ขนาดพวกเขาใช้ใบไม้ยักษ์ในการเดินทางยังใช้เวลาไปตั้งนาน แรกๆหลินซือหยายังมองไปข้างล่างอย่างสนใจ เด็กน้อยตื่นเต้นมากต้นไม้ใบสีเขียวแก่เขียวอ่อนสลับกันไป บางต้นก็มีดอกมีผลด้วย นางมองด้วยความเสียดายถ้าใบไม้นี้บินต่ำกว่านี้ก็คงจะเก็บผลไม้มาไว้กินได้ ผลไม้แล้วผลไม้เล่าผ่านใต้ท้องพวกเขาไปอย่างนาเสียดาย หลินซือหยาชะเง้อไปมองผลไม้ที่ผ่านไป
"ผลไม้ในป่านี้ตอนนี้มันลูกเล็กอยู่ถ้าหากอยู่ใกล้ๆบนเขานู้นจะลูกใหญ่กว่านี้ หรือว่าเจ้าหิวแล้วหรือถึงมองผลไม้ขนาดนั้น" ชายชรากล่าวถาม "ผลไม้มีลูกใหญ่กว่านี้อีกหรือจ๊ะท่านตา ไหนท่านบอกว่าท่านเป็นนักยุทธพเนจรแล้วทำไมรู้จักสถานที่นี้ดีจังเลยนะท่านตา" เด็กน้อยถามด้วยความสงสัย "เจ้าไม่รู้หรอกหรือที่ที่อยูห่างไกลผู้คนนั่นแหละที่จะมีอะไรดีๆเด็ดๆ และที่ข้าบอกว่านักยุทธพเนจรก็ไม่ได้บอกว่าไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากมายนี่เจ้ายังเด็กมากนัก สถานที่นี้ก็ได้มาบำเพ็ญแล้วไม่ต่ำกว่าห้าครั้งทุกๆสี่ห้าปีข้าก็จะมาหนึ่งครั้ง เพราะข้างบนนั้นมันมีไอวิเศษที่เข้มข้นเหมาะกับการฝึกยุท" ชายชรากล่าวขึ้น "จริงหรือจ๊ะท่านตา แล้วท่านว่าบิดาของข้าจะรู้หรือไม่ว่าข้างบนนี้มีไอวิเศษเข้มข้น" เด็กหลินซือหยาถามขึ้น "เจ้าคงจะคิดถึงพ่อเจ้าสินะข้าเองก็ไม่รู้หรอกว่าพ่อเจ้าจะรู้หรือไม่ว่าสถานที่บนนั้นมีไอวิเศษเข้มข้นข้าไม่สามารถเดาได้หรอก" ชายชรากล่าวขึ้น พลางมองคนที่อยู่ข้างหลังที่ตอนนี้กำลังทำหน้าลอยๆเหมือนกำลังคิดหนัก เมื่อใบไม้นั้นบินลอยไปเรื่อยๆลมเย็นๆที่พัดโดนใบหน้าของเด็กหลินซือหยานั้นก็ทำให้นางรู้สึกปลดปล่อยและในที่สุดนางก็เผลอหลับไปเมื่อเวลากลางคืนผ่านเข้ามานางก็ตื่นเนื่องจากว่าลมที่ปะทะกับร่างกายของนางนั้นมันหนาวเย็นมึงทำให้นานสะดุ้งตื่นและกระชับถุงผ้าที่นางกอดเอาไว้ "ตื่นแล้วหรือหิวหรือยังแต่ดูท่าทางเจ้าสิเหมือนเจ้าจะหนาว" ชายชรากล่าวขึ้น พลางแบมือแล้วไปเอาที่ศีรษะของนางไม่นานนักความอบอุ่นจากมือของเขาก็แผ่ซ่านไปถึงหัวและลงไปเรื่อยๆจนถึงขา "โห่ท่านตามันวิเศษจริงๆทำไมท่านตาทำได้หรือจ๊ะ ต่อไปข้าจะทำได้แบบท่านตาหรือไม่ หากข้าตั้งใจฝึกฝน" เด็กหลินซือหยาถามขึ้น "อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของเจ้าและความอดทนของเจ้าแล้วล่ะ ต่อไปเจ้าจะได้เรียนทุกอย่างที่ข้ามี" ชายชรากล่าวขึ้น "แล้วท่านตาบนยอดเขานั้นมันสูงมากเลยหรือเจ้าคะเราเหาะมาเป็นวันแล้วยังไม่ถึงเลย" หลินซือหยาถามขึ้น "พรุ่งนี้ตอนค่ำก็ถึงแล้วละ ใครใช้ให้เจ้าไม่เป็นวรยุทธเล่า ปกติข้าเหาะเพียงแค่คืนเดียวก็ถึงแล้ว อันนี้ต้องใช้ใบไม้วิเศษ มันจึงทำให้ช้าแต่ก็เร็วกว่าเจ้าเดินทางมาเองก็แล้วกัน ข้าคิดว่าหากเจ้าเดินมาเองเจ้าน่าจะอายุเกือบร้อยปีนั่นแหละกว่าจะถึง" ชายชรากล่าวขึ้น "โหท่านตามันไกลขนาดนั้นเชียวหรือมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นจะไกลอะไรนักหนา และอีกอย่างถ้าให้ข้าเดินนานขนาดนั้น ข้าก็คงจะป่วยตายอยู่ในป่านั้นแล้วล่ะ" เด็กหลินซือหยาถามขึ้น "เจ้าก็คิดดูสิเจ้าเดินทางเจ็ดแปดวันก็ยังอยู่บนตีนเขาอยู่เลย นี่มันยอดเขาเลยนะ แล้วตอนนี้เจ้าหิวหรือยังกินอะไรสักหน่อยไหม พรุ่งนี้ตอนเย็นก็ถึงแล้วหรือเจ้าจะพักผ่อนเลย" ชายชราถามด้วยความใส่ใจ และหยิบ ลูกพีชป่า เกาลัดป่าและพุทราป่าเอามาให้นาง "ท่านตาไปเก็บมาตอนไหนหรือจ๊ะหรือว่าท่านตามีอยู่ในมืออยู่แล้วแต่ไม่เอาออกมาแบ่งให้ข้ากินตั้งแต่แรก" เด็กน้อยหลินซือหยาถามขึ้น "ฮ่าๆๆเจ้านี้ก็เด็กขี้สงสัยไปหมดทุกอย่างเนาะ มันก็อยู่กลางทางนี้นั่นแหละ ข้าเพียงยื่นมือไปหยิบก็หยิบได้แล้วล่ะ สงสัยมากจริงรีบกินเถอะจะได้นอนพักผ่อน" ชายชรากล่าวขึ้น และยัดผลไม้ใส่มือเด็กน้อย นางก็นั่งกินอย่างเอร็ดอร่อย และก็นอนพักผ่อนต่อจนชายชรามาปลุกเขา เด็กน้อยก็ค่อยๆลืมตา "เราไม่สามารถใช้ใบไม้วิเศษนี้เข้าในพื้นที่ได้อีกแล้วเพราะว่าเจ้าไม่มีวรยุทธพวกเราต้องเดินเท้าแล้ว" ชายชรากล่าวขึ้น ก่อนที่ใบไม้ยักษ์ค่อยเลื่อนลงสู่พื้นพอทั้งสองคนลงจากมันมันก็ทะยานพุ่งหายไป "มันไปไหนแล้วละท่านตา" เด็กน้อยหลินซือหยาถามขึ้น "มันไปรอข้าอยู่ที่บนเขาโน้นแล้วละ ปกติข้าไม่ค่อยได้ใช้งานมันสักเท่าไหร่หรอก มันน่าจะชรามากแล้วจึงช้าขึ้น" ชายชรากล่าวขึ้น เด็กหลินซือหยามองดูพื้นที่รอบๆ ยามเช้าในป่าแสงแรกแห่งรุ่งอรุณแทรกผ่านหมอกขาวขุ่นที่ลอยอ้อยอิ่งระหว่างเรือนยอดไม้ ราวกับม่านเวทมนตร์ปกคลุมโลกทั้งผืน ต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้า ป่าไม้บริเวณนี้ดูโบราณมาก ต้นไม้ลำต้นหยาบกร้านประดับด้วยเถาวัลย์เก่าแก่ที่พันเกี่ยวกันแน่นเหมือนอักษรลึกลับจากกาลเวลา ใบไม้ที่ยังคงชุ่มด้วยน้ำค้างสะท้อนประกายราวอัญมณีต้องมนตร์ เสียงนกป่าที่ไม่คุ้นหูดังแว่วมาแต่ไกล เด็กน้อยตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่ง มันคล้ายเป็นบทสวดปลุกเร้าเหล่าวิญญาณแห่งป่าให้ตื่นขึ้น ไม่นานใบไม้ยักษ์นั้นก็ร่อนลงสู่พื้น ใต้ร่มเงาทึบ แสงอาทิตย์ถูกกรองจนเป็นลำสีทองอำพันที่ทอดลงมาบนผืนดินชื้น หญ้าและดอกไม้ป่ากระพริบแสงเรืองรองราวกับมีชีวิต สายลมแผ่วเบาพัดผ่าน ทิ้งเสียงกระซิบคล้ายถ้อยคำลี้ลับที่ฟังไม่ออกว่าเป็นเสียงธรรมชาติหรือเสียงของสิ่งมีชีวิตเหนือจินตนาการ ทุกสิ่งดูเงียบสงัดและสง่างามในคราวเดียวกัน เสมือนว่าต้นไม้เหล่านี้มิได้เป็นเพียงพืชพันธุ์ แต่คือผู้พิทักษ์ที่เฝ้ามองผู้กล้าที่ก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งนี้ "ดูเจ้าทำราวกับไม่เคยพบเห็นมาก่อน" ชายชรากล่าวขึ้น "ก็ข้าไม่เคยเห็นจริงๆนิจ๊ะ ต้นไม้อะไรใหญ่โตพิสดารขนาดนี้ ดูเถาวัลย์นั้นสิพันได้อารมณ์ลึกลับมาก เหมือนอักษรขอมโบราณยังไงงั้นนะ แล้วเสียงนั้นที่เราได้ยินล่ะทำตามันเป็นเสียงของอะไรหรือ ฟังแล้วหน้าขนลุกยิ่งนัก" หลินซือหยาถามขึ้น "มันเป็นเสียงนกเฟิ่งหวง ในป่าแถวๆนี้น่าจะเป็นรังของพวกมัน ส่วนมากเพราะพวกนี้จะมีวรยุทธขั้นที่แปดถึงขั้นที่เก้าเลยทีเดียว หากว่าใครจะล่ามันก็ต้องมีวรยุทธมากกว่าขั้นที่สิบ เพราะสัตว์วิเศษพวกนี้จะมีกำลังมากกว่านักพูดธรรมดาหนึ่งขั้น" ชายชรากล่าวขึ้น "แล้วเรามาอยู่ที่นี้จะไม่เป็นการรบกวนพวกมันหรือจ๊ะท่านตา" เด็กน้องหลินซือหยาถามขึ้น "ไม่หรอกเราไม่ได้อยู่ที่นี่ซะหน่อยเราก็ต้องออกเดินทาง ป่ะไปกันเถอะเจ้าหิวแล้วหรือยัง อีกสักหน่อยค่อยกินก็แล้วกัน" ชายชรากล่าวขึ้นและทั้งสองก็เดินต่อไปเด็กน้อยหลินซือหยาเมื่อเห็นชายชรานั้นยิ้มตอบ ตนก็รู้แล้วว่าตนตอบคำถามได้ถูกต้องตามที่ชายชราปรารถนา เด็กน้อยคุกเข่าลงและคำนับท่านผู้เฒ่าสามครั้ง "ข้าขอกราบท่านตาเป็นอาจารย์นะเจ้าคะ เพราะในตำราบอกว่าถ้ามีอาจารย์จะทำให้ข้าเข้าใจในบทความทุกบทความได้เร็วขึ้น"เด็กน้อยหลินซือหยากล่าวขึ้น เจ็ดวันที่ผ่านมาเขาไม่ใช่แค่จดบทกวีและดูความหมายของมันเท่านั้น เขายังมองไปดูหน้าอื่นๆเผื่อหน้าอื่นๆจะซ่อนความหมายของบทกวีนี้ และหนังสือหน้าอื่นๆก็แสดงให้เรารู้เพียงว่าหากเป็นศิษย์มีครูย่อมประสบผลสำเร็จได้เร็วขึ้น เด็กน้อยผู้นี้ก็นับถือชายชราผู้นี้อยู่แล้ว ยกให้เขาเป็นครูได้เลย"เจ้าเด็กผู้นี้รู้จักพูดดีนัก ได้ข้าจะรับเจ้าไว้เป็นศิษย์เพียงผู้เดียว555 มาข้าจะตีความหมายแต่ละตอนให้ฟัง วันนี้คำตอบของเจ้านั้นโดนใจและตรงใจและตรงประเด็นมาก"บทแรก ลมพัดหวนผ่านฟ้าเวิ้งว้าง ดวงจันทร์ส่องกลางธารามืดมิดมักก็คือบรรยากาศแห่งความเวิ้งว้างว่างเปล่า สะท้อนถึงโลกที่เต็มไปด้วยความมืด ความทุกข์ หรือความไม่แน่นอน แต่ยังมีแสงจันทร์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง ความจริง และความสว่าง ที่คอยนำทางบทที่สองเงาดาบหนึ่งฟาดสะท้านส
หลังจากกินข้าวเสร็จชายชราก็พาเด็กน้อยลงไปด้านล่างเพื่อที่จะไปหาหนังสือตำหรับตำราเขาหยิบหนังสือออกมา แล้วไสคืนที่ ชายชราเดินหยิบไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็ได้ตำรามาสองเล่มและสมุดเปล่าอีกหนึ่งเล่ม ก่อนที่จะเดินหาผู้กันและหมึก"ได้ของครบแล้วป่ะขึ้นไปเรียนด้านบนกันเถอะ"ชายชรากล่าวขึ้นและพาเด็กน้อยขึ้นไปด้านบน เขาโบกมือหนึ่งครั้งทำให้โต๊ะที่ตั้งอยู่ตรงกลางนั้นไหลมาอยู่ตรงริมจุดที่เด็กน้อยปีนขึ้นมา ชายชราไม่ได้ปีนขึ้นมาดั่งที่ตัวเองพูด เผลอแป๊บเดียวเขาก็ขึ้นมาข้างบนได้แล้ว เด็กน้อยหลินซือหยาได้แต่คิดในใจอีกสักกี่ปีนะ นางถึงจะสามารถเหาะขึ้นมาข้างบนได้แบบนี้"มานั่งเถอะ ข้าต้องสอนหนังสือให้เจ้าก่อนให้เจ้าก่อน เจ้าจะได้รู้ตัวหนังสือแล้วเจ้าจะได้ศึกษาตำราด้วยตัวเอง"ชายชรากล่าวขึ้น"แบบนั้นท่านตาให้ข้าเขียนให้ดูก็ได้นะเจ้าคะเพราะว่านั้นก็ได้ร่ำเรียนมาด้วยตัวเองบ้าง ข้าเคยเอาตำราของพี่ชายของข้ามาฝึกฝน การเขียนอักษรบ้างแล้ว การเริ่มเขียนนั้นน่าจะไม่ค่อยจำเป็นสักเท่าไหร่ แต่ข้าอาจจะเขียนคำยากๆไม่ได้ และไม่รู้ความหมายของมันเท่านั้นเจ้าค่ะ"เด็กน้อยกล่าวขึ้น ชายชราจึงนำสมุดเปล่าและก็นำหมึกมาวางให้นางลองเ
เช้าวันรุ่งขึ้นเด็กน้อยตื่นมาด้วยความหอมกลิ่นกรุ่น เหมือนจะเป็นไก่ย่างที่ลอยเข้ามาปลุกนางในยามเช้า จากนั้นนางก็อ้าปากหาวหนึ่งครั้งแล้วมองไปทุกที่ก็ไม่เห็นว่าจะมีที่ทำอาหารที่ไหนเลย เด็กน้อยเปิดประตูออกไป ท่ามกลางม่านหมอกบาง ๆ แสงอาทิตย์แรกของวันลอดผ่านกิ่งไม้ใหญ่ ส่องกระทบกระต๊อบเล็กหลังนี้ ที่ตั้งอยู่กลางสวนเขียวชอุ่ม กระต๊อบไม้เรียบง่ายมุงหลังคาฟางดูอบอุ่นดั่งอ้อมกอดของธรรมชาติหน้ากระต๊อบเต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ ทั้งกุหลาบสีแดงสด ดอกเดซี่สีขาวสะอาด ดอกลาเวนเดอร์หอมหวานที่ส่งกลิ่นอบอวลไปทั่ว และดอกไม้ป่าหลากสีที่ชูช่อรับแสงตะวัน เกสรเล็ก ๆ พลิ้วตามลมบางเบา กลิ่นหอมอ่อนหวานลอยเคล้าไปกับเสียงนกร้อง เสมือนบทเพลงที่ต้อนรับวันใหม่ เด็หน้อยสูดหายใจเย็นเข้าไป หยดน้ำค้างที่เกาะบนกลีบดอกส่องประกายระยิบระยับราวอัญมณีเล็ก ๆ แสงอาทิตย์อุ่นละมุนตกกระทบผนังไม้ของกระต๊อบ ทำให้ทุกสิ่งรอบตัวดูอ่อนโยนและมีชีวิตชีวา บรรยากาศเต็มไปด้วยความสงบและความสดใสของรุ่งอรุณ เด็กน้อยยืนชมความงามได้สักพักก็จำได้ว่าตัวเองนั้นตามกลิ่นของไก่ย่างออกไปพอมองไปรอบๆก็ไม่เห็นมีไก่ย่างเลย"เด็กน้อยเจ้าตื่นแล้วจะฝึกเลยหรือ
พวกเขาทั้สองเดินไปเรื่อยๆ เสียงก้าวเดินแผ่วเบาดังก้องไปพร้อมกับเสียงใบไม้ไหว เสียงน้ำหยดจากกิ่งไม้สูงตกลงใส่พื้นอย่างแผ่วพร่า บางคราวมีเสียงนกประหลาดร้องยาวคล้ายท่วงทำนองสวดสรรเสริญ ก้องสะท้อนในหุบเขา ละม้ายเสียงเพลงจากโลกอื่น ทำให้ผู้เดินทางต้องหยุดฟังราวกับถูกสะกด เสียงนั้นพาให้ใจว่างเปล่า ลอยคว้างอยู่ในภวังค์ เด็กน้อยซือหยาหยุดเดินเป็นช่วงๆคอยฟังเสียงต่างๆ "เจ้าเหมือนจะสนใจสิ่งรอบข้างมากมายนะ รอให้เจ้าฝึกฝนให้ได้เสียก่อน ข้าจะปล่อยให้เจ้าเดินผจญภัยในป่าแห่งนี้ บอกเลยว่าสนุกเลยทีเดียว ป่าแห่งนี้มีทั้งสมุนไพรมากมาย แถมมีของหายากอีกเยอะแยะ แล้วยังมีสัตว์วิเศษที่รอให้เจ้าเป็นเจ้าของอยู่ แต่มันต้องรอให้ถึงเวลาของมันเสียก่อน"ชายชรากล่าวขึ้น เพราะเห็นเด็กผู้นี้เดินไปด้วยหยุดไปด้วยและบางครั้งก็เหมือนกับนางอินกับเสียงนกร้องเสียงกา"จริงเหรอจ๊ะท่านตาข้าจะได้มาเที่ยวในป่านี้อีกครั้งด้วยหรือ แต่เราสองคนจะเดินนานแค่ไหนล่ะถึงจะถึงที่ที่ท่านตาอยู่"เด็กหลินซือหยากล่าวขึ้น"ก็เดินทั้งวันแหละวันนี้พอตกค่ำปุ๊บก็ถึงที่พักของข้าทันทีเจ้านิใจร้อนไปได้ ทีเดินป่ามาตั้ง เจ็ดแปดวันยังไม่เห็นจะรีบร้อนเลย"
ขนาดพวกเขาใช้ใบไม้ยักษ์ในการเดินทางยังใช้เวลาไปตั้งนาน แรกๆหลินซือหยายังมองไปข้างล่างอย่างสนใจ เด็กน้อยตื่นเต้นมากต้นไม้ใบสีเขียวแก่เขียวอ่อนสลับกันไป บางต้นก็มีดอกมีผลด้วย นางมองด้วยความเสียดายถ้าใบไม้นี้บินต่ำกว่านี้ก็คงจะเก็บผลไม้มาไว้กินได้ ผลไม้แล้วผลไม้เล่าผ่านใต้ท้องพวกเขาไปอย่างนาเสียดาย หลินซือหยาชะเง้อไปมองผลไม้ที่ผ่านไป"ผลไม้ในป่านี้ตอนนี้มันลูกเล็กอยู่ถ้าหากอยู่ใกล้ๆบนเขานู้นจะลูกใหญ่กว่านี้ หรือว่าเจ้าหิวแล้วหรือถึงมองผลไม้ขนาดนั้น"ชายชรากล่าวถาม"ผลไม้มีลูกใหญ่กว่านี้อีกหรือจ๊ะท่านตา ไหนท่านบอกว่าท่านเป็นนักยุทธพเนจรแล้วทำไมรู้จักสถานที่นี้ดีจังเลยนะท่านตา"เด็กน้อยถามด้วยความสงสัย"เจ้าไม่รู้หรอกหรือที่ที่อยูห่างไกลผู้คนนั่นแหละที่จะมีอะไรดีๆเด็ดๆ และที่ข้าบอกว่านักยุทธพเนจรก็ไม่ได้บอกว่าไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากมายนี่เจ้ายังเด็กมากนัก สถานที่นี้ก็ได้มาบำเพ็ญแล้วไม่ต่ำกว่าห้าครั้งทุกๆสี่ห้าปีข้าก็จะมาหนึ่งครั้ง เพราะข้างบนนั้นมันมีไอวิเศษที่เข้มข้นเหมาะกับการฝึกยุท"ชายชรากล่าวขึ้น "จริงหรือจ๊ะท่านตา แล้วท่านว่าบิดาของข้าจะรู้หรือไม่ว่าข้างบนนี้มีไอวิเศษเข้มข้น"เด็กหลิ
เมื่อชายชราผู้นี้ลืมตาตื่นขึ้นมา ก็เห็นเด็กสาวผู้นี้นอนอยู่ ตอนนี้พลังของเขากลับมาเหมือนเดิมแล้ว พิษที่ได้รับก็หายไปหมดแล้ว สมุนไพรในป่านี้ช่างวิเศษเสียเหลือเกิน ตั้งนานเด็กน้อยผู้นั้นก็ลืมตาตื่นขึ้นมา เขามองชายชรานั่งอยู่ใกล้ๆแล้วก็รู้สึกอับอายที่ตัวเองนั้นเผลอหลับไป"เด็กน้อยเจ้ามีความเป็นมาอย่างไรทำไมถึงมาอยู่ในป่าลึกคนเดียวแบบนี้"ชายชราถามขึ้น หลินซือหยาไม่รู้ว่าจะพูดออกมาได้ไหม หากว่าพูดว่าตัวเองถูกไล่จากหมู่บ้านเพราะว่าไม่มีเส้นลมปราณฝึกวรยุทธก็กลัวว่าชายชราผู้นี้จะรังเกียจตน แต่คิดไปคิดมาหากชายชราผู้นี้จะรังเกียจก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะทุกๆคนในหมู่บ้านก็รู้ว่านางไม่มีเส้นลมปราณฝึกวรยุทธ อาจจะมีคนรู้เพิ่มอีกสักคนคงไม่เป็นไรกะมัง"ท่านตาเจ้าค่ะข้ามันคนไร้ค่า ข้าถูกไล่ออกจากหมู่บ้านเพราะว่าข้าไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแท่งตรวจเส้นลมปราณให้มีสีได้ คนในหมู่บ้านบอกว่าข้าเป็นคนไร้ค่าและไม่อยากให้ข้าอยู่ในหมู่บ้านนั้นเจ้าค่ะ ข้าจึงต้องมาอยู่ในป่าแห่งนี้ และทิศทางที่ข้าจะไปนั้นก็คือภูเขาเจ้าคะข้าต้องขึ้นไปอยู่บนภูเขานั้น"เด็กน้อยหลินซือหยากล่าวขึ้น"โธ่เด็กน้อยแล้วเจ้ามีนามว่าอะไรหรือ แล้ว