“อย่าทำมาเป็นมองข้าด้วยสายตาแบบนั้นนะ นางเด็กน่ารังเกียจ ข้าขอพูดเอาไว้ตรงนี้เลย ไม่ว่าวันนี้จะเป็นหรือตายเจ้าก็ต้องแต่งไปบ้านสกุลเซี่ย” แม่เฒ่าเยว่พยายามข่มอารมณ์หวาดกลัวของตน พลางแสร้งโมโหตวาดด่าทอกลบเกลื่อน “หากเจ้ากล้า…”
“เข้าใจแล้ว ข้าจะแต่ง”
เยว่อวิ๋นตอบขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
นางนอนฟังเรื่องราวอยู่นาน จึงพอจับใจความได้ว่า ที่แท้ยายเฒ่าน่าตายนี่ตั้งใจจับเจ้าของร่างที่วิญญาณนางเข้ามาอยู่แต่งงานแทนลูกสาวสุดที่รัก แต่เจ้าตัวไม่ยินยอมจึงก่อการประท้วงด้วยการพุ่งศีรษะชนเสาบ้าน
อันที่จริงเรื่องนี้ไม่สามารถโทษเจ้าของร่างเดิมที่ทำแบบนี้ได้ เดิมการหมั้นหมายเกิดขึ้นเพราะผู้เฒ่าเยว่เคยช่วยชีวิตผู้เฒ่าเซี่ย ซึ่งยามนั้นบุตรชายคนโตกับคนรองบ้านเซี่ยต่างก็แต่งงานแล้ว มีเพียงบุตรชายคนที่สามเซี่ยเฟิงที่ยังโสด
ดังนั้นการหมั้นหมายครั้งนี้ จึงเป็นที่รู้กันว่าเป็นของบุตรชายคนที่สามของบ้านเซี่ยกับบุตรสาวคนเดียวของผู้เฒ่าเยว่ เยว่เจินเจิน
บุตรชายคนเล็กของบ้านเซี่ยเป็นว่าที่บัณฑิตซิ่วไฉ [1] แน่นอนว่าแม่เฒ่าเยว่กับเยว่เจินเจินย่อมไม่คิดปฏิเสธการหมั้นหมายที่แสนยอดเยี่ยมนี้ พวกนางยินดีรอให้อีกฝ่ายสอบเสร็จแล้วมาจัดงานแต่งงาน
ทว่าเมื่อไม่นานมานี้ บ้านเซี่ยกลับเกิดปัญหาขึ้น พ่อเฒ่าเซี่ยกับบุตรชายคนรองขึ้นเขาไปล่าสัตว์พลัดตกลงมา คนพ่อเสียชีวิตส่วนคนลูกบาดเจ็บสาหัส
ต่อมาไม่รู้ว่าคนบ้านเซี่ยปรึกษากันอย่างไร งานหมั้นที่เคยพูดคุยตกลงกันไว้จึงถูกยกให้บุตรชายคนรองแทน เพียงแต่บุตรชายคนรองของบ้านเซี่ยนั้นเป็นพ่อหม้ายลูกติดมีลูกเล็กถึงสองคน อีกทั้งยามนี้ยังมาบาดเจ็บตกอยู่ในสภาพครึ่งผีครึ่งคน เยว่เจินเจินย่อมไม่ยินยอมแต่งให้เป็นธรรมดา
เยว่เจินเจินคือแก้วตาดวงใจของแม่เฒ่าเยว่ อย่าว่าแต่นางจะไม่ยินยอมเลย ต่อให้ยินยอมเต็มใจ ด้วยสภาพของบุตรคนรองบ้านเซี่ยเวลานี้ ตัวแม่เฒ่าเยว่เองก็ไม่ยอมเป็นแน่
พวกนางแม่ลูกไม่ต้องการงานแต่งงานนี้แล้ว แต่ก็โลภมากไม่อยากคืนสินสอดของหมั้น ดังนั้นทั้งคู่จึงวางแผนโยนให้เจ้าของร่างเดิมรับไปแทน
คิดถึงตรงนี้เยว่อวิ๋นพลันโคลงศีรษะพูดไม่ออก สองแม่ลูกสกุลเยว่นิสัยชั่วร้ายเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง ส่วนเจ้าของร่างเดิมก็ช่างใจร้อนเสียจริง
แค่ได้ยินว่าต้องแต่งให้พ่อหม้ายลูกติดที่ไม่รู้ว่าจะพิการหรือเปล่า ก็สติแตกจนกู่ไม่กลับ นำเอาความเป็นความตายของตนเองมาบีบเพื่อแก้ปัญหา ไม่คิดเลยว่าในครอบครัวเคยมีใครสนใจตัวเองบ้าง ดีจริงๆ คราวนี้เลยได้ตายสมใจเลย
หากเป็นนางแล้วละก็ ไม่มีทางใช้วิธีมัจฉาตายตาข่ายขาด [2] คิดทำลายศัตรูจนตัวเองต้องมอดม้วยไปด้วยเช่นนี้แน่
เอาเถิดนางในยามนี้อ่อนแอไม่อาจงัดข้อกับอีกฝ่าย เช่นนั้นก็คงต้องไหลตามสถานการณ์ไปก่อน รอวันหน้าฟื้นฟูร่างกายได้ ถึงตอนนั้นสิบนางเฒ่าสารพัดพิษแซ่เยว่มีหรือจะคณามือนาง
“ดี ดี” แม่เฒ่าเยว่ดีใจจนร้องดีๆ ติดกัน นางสลัดความรู้สึกแปลกประหลาดที่อยู่ในใจทิ้งไปทันที “ฉงอวิ๋นเจ้าเด็กนั่นข้าเห็นมาตั้งแต่เล็กตั้งแต่น้อย นิสัยของเขาไม่แย่เลย ถึงอายุจะมากกว่าเจ้าไปสักหน่อย แต่ก็บอกได้ว่างานแต่งครั้งนี้ไม่เลวร้ายนัก”
หลายคนเบ้หน้าให้กับคำพูดนี้ เยว่อวิ๋นเพิ่งจะอายุครบสิบห้าปีนี้ ส่วนเซี่ยฉงอวิ๋นนั่นอายุก็ปาเข้าไปยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองแล้ว ที่สำคัญเซี่ยฉงอวิ๋นเป็นพ่อหม้ายลูกติด แต่งเข้าไปเยว่อวิ๋นก็ต้องทำหน้าที่แม่เลี้ยงเลย ไหนจะยังมีข่าวลือเรื่องที่ว่าได้รับบาดเจ็บจนกลายเป็นคนพิการนั่นอีก
นี่น่ะหรือที่บอกว่าไม่เลวร้าย ถ้าหากไม่เลวร้ายจริงทำไมนางถึงยืนกรานไม่ยอมส่งบุตรสาวตัวเองไปเล่า!
เยว่อวิ๋นไม่รู้ความคิดในใจผู้อื่น นางครุ่นคิดใจลอยเล็กน้อยกับชื่อว่าที่สามีเจ้าของร่าง “ฉงอวิ๋น” อย่างงั้นหรือ ช่างบังเอิญเสียจริง
ฉับพลันก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมา ครั้นเพ่งกลับไปทางที่มาก็เห็นเป็นสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่ง เยว่อวิ๋นจำได้ว่าเมื่อครู่ตอนที่ตัวเองลืมตา ยายเฒ่าพิษกำลังเอ่ยปากด่าทอสตรีนางนี้อยู่พอดี
ที่แท้หญิงผู้นี้ก็คือหลิวซื่อ [3] มารดาของร่างเดิมนั่นเอง เห็นอีกฝ่ายถลึงตาจ้องตอบตนเองอย่างขุ่นเคือง เยว่อวิ๋นพลันหลุดเสียงหัวเราะเหยียดหยันออกมาเบาๆ
เจ้าของร่างเดิมมีชีวิตที่น่าสงสารไม่น้อย นางถูกครอบครัวเอารัดเอาเปรียบ ต้องลำบากลำบนตั้งแต่เด็ก แม้แต่มารดาแท้ๆ ก็ยังรักตัวเองมากกว่า มองว่านางเป็นตัวนำโชคร้ายมาสู่ตนเองเท่านั้น
คิดถึงตรงนี้ ในอกก็คล้ายมีกระแสลมตีจนปั่นป่วน โพรงจมูกเกิดอาการแสบร้อน ดวงตาขัดเคืองจนรื้นน้ำ เยว่อวิ๋นแน่ใจว่านี่ไม่ใช่อารมณ์ความรู้สึกของนางแน่นอน
นางคือแม่ทัพที่เอาชนะข้าศึกมาทั่วสารทิศ ขนาดบุรุษอกสามศอกได้ยินชื่อยังต้องตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ไม่มีทางมานั่งจมจ่มอยู่ในอารมณ์น้อยอกน้อยใจแบบนี้ เช่นนั้นก็คงจะเป็นความรู้สึกของเจ้าของร่างนี้แล้ว
“วางใจเถอะ ในเมื่อข้ามาอาศัยร่างเจ้าอยู่ ย่อมต้องใช้ชีวิตต่อไปให้ดี ใครก็ตามที่มุ่งหมายคิดทำร้ายเจ้า ข้าจะทำให้คนผู้นั้นไม่ได้อยู่ดีมีสุข”
นางพึมพำเสียงแผ่วแทบไม่ได้ยิน ทว่าน่าแปลกที่หลังจากกล่าวจบ อาการอึดอัดในใจกลับค่อยๆ ทุเลาลงจนเป็นปกติ ดูเหมือนว่าเจ้าของร่างจะรับรู้และปล่อยวางได้แล้วสินะ
ชั่วเวลานี้เองที่เยว่อวิ๋นพลันตระหนักและเข้าใจแจ่มแจ้ง ว่าวิญญาณของตนได้หลุดลอยมาเข้าร่างคนอื่นแล้วจริงๆ
นางไม่เคยคาดคิดว่าเรื่องราวที่อ่านในตำราเกี่ยวกับการสวมร่างคืนวิญญาณ [4] นั้นจะมีอยู่จริง เพียงแต่น่าเสียดายที่การสวมร่างของนางกลับไม่มีความทรงจำใดๆ ของตัวเจ้าของร่างเลยแม้แต่น้อย
ยังดีที่ตอนนี้นางบาดเจ็บลุกไม่ไหว อีกทั้งยังมีเรื่องราววุ่นวายจากการกระทำของเจ้าของร่าง คนสกุลเยว่จึงไม่มีใครทันสังเกตเห็นความผิดปกติ
แต่ต่อไปความแปลกประหลาดพวกนี้ย่อมถูกคนใกล้ชิดมองออกได้ ถึงที่นี่อาจจะเป็นคนละยุคสมัยกับที่ๆ นางมา แต่คิดว่าความเชื่อเรื่องภูติผีปีศาจน่าจะยังคงมีอยู่ นางไม่อยากโดนฝูงชนจับตัวเอาไปเผาทั้งเป็นหรอกนะ
และนี่ก็เป็นเหตุผลอีกข้อหนึ่งที่ทำให้เยว่อวิ๋นยินยอมตกลงแต่งเข้าบ้านสกุลเซี่ย
มีคำกล่าวเอาไว้ว่าสตรีเราสามารถเกิดใหม่ได้ถึงสองครั้ง ครั้งแรกตอนคลอดออกจากครรภ์มารดา ส่วนครั้งที่สองนั้นมาจากการแต่งงาน นางจึงหวังใช้ประโยชน์จากจุดนี้มาเป็นตัวเปลี่ยนแปลงตนเอง
น้ำมาใช้กำแพงดินต้าน ทหารมาเอาขุนพลเข้ารับมือ [5] อย่างไรเสียเจ้าของร่างกับคนสกุลเซี่ยก็ไม่ได้สนิทสนมกันอยู่แล้ว นางแต่งเข้าไปนิสัยแปลกแตกต่างไม่เหมือนเดิมตรงไหน ผู้ใดใครจะมาชี้บอกได้กันเล่า
ที่สำคัญหากแต่งออกไปภรรยาย่อมกลายเป็นสมบัติของสามี เช่นนั้นไม่ว่าจะท่านย่าหรือมารดาของเยว่อวิ๋นคนเดิมก็ย่อมไม่มีสิทธิ์ในตัวนางอีก วิธีง่ายๆ แต่ได้ผลประโยชน์หลายข้อ มีหรือคนฉลาดอย่างเยว่อวิ๋นจะไม่ทำ
ส่วนสามีราคาถูกนั่นน่ะหรือ ดวงตากลมหรี่ลงเล็กน้อยทว่าทอประกายเย็นเยียบแหลมคมดุจมีด
ทางที่ดีให้เขาบาดเจ็บหรือพิการจนต้องนอนเตียงไปทั้งชีวิตเลยก็ได้ สามีคนเดียวนางเลี้ยงไหวอยู่แล้ว แม้จะมีซาลาเปาน้อยแถมมาด้วยก็ไม่เป็นไรนางไม่ถือสา แต่ขออย่าได้ลุกขึ้นมายุ่มย่ามวุ่นวายกับนางเชียวล่ะ
เพราะถ้าไม่อย่างนั้นนางคงไม่ลังเลที่จะส่งเขาลงไปพบกับเหยียนหลัวหวาง [6] ก่อนเวลาเป็นแน่!
[1] ซิ่วไฉ คือผู้ที่สอบเข้ารับราชการผ่านระดับอำเภอ ซึ่งจะมีการจัดสอบขึ้นลปีละครั้ง
[2] หมายถึง ต่อสู้กันจนตายไปข้างหนึ่ง
[3] ซื่อ ในสมัยโบราณ ตามธรรมเนียมจีน จะเรียกขานสตรีที่แต่งงานแล้วโดยใช้คำว่าซื่อต่อท้ายสกุลเดิม หรือบางครั้งอาจใช้สกุลของสามีไว้หน้าสุดเพื่อเป็นการระบุให้ชัดเจน
[4] การสวมร่าง คือ การที่คนหนึ่งเสียชีวิตไปแล้วและมี วิญญาณของอีกคนหนึ่ง เข้ามาใช้ร่างกายนั้นแทน
[5] หมายถึง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ให้พลิกแพลงรับมือไปตามสถานการณ์
[6] เหยียนหลัวหวาง ชื่อเรียกพญายมราช