ก็ต้องมาเจ็บตัวเพราะนาง“เจ้ามีลุงอยู่ที่เมืองถิงฮวาด้วยรึ”“ข้าไม่รู้เจ้าค่ะ ท่านยายของข้าไม่เคยเล่าเรื่องพ่อของข้าให้ฟัง แต่ข้าเคยได้ยินชาวบ้านพูดกันว่าข้าเป็นลูกนอกสมรสของรองแม่ทัพที่ตายในสนามรบเมื่อสิบสองปีก่อน”ชิง
“คารวะคุณชายเฉียว… ข้าน้อยสบายดีเจ้าค่ะ แล้วนี่คุณชายแวะมาที่หมู่บ้านซานฉีหรือเจ้าคะ” ชิงเหมยคำนับเขาอย่างถ่อมตน พลางเอ่ยถามออกมา“ใช่แล้วล่ะ ท่านแม่ของข้าอยากกินขนมเซาปิงที่ท่านยายของเจ้าทำ ข้าเลยแวะมาซื้อไปฝากนาง”“อ่อ… ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยขอตัวเข้าไปข้างในก่อนหนาเจ้าคะ”นางรู้ดีว่าคุณชายเฉียวนั้นเอ็นดูชิงเหมยในอดีต เพราะเขาคอยช่วยเหลือชิงเหมยในยามที่นางต้องพบเจอกับความยากลำบาก ยามที่นางถูกลูกหลานขุนนางที่อาศัยในหมู่บ้านซานฉีรังแก เขาก็มักจะเข้ามาให้ความช่วยเหลือชิงเหมยอยู่เสมอ“เอ่อ… ที่สำนักศึกษาไม่ได้มีเรื่องใดที่ทำให้เจ้าลำบากใช่หรือไม่” คุณชายหนุ่มที่ไม่ค่อยได้พบหน้าเด็กหญิง อยากจะรั้งนางให้อยู่คุยกับเขาให้นานกว่านี้อีกสักนิดจึงเอ่ยถามนางออกมา“ไม่เลยเจ้าค่ะ ที่สำนักศึกษาหวุนซีเป็นสำนักศึกษาที่ให้ความเท่าเทียมกับศิษย์ทุกคน ไม่แบ่งแยกชนชั้นใด พวกลูกหลานขุนนางก็มีน้อยกว่าสำนักศึกษาหลี่ซางเจ้าค่ะ” ชิงเหมยถึงกับงุนงงที่วันนี้เขาชวนนางคุยมากกว่าเดิมนางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจยามที่พูดคุยกับเขา ต่างจากยามที่นางนั้นได้พูดคุยกับท่านพี่ชาง พี่ชายแปลกหน้าในวันแรกจนยามนี้กลายเป็นพี่ชายที่นางไม่
ณ จวนตระกูลซิ่ว เมืองถิงฮวาศาลาริมน้ำด้านหลังจวน ใต้เท้าซิ่วยืนตระหง่านมองผิวน้ำที่แน่นิ่ง จะไหวติงยามที่มีใบไม้ร่วงหล่นลงไป หรือไม่ก็พวกแมลงที่ตกลงไปให้ปลาในน้ำได้กินเท่านั้น เขากำลังแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา ทันทีที่ได้ทราบข่าวจากลูกน้องคนสนิท ว่าไม่อาจกำจัดหลานสาวที่อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านซานฉีได้ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่คิดจะกำจัดนาง ก็เป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่าไม่สนใจไยดีนาง ทว่ายามนี้กลับเรียกหานาง อยากให้นางกลับเข้ามาในตระกูลซิ่ว เขาเคยคิดว่าไม่ใช่เรื่องยากหากต้องการที่จะกำจัดนาง แต่ทว่ายามนี้นางได้กลายเป็นที่รู้จักในฐานะศิษย์หญิงอันดับหนึ่งของสำนักศึกษาหวุนซีไปทั่วทั้งเมืองถิงฮวาแล้ว และคนที่ยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือนางในครานี้ก็คงจะเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นั่น“เพราะเจ้าผู้เดียว หากเจ้าไม่หลงเหลือทายาทไว้ ข้าก็คงไม่ต้องลำบากเช่นนี้” เขาพึมพำกล่าวโทษผู้เป็นน้องชายที่ตายไปเมื่อหลายปีก่อนออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาทว่ากลับเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ก่อนที่จะเผากระดาษแผ่นเล็กที่ถูกลูกน้องคนสนิทส่งผ่านทางนกสื่อสารมา“จากนี้นางคงจะระวังตัวยิ่งขึ้นเป็นแน่ขอรับท่านใต้เท้า” บ่าวรับใช้คนสนิทแสด
เรือนชางหยงเรือนไม้ที่อยู่ปีกขวาของจวนสกุลเยว่เป็นที่พักอาศัยของเยว่อู๋ชาง เรือนชางหยงหลังนี้เพิ่งจะกลายมาเป็นเรือนส่วนตัวของเยว่อู๋ชางเมื่อห้าปีก่อน ร่างสูงของคุณชายหนุ่มเยื้องย่างเข้าไปภายในเรือนของตนก่อนที่จะเข้าไปอาบน้ำและเปลี่ยนอาภรณ์ จากนั้นเขาจึงออกไปนั่งที่ใต้ต้นกุ้ยฮวาที่ผลิดอกไปทั่วทั้งต้น บางดอกร่วงหล่นลงมา“จิ้นซู่ เจ้าช่วยส่งคนของเราที่มีฝีมือไปสืบเรื่องที่ข้าได้รับปากกับแม่นางชิงเอ๋อร์หน่อย ข้าอยากแจ้งข่าวเรื่องนี้ไปให้นางโดยเร็วที่สุด เพราะไม่อยากให้นางคิดว่าข้าเป็นคนที่ไม่รักษาสัญญา”คำสั่งของคุณชายรองทำให้จิ้นซู่นึกประหลาดใจ คุณชายที่ได้รับขนานนามว่าเป็นคุณชายที่ไร้ซึ่งหัวใจ ไร้ซึ่งความรู้สึก กลับใส่ใจกับคำสัญญาที่ให้ไว้แก่เด็กหญิงที่เพิ่งรู้จักกันแค่เพียงไม่นาน“ขอรับคุณชายรอง บ่าวจะรีบไปจัดการให้ประเดี๋ยวนี้เลย”มือเรียวหยาบกร้านหยิบเอาถุงหอมขึ้นมามองแล้วเผยรอยยิ้มออกมา ก่อนที่เขาจะใช้จมูกสูดดมกลิ่นหอมของมันพลางนึกไปถึงรอยยิ้มของเจ้าถุงหอมนี้ นางต้องใช้ความพยายามถึงเพียงใดกว่าจะได้ลวดลายเหล่านี้มา นึกแล้วเด็กหนุ่มก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ครั้นหันหลังกลับมากลับได้พบบ่าวร
จิ้นซู่กลับมารายงานเรื่องของตระกูลซิ่วให้แก่เยว่อู๋ชางได้ฟังในวันต่อมา ตามที่เขาไดัให้ลูกน้องไปสืบมา ปรากฏว่า ใต้เท้าซิ่วได้วางแผนที่จะกำจัดหลานสาว ที่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของน้องชายที่ล่วงลับไปนานนับสิบสองปี แต่ทว่ายามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลซิ่วกลับต้องการที่จะพบหน้าหลานสาว อาจจะเป็นเพราะข่าวลือที่ว่าตระกูลซิ่วทอดทิ้งสายเลือดทำให้ฮูหยินผู้เฒ่านึกใส่ใจหลานสาวขึ้นมา“นี่แม่นางชิงเป็นถึงศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาหวุนซีเชียวหรือนี่ มิน่าล่ะนางถึงได้ดูฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก” นั่นหมายความว่ายิ่งยากสำหรับเขาที่อยู่ไกลจากนางเช่นนี้ คงจะมีบุรุษไม่น้อยที่หมายตานางเอาไว้เช่นกัน“เป็นเพราะแม่นางชิง เอ่อ… คุณชาย แม่นางน้อยชิงชิง มีนามที่แท้จริงว่าชิงเหมยขอรับ” จิ้นซู่ลอบสังเกตสีหน้าของคุณชายรอง ทว่ากลับไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ไม่มีความขุ่นเคืองที่อีกฝ่ายหลอกลวงบอกนามเท็จมา จิ้นซู่จึงทำใจกล้าเอ่ยถามออกมา“คุณชายไม่รู้สึกโกรธแม่นางน้อยชิงชิง เอ่อ… แม่นางชิงเหมยเลยหรือขอรับ”เยว่อู๋ชางส่ายหน้าพลางหัวเราะเบาๆ ให้กับความมีไหวพริบของเด็กหญิง ทว่าจิ้นซู่กลับคิดว่าคุณชายตกหลุมรักเด็กน้อยผู้นั้นจนเปลี่ยนเป
ครั้นเห็นว่าพี่สาวไม่ได้รู้สึกกังวลกับสิ่งที่นางบอกเล่าให้ฟัง หลิ่วหริ่งจึงรีบนำบทความของท่านอาจารย์อวิ๋นที่นางเขียนมาให้ท่านพี่หญิงชิงเหมยได้ดู มือเล็กรับกระดาษมาจากหลิ่วหริ่งก่อนที่นางจะอ่านและทำความเข้าใจกับบทความตรงหน้า เพราะเป็นเรื่องราวที่นางเคยศึกษามาก่อนหน้า ชิงเหมยจึงสามารถอธิบายให้หลิ่วหริ่งฟังจนเด็กหญิงเข้าใจหลิ่วหริ่งอยู่กับชิงเหมยเกือบหนึ่งชั่วยามจึงขอลากลับเรือนของนาง และหลังจากนั้นไม่นานนักท่านยายซุนฉีของชิงเหมยก็กลับมาจากตลาดซานฉี พักนี้นางกลับเรือนเร็วกว่าเมื่อก่อนเพราะนึกเป็นห่วงหลานสาวที่ต้องอยู่ที่เรือนตามลำพัง นางเกรงว่าฝ่ายพ่อของหลานสาวที่ไม่เคยมาเหลียวแลจะมาพาตัวหลานไป“ท่านยาย… เหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ” ชิงเหมยนำน้ำมาให้ท่านยายของนางได้กิน“ขอบน้ำใจนะลูก ยายไม่เหนื่อยเลย ว่าแต่ยาย…เจ้าล่ะไปสำนักศึกษาวันนี้มาเป็นเช่นไรบ้าง” ซุนฉีรับแก้วน้ำมาดื่มก่อนที่จะเอ่ยถามหลานสาวออกมา“ก็เหมือนกับทุกวันเจ้าค่ะ อ่อ.. วันนี้หริ่งเอ๋อร์มาให้หลานสอนตีความหมายบทความของท่านอาจารย์ลู่อวิ๋นด้วยเจ้าค่ะ"“หืม… หริ่งเอ๋อร์น่ะหรือ อืม… ดีแล้วล่ะลูก เรือนเคียงกันหยิบยื่นน้ำใจให้ความช่วยเหล
เยว่อู๋ชางเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อไปสอบฮุ่ยซื่อหลังจากที่ได้รับผ้าพันคอจากชิงเหมยเพียงสามวัน ดีที่อากาศเริ่มเย็นลงทำให้เขาสามารถใช้ผ้าพันคอผืนนี้ได้อย่างไม่เป็นที่สะดุดตานัก แต่ถึงอย่างไรก็คงมีเพียงจิ้นซู่ที่พอจะรู้ความคิดของคุณชายรอง หากเป็นของที่แม่นางน้อยชิงเหมยทำให้แล้ว คุณชายของเขาก็พร้อมที่จะใช้สิ่งนั้นอย่างไม่ลังเลแม้ว่ามันจะมีรูปร่างหน้าตาประหลาดก็ตามที คิดแล้วก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้“หัวเราะอันใดจิ้นซู่” ผู้ที่นั่งอยู่บนหลังม้าเอ่ยถามบ่าวรับใช้คนสนิทที่นั่งอยู่บนหลังม้าติดตามเขามาไม่ห่าง“ฮ่าๆๆ ฮึบ… มิได้หัวเราะอันใดขอรับ” จิ้นซู่กลั้นขำพลางตอบคุณชายรอง“หึ!! มัวแต่ชักช้า ข้านำไปก่อนล่ะ”คุณชายหนุ่มรู้สึกเขินเพราะรู้ดีว่าบ่าวรับใช้คนสนิทกำลังหัวเราะในเรื่องอันใด จิ้นซู่มองตามคุณชายรองก่อนที่เขาจะควบม้าเร่งความเร็วติดตามคุณชายไปสองนายบ่าวควบม้าเกือบหนึ่งชั่วยามจึงพักมาที่โรงเตี๊ยมริมทาง ที่ตั้งอยู่ระหว่างเมืองถิงฮวาและเมืองหลวง ถือโอกาสนี้ให้ม้าได้พักเหนื่อยเสียหน่อย และให้คนได้พักกินอาหารด้วย เสี่ยวเอ้อร์รีบออกมาต้อนรับคุณชายหนุ่มและผู้ติดตาม“ยินดีต้อนรับขอรับ ขอเชิญแข
“ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ข้ามิทันได้ระวัง จึงชนพี่สาวเข้า” ชิงเหมยพยายามกล่าวขออภัยออกมาอย่างใจเย็น เพราะดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจเข้ามาหาเรื่องนาง“คิดว่าแค่พูดแล้วข้าจะหายเจ็บเช่นนั้นหรือ คุกเข่าขออภัยต่อข้าประเดี๋ยวนี้” ชิวมู่หรงที่แอบมองอยู่ภายในเกี้ยวถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความชอบใจ ผู้คนเริ่มเข้ามามุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น“ถนนก็ตั้งกว้าง เหตุใดพวกเจ้าถึงต้องเดินมาทางที่นางเดินด้วย เช่นนี้มิใช่ว่าเป็นการกลั่นแกล้งกันหรอกรึ”หนึ่งในชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นเริ่มแสดงความเห็นของตนออกมา เพราะดูชิงเหมยไม่แสดงกิริยาไม่น่ามองต่ออีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งนางก็ได้กล่าวขออภัยต่อสาวรับใช้สกุลชิวแล้ว“นั่นสิ ปกติพวกเจ้าเดินไม่เคยห่างเกี้ยวของคุณหนูของพวกเจ้า เหตุใดวันนี้ถึงได้เดินออกมาห่างไกลจากเกี้ยวของนางนักล่ะ” ชาวบ้านอีกคนหนึ่งที่รู้จักนิสัยของคุณหนูและสองสาวใช้ตระกูลชิวดีได้กล่าวออกมาสองสาวรับใช้เริ่มหน้าเสียที่พวกชาวบ้านไม่เข้าข้างตน ครั้นมองไปยังเด็กสาววัยแรกแย้มที่มีรูปหน้าและความงดงามราวกับบุปผา นางก็มิได้แสดงท่าทีโอนอ่อนต่อนางทั้งสองเลย อีกทั้งสายตาที่นางจ้องมองมายังราวกับกำลั
วันต่อมาวันนี้ชิงเหมยออกไปช่วยท่านยายของนางขายขนมที่ตลาด เพราะวันนี้เป็นวันที่ลูกค้าแวะเวียนมาจับจ่ายใช้สอยกันมากกว่าทุกๆ วัน เด็กสาววัยแรกแย้มต่างเป็นที่หมายตาของบรรดาหนุ่มๆ นางเปรียบดังบุปผางามแห่งหมู่บ้านซานฉี ถึงแม้จะเป็นเพียงหลานสาวแม่ค้า แต่ทว่าคุณชายทั้งหลายต่างก็พากันหมายตานางกันอยู่ไม่น้อย ยากก็ตรงที่ท่านยายของนางมิได้หวังในทรัพย์สินเงินทอง นางหวังเพียงแค่หลานสาวได้พบกับคนที่นางรักและรักนางเท่านั้น“เถ้าแก่เนี้ย หลานสาวของท่านช่างงดงามยิ่งนัก นางมีคู่หมายหรือยังขอรับ” มิใช่เพียงแค่มีรูปโฉมที่งดงาม ทว่าชิงเหมยนั้นกลับโด่งดังในเรื่องของความเฉลียวฉลาดและความขยันหมั่นเพียรอีกด้วย“นางก็เหมือนกับข้ายามสาวๆ นั่นแหละ ว่าแต่…วันนี้จะซื้อขนมอันใดดีล่ะ”ซุนฉีหันไปมองหลานสาวที่กำลังนั่งปั้นซาลาเปาอยู่ในสุดของร้าน ก่อนที่จะหันไปถามไถ่ลูกค้าที่เป็นชายหนุ่มที่แสดงท่าทีว่าสนใจหลานสาวของนางมากกว่าขนมเสียอีก เพราะเหตุนี้นางถึงรู้สึกยินดียิ่งกว่าหากวันใดชิงเหมยมิได้มาช่วยนางขายขนมในตลาด“ขอเป็นซาลาเปาสามลูกก็แล้วกัน”ลูกค้าหนุ่มรู้ตัวว่ากำลังเสียมารยาทจึงบอกความต้องการของตนต่อเถ้าแก่เนี้ยที่ย
สองหนุ่มสาวช่วยกันถางพงหญ้าจนราบเตียน แต่ก็ใช้เวลานานอยู่ไม่น้อย และอีกไม่หนึ่งก้านธูปชิงเหมยก็ต้องกลับเรือนแล้ว เพราะนางต้องกลับไปหุงข้าวและทำกับข้าวรอท่านยายของนางกลับมาจากตลาด ยามนี้นางมีฝีมือในการทำอาหารดีขึ้นแล้ว แม้จะรสชาติไม่ยอดเยี่ยมเท่ากับที่ท่านยายทำให้กินก็ตาม“วันนี้ลำบากท่านแล้วเจ้าค่ะ” ชิงเหมยส่งน้ำให้ชายหนุ่มที่วันนี้มีน้ำใจมาช่วยนางถางหญ้าจนเตียน“ไม่ลำบากเลย ถือว่าได้ออกกำลัง” เขาบอกพลางรับน้ำจากนางมาดื่ม“วันนี้ท่านพี่จะกลับเมืองถิงฮวาเลยหรือไม่เจ้าคะ” นางเอ่ยถามเขาออกมา“ไม่หรอก วันนี้พี่กับลูกน้องอีกสองคนจะพักกันที่โรงเตี๊ยมในหมู่บ้านนี่แหละ"“แล้วท่านพี่ชางจะกลับเมืองถิงฮวาวันใดหรือเจ้าคะ”“อีกสองวันน่ะ พี่ว่าจะสืบหาเบาะแสของพวกพ่อค้าทาสเสียหน่อย”แม้เรื่องนี้จะเป็นความลับ แต่สำหรับชิงเหมยแล้วไม่มีเหตุผลอันใดที่เขาจะต้องปิดบังนาง หากนางคือสตรีนิรนามที่เคยขัดขวางพวกพ่อค้าทาสเมื่อปีก่อนจริง“ข้าว่า…เห็นทีข้าต้องขอตัวกลับเรือนก่อนแล้วล่ะเจ้าค่ะ” ชิงเหมยบอกเขายามที่นางมองแสงจากพระอาทิตย์ที่ต่ำลงไปทุกที“อ่อ… เจ้าอยากจะนั่งม้าไปกับพี่หรือไม่”“ไม่ดีกว่าเจ้าค่ะ ข้าเกรงว
หลังจากวันนั้นเพียงไม่กี่วัน หัวหน้ามือปราบหนุ่มก็กลับมาเยือนหมู่บ้านซานฉีอีกครา วันนี้เขามีลูกน้องติดตามมาเพียงแค่สองคนเท่านั้น เพราะไม่อยากให้กลายเป็นที่สะดุดตา และการมาของเขาก็เพียงเพราะต้องการตรวจตราความสงบเรียบร้อยของหมู่บ้านซานฉี และแวะเวียนมาหาสตรีที่เขาหมายปองก็เท่านั้น“แม่นางชิงเหมยคงจะอยู่ที่ร้านขายขนมในตลาด ท่านหัวหน้าจะแวะไปแนะนำตัวกับท่านยายของนางเลยหรือไม่ขอรับ”จิ้นซู่กล่าวพลางเอ่ยถามออกมายิ้มๆ ยามปฏิบัติหน้าที่เขามักจะเรียกคุณชายรองของตนว่าท่านหัวหน้า ทว่าหากอยู่กันตามลำพัง เขาก็จะเรียกว่าคุณชายรองเช่นเดิม“ที่แท้ท่่านหัวหน้าก็มีสตรีที่หมายปองอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านนี้หรือขอรับ”ฉางจี้ ลูกน้องในสำนักมือปราบที่ติดตามหัวหน้ามือปราบมาในวันนี้ด้วยเอ่ยถามออกมาด้วยความตื่นเต้น เพราะตั้งแต่เขาได้พบกับท่านหัวหน้ามา ไม่เคยมีสักคราที่ท่านหัวหน้าจะชายตาแลมองสตรีใด“อืม… แต่มิใช่แค่เรื่องนั้น ที่ข้ามาวันนี้เพราะอยากตรวจตราความสงบเรียบร้อยของหมู่บ้านซานฉีด้วย พวกเจ้าก็คงจะรู้อยู่แล้วว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังของพวกพ่อค้าทาสนั้นยังมิถูกจับได้ ข้าจึงอยากให้พวกเจ้าช่วยกันไปตรวจตราดูรอบๆ หม
นั่นเป็นเพราะชิงเหมยได้รับความช่วยเหลือจากหลิ่วหริ่ง ยามใดที่นางออกจากเรือนไป หลิ่วหริ่งก็จะเข้ามาอยู่ภายในเรือนและท่องบทกวี ให้พวกที่แอบฟ้งอยู่ด้านนอกได้ยินแทนตัวนาง ถึงแม้นการทำเช่นนี้จะเป็นเรื่องที่ดุเหมือนจะยุ่งยาก แต่ชิงเหมยกลับรู้สึกสนุกและเหมือนว่านางได้ออกกำลัง คนพวกนี้นั้นช่วยให้ชีวิตของนางในแต่ละวันนั้นไม่น่าเบื่อ“ข้าว่าพวกเราจ้างคนในหมู่บ้านให้คอยจับตาดูนางแล้วส่งข่าวให้พวกเรารู้จะดีกว่า พวกเราเสียเวลากับนางมานานเกินไปแล้ว ข้าเบื่อเต็มทีที่ต้องคอยจับตาดูเด็กเช่นนาง”“จะดีรึ หากท่านใต้เท้ารู้เข้ามีหวังพวกเรานี่แหละที่จะถูกจัดการเสียก่อน”“นางก็เป็นเพียงแค่เด็ก หากนางจะไปเยือนเมืองถิงฮวา เจ้าคิดว่านางจะรอจนป่านนี้งั้นรึ”ครั้นต่างคนต่างเห็นด้วยกับอีกฝ่าย ทั้งสองจึงได้จ้างให้พวกชาวบ้านที่เห็นแก่เงิน ให้คอยจับตาดูชิงเหมยแทนพวกตน หากคราใดที่เด็กหญิงออกจากหมู่บ้านซานฉีค่อยส่งสารให้พวกตนได้รับทราบ ชาวบ้านผู้นั้นเห็นว่าเป็นงานที่ได้เงินง่ายๆ จึงยินยอมที่จะเป็นผู้ที่คอยจับตาดูชิงเหมยแทน แม้จะรู้สึกประหลาดใจว่าเพราะเหตุใดถึงได้เกรงว่าชิงเหมยจะออกจากหมู่บ้าน แต่เขาก็ไม่สนใจเพราะหน้าท
หลังจากนั่งพูดคุยกันถึงเรื่องที่เยว่อู๋ชางไปจับกุมพวกพ่อค้าทาสมา สองหนุ่มสาวก็ได้ถามไถ่เรื่องราวที่ผ่านมาของกันและกัน เพราะคราแรกที่ได้กลับมาพบกันนั้น เขากับนางไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันมากนัก และที่เยว่อู๋ชางเดินทางมาหาชิงเหมยที่หมู่บ้านซานฉีในยามนี้ มิได้มีเพียงแค่ความสงสัยในตัวของเด็กสาว แต่ทว่าเขามาหานางด้วยความคะนึงหาและห่วงใยนางด้วยเช่นกัน“อืม… พี่ว่าจะถามเจ้า เรื่องคนของลุงเจ้าน่ะ เขาเรียกคนเหล่านั้นกลับไปหรือยัง” เพราะก่อนเขาเข้าเมืองหลวง เขารู้ว่าลุงของชิงเหมยส่งลูกน้องให้มาคอยจับตาดูนางเอาไว้“กลับไปตั้งแต่สามเดือนแรกแล้วเจ้าค่ะ” ชิงเหมยยิ้มออกมาพลางเล่าไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อนสองปีก่อนชิงเหมยครั้นได้รับสารจากพี่ชายจากเมืองถิงฮวาที่ส่งมาบอกนาง ว่าท่านลุงของนางส่งคนให้มาคอยติดตามนาง เพื่อตัดความรำคาญใจเพราะผ่านมานานหลายเดือน ลูกน้องของท่านลุงทั้งสองก็ยังคงคอยติดตามนางอยู่ลับๆ อยู่มาวันหนึ่งชิงเหมยจึงแสร้งออกจากเรือนไปที่ลานกว้างท้ายหมู่บ้านซานฉี ทุกย่างก้าวของนางมีคนของผู้เป็นลุงคอยแอบติดตามนางไป แต่แล้วคนเหล่านั้นก็ต้องคลาดสายตาจากนาง เพราะนางแอบหนีกลับเรือนโดย
ชิงเหมยได้ฟังเช่นนั้นก็ใจเต้นแรง เพราะแถบชายแดนของเมืองถิงฮวาที่อยู่ติดกับชายแดนของเมืองถิงซานั้นอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านซานฉียิ่งนัก นางจึงมิอาจเดินทางไปให้ความช่วยเหลือสตรีและเด็กที่ถูกพาไปขายยังแถบนั้นได้“ข้ารู้เจ้าค่ะ ว่าแคว้นเจียงโจวนั้นเลิกทาสมาตั้งแต่ข้าอายุเพียงสิบสองปีแล้ว” ชิงเหมยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ซึ่งความตื่นตระหนก“ครานี้พี่พลาดเองที่มิอาจจับกุมผู้ที่อยู่เบื้องหลังได้ แต่ก็ยังดีที่ได้ช่วยเหลือสตรีนับสิบเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่พวกมันจะทำการซื้อขายกัน”เขาเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นให้ชิงเหมยฟังพลางสังเกตสีหน้าของนาง ชิงเหมยรู้สึกโล่งใจที่ได้ยินเช่นนั้น ทว่านางกลับปกปิดสีหน้าเอาไว้ได้อย่างมิดชิดจนเยว่อู๋ชางเองก็มิอาจมองเห็นความผิดปกติได้“ข้าว่า…ผู้ที่อยู่เบื้องหลังต้องเป็นขุนนางในเมืองถิงฮวาของเราเป็นแน่เจ้าค่ะ"ชิงเหมยกล่าวออกมาอย่างมั่นใจ แต่ทว่านางกลับไม่ยอมบอกความจริงเรื่องที่นางคอยขัดขวางการทำงานของพวกพ่อค้าทาสที่เข้ามาซื้อขายทาสลับๆ ในหมู่บ้านซานฉีและหมู่บ้านใกล้เคียง นางยังไม่พร้อมที่จะบอกความจริงนี้ให้เขารู้“เหตุใดเจ้าถึงได้ดูมั่นใจนักล่ะ”“ข้าเคยได้ยินพวกพ่อค
“ท่านยายเจ้าคะ หลานขอไปหลังร้านสักครู่นะเจ้าคะ” ชิงเหมยบอกท่านยายของนางที่กำลังพูดคุยกับลูกค้าตรงหน้า จนไม่ทันได้สังเกตว่าลูกค้าหนุ่มผู้นั้นแอบส่งสารลับให้แก่หลานสาว“อืม… ไปเถิดเหมยเอ๋อร์ เสร็จแล้วรีบกลับมาล่ะ”ซุนฉีบอกหลานสาวก่อนที่จะหันไปสนใจลูกค้าตรงหน้าต่อ ชิงเหมยได้โอกาสจึงรีบเดินไปหลังร้านแล้วแกะกระดาษที่ถูกพับมาจนเหลือแผ่นเล็ก นางคลี่ออกดูก็พบว่าเป็นลายมือของพี่ชาง นางจดจำลายมือของเขาได้ดี‘ชิงเอ๋อร์… พี่รอเจ้าอยู่ที่ลานกว้างหลังหมู่บ้านที่เราพบเจอกันคราแรก ได้โปรดออกมาพบพี่สักนิดเถิด… พี่ชางของเจ้า’ดวงหน้างามแดงระเรื่อทันทีที่อ่านเนื้อความในสารนี้จบ ไม่รู้ว่าหลายวันที่ผ่านมานี้เขาหายไปที่ใดมา นางรู้ว่าเขามีหน้าที่จะต้องทำ เพียงแค่นางไม่รู้ว่างานที่เขากำลังกระทำอยู่นั้นอันตรายหรือไม่เท่านั้นเอง ชิงเหมยคิดหาทางที่จะออกไปพบกับเยว่อู๋ชางโดยที่จำเป็นต้องโป้ปดท่านยายของนางอีกครา นั่งคิดแผนการเพียงกะพริบตาเดียวนางก็คิดได้“ท่านยายเจ้าคะ หลานขออนุญาตกลับเรือนก่อนนะเจ้าคะ รูัสึกว่าท้องไส้ยามนี้ไม่ค่อยจะดีเลย” ชิงเหมยเดินมากระซิบบอกท่านยายของนางที่กำลังขายขนมให้แก่ลูกค้า ที่ยามนี้บางต
การเข้าจับกุมกลุ่มพ่อค้าทาสของหน่วยมือปราบในครานี้ถือว่าล้มเหลว เพราะผู้ที่อยู่เบื้องหลังและพวกหัวหน้าสามารถหลบหนีไปได้ทั้งหมด พวกที่จับมาได้ก็เป็นเพียงแค่พวกที่รับจ้างขนสินค้าให้เท่านั้น แต่การเข้าจับกุมในครานี้ก็พอจะได้รู้เบาะแสว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังยามนี้เขาได้รับบาดเจ็บที่ไหล่ขวา ซึ่งถูกลูกธนูของมือปราบหนุ่มเฉียดไปในระหว่างที่กำลังหลบหนี“แล้วเราจะเอาเช่นไรกับเรื่องนี้ดีขอรับ”“หน้าที่ต่อจากนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศาลต้าถิงเสีย เพราะเรามิอาจเข้าไปก้าวก่ายได้”เยว่อู๋ชางกล่าวออกมาก่อนที่เขาจะขึ้นไปนั่งบนหลังม้า จิ้นซู่เองก็รีบไปขึ้นม้าของตนเช่นกัน เพราะดูเหมือนว่าคุณชายรองต้องการจะไปที่ใดสักที่“พวกเจ้าที่เหลือ…กลับไปพักผ่อนกันที่สำนักก่อนเถิด”“แล้วท่านหัวหน้าจะไปที่ใดหรือขอรับ” เสียงของลูกน้องเอ่ยถามขึ้น“ข้ามีเรื่องสงสัย จึงอยากจะไปเยือนหมู่บ้านซานฉีเสียหน่อย” เพราะเรื่องที่พวกหัวหน้ากลุ่มค้าทาสคุยกัน ทำให้เขานึกสงสัยในตัวของชิงเหมยขึ้นมา จึงอยากจะไปถามไถ่นางด้วยตนเอง“ขอรับ” ครั้นลูกน้องรับคำ หัวหน้ามือปราบหนุ่มก็ควบม้าออกจากหน้าศาลต้าตงไปทันทีลูกน้องที่เหลือมองตามอย่างรู้ใ