เข้าสู่ระบบร่างสูงใหญ่กร้าวแกร่งแฝงไปด้วยความเย็นชาตามธรรมชาติกำลังยืนรับลมกระแสเย็นบนเชิงเขาอยู่เงียบๆ
สายตาคมปลาบมองออกไปยังทิวทัศน์อันงดงามที่ลากยาวไปไกลโพ้นเบื้องหน้า
เหอหย่งหมิงยังจำได้ดี ที่นี่คือสถานที่ที่เขาเจอกับเพ่ยจีจนกระทั่งถูกโจรป่าเข้ามาทำร้าย ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นทหารฝีมือดี หากแต่ยามที่มีศัตรูไม่รู้หน้าเกินคาดการณ์กรูเข้ามากันมากมายอย่างมิทันได้ตั้งตัว กอปรกับมีสตรีอ่อนแอไร้ซึ่งทางหนีทีไล่ก่อเกิดเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ เขาจึงพลาดท่าอย่างไม่น่าให้อภัย
แต่กระนั้นก็ยังได้เห็นน้ำใจนางที่เฝ้าดูแลกันไม่ห่างหาย
ยามที่เขาถูกตีจนสลบไป ได้นางถอดเครื่องประดับและเงินทั้งหมดที่มีให้เจ้าโจรไปเพื่อช่วยชีวิตเขา
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ชายหนุ่มพลันถอนหายใจออกมาอย่างปลดปลง
เหตุที่เหอหย่งหมิงมาตามนัดของเพ่ยจีในวันนี้ก็เพราะว่าเขาคิดมาแล้วเป็นอย่างดี ในการตัดขาดความสัมพันธ์กับนาง มิให้ค้างคาอันใดต่อกัน
ด้วยเห็นว่าตนเองไม่อาจเป็นบุรุษที่รักษาคำมั่นได้ว่าจะมีนางเพียงผู้เดียวดั่งที่นางต้องการ และที่สำคัญเขาก็แต่งภรรยาพระราชทานซึ่งไม่มีวันเลิกราหรือหย่าขาด
ยิ่งกว่านั้น เขายังร่วมเรียงเคียงหมอนกับภรรยาพระราชทานไปแล้ว ต่อให้เป็นเพราะยาปลุกกำหนัดก็ตาม
คำกล่าวก่อนหน้านี้ที่บอกว่าจะไม่แตะต้องภรรยาพระราชทานและจะรับเพ่ยจีเป็นภรรยารองนั้น พลันต้องตกไป
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนเขาตั้งตัวไม่ทัน นับตั้งแต่เริ่มเปิดใจคบหากับเพ่ยจีเพียงไม่นานก็ได้สมรสพระราชทานโดยมิคาดฝัน
เรื่องเหล่านี้ทำเขาหัวหมุนไม่น้อย
แต่หลังจากที่ได้ใช้เวลาอยู่ที่ค่ายทหารโดยไม่กลับจวนและมิได้ติดต่อเพ่ยจี เขาก็ได้ครุ่นคิดถึงความจริงที่ต้องเป็นไป
เขากับเพ่ยจีมิอาจเป็นไปได้ และหลังจากนี้เขาก็แค่เป็นสามีอยู่กับภรรยาพระราชทานไปตามยถากรรมก็เท่านั้น
ชั่วจังหวะที่เหอหย่งหมิงกำลังสรุปใจความสำคัญที่ต้องคุยกับเพ่ยจีในวันนี้ เสียงแว่วหวานของสตรีในห้วงคำนึงพลันดังขึ้นที่ด้านหลัง
“หย่งหมิง...”
ชายหนุ่มหันหน้าไปมองตามเสียง แต่แล้วหัวคิ้วคมเข้มพลันขมวดเข้าหากันมุ่น เมื่อได้เห็นใบหน้าอ่อนหวานของนางมีริ้วรอยบวมช้ำเป็นรูปฝ่ามือสีแดง น้ำสีใสไหลกลิ้งจากดวงตาหยดแล้วหยดเล่าจนชุ่มแก้มเนียนไปทั่ว
“เกิดอะไรขึ้น?” เหอหย่งหมิงเอ่ยถามเพ่ยจีเสียงเข้มทันที
หญิงสาวส่ายหน้าเบาเป็นเชิงบอกว่านางไม่เป็นไรแล้วเอ่ยปากเล่าเสียงเบาว่า “ในใจข้ารู้ดีว่าเรื่องของเราเป็นไปมิได้ และข้าก็ยอมตัดใจ จึงต้องการเป็นเพียงสหายกับท่านแต่โดยดี และที่ข้านัดพบกับท่านในวันนี้ แท้จริงแล้วข้านัดพบกับภรรยาของท่านด้วย ทว่านางกลับ...”
เพ่ยจีหยุดวาจาอันสั่นเครือเพียงเท่านั้น ฝ่ามือน้อยเอื้อมขึ้นลูบแก้มตนเองอย่างเจ็บปวด แลดูน่าสงสารจับใจ
เหอหย่งหมิง จึงตีความได้ไม่ยากเย็น รอยนิ้วที่ฝากบนแก้มนางจักเป็นฝีมือใครไปได้ หากมิใช่สตรีที่นางเอ่ยถึง
แน่นอนว่าการเป็นสหายกันคือบทสรุปที่ดีของเราสอง หากแต่เหตุใดสตรีอีกนางหนึ่งถึงได้ร้ายกาจเหลือเกิน...
สตรีที่ถูกตราหน้าว่าร้ายกาจเหลือเกินเพียงเดินมาหยุดอยู่ไม่ไกลจากชายหญิงทั้งสอง และถ้อยคำที่เพ่ยจีกล่าวออกมา ลี่เหยาถิงล้วนได้ยินจนสิ้น
นางแผ่กลิ่นอายเย็บเยียบรอบร่างระหง แล้วแค่นเสียงต่ำในลำคออย่างไม่สบอารมณ์เลยสักนิด นางปั้นหน้าเสแสร้งไม่ได้อีกต่างหาก อารมณ์นางพร้อมแผดเผาป่าเขาตรงนี้เลยด้วยซ้ำ
หญิงสาวจึงยืนเชิดหน้าด้วยท่าทางหยิ่งทะนงดั่งนางพญาหงส์ที่มีอยู่ในกระแสเลือดเต็มเปี่ยม แม้ไร้ยศศักดิ์ใดให้ภาคภูมิใจ แต่กระนั้นยามอยู่ในวังนางก็มักมีท่าทางเช่นนี้ เพื่อข่มขวัญทุกคนที่หาญกล้ามาต่อกร กล้างัดข้อกับนาง
ท่านยายเองยามอยู่กับนางหรือกับฮ่องเต้ก็ยังเป็นสตรีนุ่มนวล หากแต่ยามอยู่ต่อหน้าธารกำนัล ท่านยายก็จะมีท่าทีเช่นนางยามนี้นั่นล่ะ
หาได้แปลกอันใดไม่!
อย่างไรก็ตาม ลี่เหยาถิงย่อมรู้ซึ้งดีว่าไม่ควรด่าทอสตรีเจ้าเล่ห์มากมารยาสารพัดพิษอย่างเพ่ยจีต่อหน้าเหอหย่งหมิงอีก เพราะว่าจะทำให้นางยิ่งดูเลวร้ายในสายตาของเขาไปกันใหญ่ นางจึงยืนนิ่ง กัดปากแน่น มองสองชายหญิงด้วยประกายตาเย็นเยียบเสียดแทงไปถึงกระดูกแทน
เพ่ยจีเห็นเช่นนั้นก็มีสีหน้าตกใจ ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ มองลี่เหยาถิงด้วยใบหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ พวงแก้มแดงก่ำดุจผลท้อสุก บ่งบอกได้ว่าเป็นคนดีที่กำลังถูกผู้ร้ายรุกฆาต
เหอหย่งหมิงจึงเบี่ยงกายสูงใหญ่ของตนบดบังร่างระหงที่กำลังสั่งเทาของเพ่ยจีจากสายตาพิฆาตของลี่เหยาถิง
สองสามีภรรยาจึงยืนประจันหน้ากันอยู่นิ่งๆ สบสายตาร้อนแรงกันอยู่เงียบๆ
เพ่ยจีที่หลบอยู่ตรงแผ่นหลังกว้างใหญ่ของเหอหย่งหมิง จึงแอบเอียงหน้าออกมาแสยะยิ้มส่งให้ลี่เหยาถิงแวบหนึ่ง
แค่แวบเดียวเท่านั้น หากแต่ทำให้สติของลี่เหยาถิงถึงกับขาดผึง
ดูเถิด...ดูนางปีศาจนี่!
หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกมาก นางค่อยๆ หลับตาช้าๆ ทั้งๆ ที่หางคิ้วกำลังสั่นระริกจนแพขนตากระเพื่อมไหว ฝ่ามือกำลังกำเข้าหากันแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ
นางเอ่ยเสียงเครียดลอดไรฟันกับเหอหย่งหมิง พยายามเหลือเกินที่จะไม่สนใจเพ่ยจี “ท่านไม่ควรเชื่อคำนาง”
ชายหนุ่มหรี่ตาเงียบฟังไม่คิดต่อคำ
จางเหว่ยคิดด้วยหัวใจพองโต เขาเคยคิดจะหาโอกาสเข้าหาลี่เหยาถิงหลายครั้งแล้ว แต่ติดตรงที่หาจังหวะเหมาะสมยังมิได้เพราะว่าบางครา ท่านหมอเทวดาพำนักอยู่มิได้เดินทางไปที่ใด และในหลายครายังมีภรรยาที่บ้านถลึงตาใส่ ไม่ยอมให้เขาได้หายตัวไปที่ใด หากแต่วันนี้ช่างสบโอกาสยิ่ง!ท่านหมอไม่อยู่ และภรรยาของเขาก็กำลังตั้งครรภ์ จนไม่สะดวกร่วมเตียง นางจึงยอมรับเรื่องที่เขาจะรับภรรยาเพิ่ม“ว่าอย่างไร ให้ข้าไปส่งแล้วนั่งคุยกันสักคืนเป็นไร”เสียงทุ้มนุ่มยังคงเอ่ยเกี้ยวกันอย่างเปิดเผยไม่มีเกรงใจลี่เหยาถิงได้ยินคำว่าจะไปส่งและอยู่ด้วยทั้งคืนจึงชะงักเท้าหยุดเดินแล้วหันหน้าไปมองจางเหว่ยนิ่งๆ แล้วเอ่ยเสียงเย็น“ซิ่วอิงของเจ้าอนุญาตแล้วหรือไร ถึงได้กล้ามาเกี้ยวข้า”หญิงสาวใช้ถ้อยวาจาตรงไปตรงมาตามวิสัย หาได้ต้องเกรงใจใครไม่จางเหว่ยเองก็หาได้สะทกสะท้านที่ถูกคนงามตรงหน้าเอ่ยถึงภรรยา เขาคลี่ยิ้มกว้างปากเอ่ยหยอกเย้าว่า“เหยาถิงคนงาม ยามนี้ข้าร่ำรวยนัก เงินทองล้นเหลือ ภรรยาข้าย่อมเต็มใจให้สามีรับภรรยามาปรนนิบัติเพิ่ม ข้าจะรับเจ้าเป็นภรรยาอีกคน ให้ฐานะเทียมกัน บุรุษใจกว้างเยี่ยงข้าไม่มีอีกแล้ว”ลี่เหยาถิงได้ฟังถึงกับกลอ
นอกเรือนไร้โรคาตรงหน้าลานตากสมุนไพรเสียงหวานแหลมของลี่เหยาถิงถามย้ำเซียนเซียนอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจอันใดทั้งสิ้น“เขาคือสามีของข้าจริงๆ หรือ?”“อืม...”เซียนเซียนพยักหน้าตอบรับอย่างหนักแน่น“จริงแท้และแน่นอน ฝีมือการสืบเสาะของข้าเชียวนะ อ่อนด้อยที่ใด”หญิงสาวตบอกตนเองกล่าวอย่างมั่นใจเพราะนอกจากความเก่งกาจของนางแล้วยังได้สายลับทมิฬแห่งยุทธภพช่วยเหลือเช่นนี้ คำว่าพลาดย่อมไม่มีและนางเองก็คุกเข่าขอร้องอาจารย์ให้เป็นผู้ประสานติดต่อ จนกระดูกเจ็บร้าวไปหมด แทบจะเดินมิได้หากไม่ได้ความ ก็ปาดคอนางได้เลย“เขามีนามว่าเหอหย่งหมิง เป็นสามีของพี่และพ่อของลูกในท้องของพี่ พวกพี่แต่งงานกันได้เพียงสองเดือนก็เกิดเหตุให้ต้องพลัดพรากจากกันเกือบสองปี” เซียนเซียนย้ำอีกครา โดยเว้นเรื่องราวทุกข์ระทมให้ไกลห่างลี่เหยาถิงได้แต่ยืนนิ่งรับฟังอย่างเงียบงันแน่นอนว่านางย่อมเชื่อถืออีกฝ่าย ไร้ซึ่งคำโต้แย้งใดๆนางไม่มีเหตุผลอันใดให้ต้องปฏิเสธ เพราะนางตกหน้าผามาบาดเจ็บสาหัสจวนเจียนจะตาย ก็ได้คนตรงหน้าช่วยเหลือจนรอดมาได้ และการแท้งลูกของนางล้วนบ่งบอกได้ดี ว่านางมีสามีแล้วนางมีคนรัก และรักกันมาก จนได้แต่งงานกันแล้วก็
เบื้องหน้าหลุมศพของลูกน้อยนอกจากเรือนร่างสูงใหญ่ในชุดสีครามที่คุกเข่านิ่งงันไม่ไหวติงใดๆ ยังมีเรือนร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีขาวยืนอยู่ที่ด้านหลังอยู่เงียบๆเนิ่นนานผ่านไปเหวินเต๋อร์จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“ข้าขอกล่าวอีกเล็กน้อย”ใบหน้าหล่อเหลาของเหอหย่งหมิงยังคงนิ่งขรึมไร้คลื่นอารมณ์อันใดปรากฏ มีเพียงดวงตาคมกริบที่หม่นแสงขีดสุด“เหยาถิงจำอดีตไม่ได้เลย และแน่นอนว่าความรักที่มีต่อท่านเมื่อครั้งนั้น นางก็ลืมไปแล้วจนสิ้น แต่ข้าก็ยังหวังว่าท่านจะทำให้นางรักท่านได้อีกครั้ง ข้าอยากให้ท่านปรับความเข้าใจกับนางเสีย เพราะว่านางคือภรรยาของท่าน นางแต่งงานกับท่านด้วยสมรสพระราชทานประการหนึ่ง อีกประการคือนางรักท่านจากใจจริง ทั้งยังต้องการช่วยเหลือท่านจากเพ่ยจี ถึงแม้เพ่ยจีจะได้เป็นภรรยาคนที่สองของท่าน แต่นางมิได้รักท่าน การแต่งงานก็เพียงเพื่อแก้แค้น เติมเต็มแรงริษยา ต้องการทรัพย์สินเงินทอง ที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือคิดฆ่าท่านเพื่อคบชู้ หยามเกียรติท่านทุกวิธี ท่านลองตรองดูเถิด”สิ้นประโยคของเหวินเต๋อร์ เส้นเสียงทุ้มต่ำเย็นชาจึงดังออกมาจากเหอหย่งหมิง“ที่ท่านเอ่ยมา ล้วนเป็นดั่งที่ใจข้าคิด และภรรยาของข้า
เหอหย่งหมิงได้แต่เงียบงัน มิได้ต่อคำอันใดทั้งสิ้น ในขณะที่เหวินเต๋อร์ยังเอ่ยปากเรียบเรื่อย ถึงเรื่องราวที่สืบมาได้ ว่าเพ่ยจีมารยาสาไถยเพียงใด เสแสร้งแค่ไหน เลือดเย็นเยี่ยงปีศาจอย่างไร ท่าทางอ่อนหวานที่แสนจะอ่อนโยนใสซื่อบริสุทธิ์จริงใจนั้น ล้วนเคลือบไปด้วยยาพิษร้ายแรง จนกระทั่งเหยาถิงต้องเกือบจบชีวิตอย่างอนาถเช่นไรเขาสืบรู้กระทั่งว่า เพ่ยจีพยายามเข้าหาเหอหย่งหมิง เพื่อแก้แค้นเหยาถิงหมายสนองตอบความริษยาของตนเอง นางทำเรื่องชั่วช้ากระทั่งว่าจ้างอันธพาลกับโจรป่าให้ทำร้ายเหอหย่งหมิงเพื่อสร้างความประทับใจจอมปลอม หมายคบหาเพื่อตัดหน้าเหยาถิง คิดแย่งชิงชายในดวงใจรวมทั้งเรื่องราวหลังจากนั้นทั้งหมดทั้งมวล แม้กระทั่งสาเหตุที่เพ่ยจีรบเร้าแต่งงานกับเหอหย่งหมิง เพราะต้องการเงินและกินดีอยู่ดีในตำแหน่งฮูหยินแม่ทัพ เขายังสืบรู้ได้ไม่ยากเย็นการมีภรรยาเป็นหญิงชาวยุทธ์ผู้เก่งกาจก็ดีเช่นนี้แลเหอหย่งหมิงได้ฟังก็ยิ่งมีใบหน้าดำคล้ำขึ้นเรื่อยๆเขาหลับตาลงอย่างช้าๆ รับรู้เพียงว่าหัวใจปวดร้าวราวกับกำลังถูกรุมฉีกออกจนเป็นแผลกว้าง สร้างความปวดร้าวยิ่งนักเหวินเต๋อร์ยังกล่าวย้ำซ้ำเติมอีกครั้งว่า “เหยาถิงรักท่านจ
เมื่อเหอหย่งหมิงมองตามลี่เหยาถิงจนเห็นชัดจากประตูที่เปิดอ้าว่านางกำลังยืนคุยกับสตรีที่วิ่งตามไปอยู่นอกห้อง โดยที่นางมิได้วิ่งไปที่ใดไกลกว่านั้น สีหน้าของนางบ่งบอกได้ว่าตระหนกตกใจ ส่ายหน้าน้อยๆ อย่างไม่อาจเชื่ออันใดตลอดเวลานางมองมาทางเขาลอดช่องของประตูมา ด้วยสายตาความหมายว่าไม่รู้จักเขาริมฝีปากแดงระเรื่อของนางขยับเล็กน้อย หากเขาอ่านปากนางไม่ผิด นางคงกำลังพูดว่า ‘เขาเป็นใครกันแน่?’เหอหย่งหมิงถึงกับใจกระตุกรุนแรง ในโพลงอกราวกับถูกมีดคว้านเอาก้อนเนื้อออกมานอกอกกระนั้นชั่วอึดใจเขาจึงละสายตาคมปลาบกลับมามองชายตรงหน้าแทนเหอหย่งหมิงจำได้ ว่าคนผู้นี้คือคนที่เพ่ยจียืนกุมมือในวันที่เกิดเรื่องก่อนที่เขาจะถูกตีจนสลบไปทว่า...ประเด็นนั้นเขามิได้สนใจเรื่องที่เขาใส่ใจล้วนเกี่ยวกับเรื่องราวในยามนี้ สถานที่แห่งนี้ และลี่เหยาถิงเหวินเต๋อร์สังเกตเห็นสายตาคมดำที่มากไปด้วยคำถาม จึงเอ่ยแนะนำตัวโดยไม่มีเสียเวลามานั่งมองหน้ากันไปมา“ข้ามีนามว่าเหวินเต๋อร์” กล่าวจบก็ยกยิ้มมากเสน่ห์ยักคิ้วหลิ่วตาพร้อมพรั่ง หากเป็นสตรีเห็นก็คงหลงใหลทันใด ทว่าคนตรงหน้ามิใช่สตรี ทั้งยังเป็นบุรุษที่กำลังแผ่กลิ่นอายเย็นเยียบ“
เวลาผ่านไปเท่าไหร่มิรู้ได้ลี่เหยาถิงก็เข้ามาดูแลเหอหย่งหมิงอีกครั้งตามหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายนางมิใช่สตรีที่อ่อนหวาน นางจึงดูแลเหอหย่งหมิงด้วยท่าทางเรียบเฉยไร้จริตมารยา ทั้งยังมีท่าทางเปิดเผยจริงใจไร้การเสแสร้ง บางทีก็รุนแรงเกินไปสักหน่อยนางทั้งดุทั้งขู่ให้เขาดื่มยาอย่างอุกอาจ ไม่มีมารยาทเลยสักนิด และไม่คิดจะถนอมน้ำใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อยรุ่งขึ้นในวันหนึ่ง...จังหวะที่ลี่เหยาถิงนำถ้วยยาร้อนกรุ่นมาวางลงบนโต๊ะข้างหัวเตียง เหอหย่งหมิงตื่นลืมตาอยู่ครู่หนึ่งแล้ว สายตาคมดำมองไปเห็นมือพอดีจังหวะที่นางวางถ้วยยา มือขาวเนียนราวหิมะมีอาการบวมแดงเห็นได้ชัด ชายหนุ่มจึงมองไล่สำรวจนางไปทั่วฝ่ามือทั้งสองพร้อมมีคำถามในแววตา ว่ามือเจ้าไปโดนอะไรมาน่าแปลกนักที่ลี่เหยาถิงเข้าใจคำถามทางแววตาโดยที่อีกฝ่ายมิต้องเปล่งวาจา“เตามันร้อน ยามเคี่ยวยาก็มักจะเป็นเช่นนี้”หญิงสาวตอบตามจริงด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยเมื่อสังเกตเห็นสายตาของอีกฝ่ายที่มองมายังข้อมือที่บวมแดงของตน“กินยาเสีย อย่ามัวแต่มองคนงาม” นางเอ่ยพร้อมยกยิ้มพร่างพราว นางรู้ตัวดียิ่ง ว่าตนเองงดงามนักอีกฝ่ายที่ได้ฟังพลันขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น ทว่าอาการตึง







