“ต๋าฟู่อย่าเสียมารยาท”
“แต่...”
เสียงหญิงวัยสี่สิบปลายๆ เอ่ยสั่งลูกชายตัวโตของตนเอง มือหยาบกร้านยื่นเปะปะเพื่อควานหาร่างของลูกชายตน น้ำเสียงอ่อนโยนแต่ดวงตาเป็นสีขาวขุ่น ชายร่างใหญ่ปล่อยมือจากหญิงสาวแล้วหันไปประคองมารดาของตน หลันหลันเห็นหญิงวัยสี่สิบผู้นี้แล้วก็อ้าปากกว้าง
“ท่านป้าต๋าซู”
หญิงสาวเรียกแล้วกระโดดไปเกาะแขนของหญิงผู้นั้น
“น้ำเสียงนี้...” ป้าต๋าซูผงะไปเล็กน้อยแล้วยื่นมือสั่นเทาลูบไล้โครงหน้าของหญิงสาวอย่างเบามือ “ทะ...ท่าน...ท่าน...”
“ข้าหลันหลันเองท่านป้าต๋าซู” นางเอนศีรษะถูไถกับฝ่ามือที่คุ้นเคย
หญิงต่างวัยชะงักไปเล็กน้อย นิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับ“หลันหลัน”
“ท่านป้าต๋าซูใจดีแอบเอาผลไม้มาให้ข้ากับคุณหนูบ่อยๆ” นางยิ้มกว้าง ฐานะความเป็นอยู่ของกงเสวี่ยหลิงไม่ค่อยดีนัก ไม่มีใครกล้าทำดีกับนาง แต่ละคนล้วนอยากอยู่ห่าง แม้แต่บ่าวรับใช้ที่ถูกส่งมาปรนนิบัติคุณหนูก็ทำแบบขอไปที แต่ยังมีคนจิตใจดีสงสารคุณหนู แอบนำผลไม้หรือขนมใส่ตะกร้ามาวางไว้ที่หน้าประตูหลายครั้ง ด้วยความอยากรู้ นางจึงบินไปซุ่มดูจึงรู้ว่าเป็นป้าต๋าซู นางเป็นหญิงรับใช้ของคุณหนู แต่ปกติจะทำเย็นชาใส่ แต่ยามไม่มีใครเห็นจะแอบนำขนมของกินหรือผลไม้มาให้เสมอ
“ได้ยินว่าท่านป้าขอลาออกไปอยู่กับลูกชาย ไปช่วยเลี้ยงหลานมิใช่หรือ? เหตุใดท่านป้าจึงมาอยู่ที่นี่เล่า”
“เลี้ยงหลาน!” ชายร่างยักษ์ตะคอกเสียงดัง “เมียข้ายังไม่มี จะไปมีหลานที่ไหนให้มารดาของข้าเลี้ยง! ที่มารดาของข้าต้องเป็นเช่นนี้ เพราะ
ถูกพวกคนในวังลงโทษอย่างไม่เป็นธรรม ถึงตกอยู่ในสภาพนี้!”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?” หลันหลันเอ่ยเสียงเศร้า “คนพวกนั้นรังแกท่านป้าใช่ไหม”
ป้าต๋าซูหัวเราะเสียงแหบแห้ง แม้ดวงตามองไม่เห็นแต่ก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเอ่ยด้วยความจริงใจ นางยื่นมือไปบีบมือน้อยๆ ของหญิงสาว นางเข้าใจไปว่ากงเสวี่ยหลิงลอบหนีออกจากวังและใช้ชื่อหลันหลันซึ่งเป็นชื่อของนกน้อยที่มักเกาะบ่าของนางเป็นชื่อปลอม
“ในเมื่อองค์...เอ่อ...คุณหนูออกจากสถานที่แห่งนั้นแล้ว อย่าได้ไปคิดถึงมันอีกเลย ใช้ชีวิตใหม่ให้คุ้มค่าเถิด”
หลันหลันมองใบหน้าของป้าต๋าซู แต่เดิมป้าต๋าซูแม้ไม่ได้สะสวยมากนักแต่ใบหน้าหมดจด ทว่ายามนี้มีรอยแผลเป็นที่หน้าผาก เส้นผมเป็นสีขาวโพลนราวกับหญิงชรา ดวงตาเป็นฝ้าขาวขุ่น ริมฝีปากแห้งเป็นขุย แต่จิตใจของนางนั้นยังคงเมตตาเช่นที่เคยเป็นมา ทำไมนางจะไม่รู้ ‘คนพวกนั้น’ ใบหน้างดงาม ประดับรอยยิ้มแต่สั่งโบยตีผู้อื่นอย่างไร้ความเป็นธรรม แม้แต่คุณหนูของนางยังถูกกลั่นแกล้งสารพัด คงมีคนจับได้ว่าป้าต๋าซูแอบนำของกินมาให้คุณหนู ป้าต๋าซูที่ใจดีจึงตกอยู่ในสภาพนี้
นาง...อยากให้คนพวกนั้นได้พบชะตากรรมเช่นเดียวกับป้าต๋าซู
นาง...อยากให้คนพวกนั้นรู้รสชาติความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่กงเสวี่ยหลิงได้รับ
“หลันหลัน”
“เจ้าค่ะ” นกน้อยตื่นจากภวังค์ มืออบอุ่นบีบมือเรียกสติของนางแล้วส่ายหน้าไปมาราวกับล่วงรู้ว่านางคิดสิ่งใดอยู่
“คุณหนูเคยพูดถึงชีวิตอิสรเสรีมิใช่หรือ? เหตุใดไม่ใช้โอกาสนี้ใช้ชีวิตอย่างที่ฝันเล่า”
“ชีวิตอย่างที่ฝัน?” นางเคยคิดเรื่องแบบนั้นที่ไหน ชีวิตนางมีเรื่องเดียวคือกงเสวี่ยหลิง “ตอนนี้ไม่มีคุณหนูอยู่แล้ว...”
ป้าต๋าซูพยักหน้ารับ เข้าใจไปว่านางตั้งใจละทิ้ง ‘กงเสวี่ยหลิง’
“ถูกแล้วไม่มีคุณหนูแล้ว มีแต่หลันหลันเท่านั้น”
“ข้า...” ยังไม่ทันที่นางจะพูดอะไรต่อ ป้าต๋าซูก็ไอแรงๆ ออกมาหลายครั้ง นางเบือนหน้าไปทางอื่นหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปาก แต่ปรากฏว่ามีลิ่มเลือดออกมาด้วย
“ท่านแม่!” ชายร่างยักษ์รีบเข้าประคองมารดาแล้วหันไปตวาดเซียวเหริน “รีบช่วยท่านแม่ของข้าสิ”
“ต๋าฟู่” ป้าต๋าซูตีแขนลูกชายเบาๆ “อย่าเสียมารยาทกับท่านเซียว พิษในตัวแม่นั้นแม่ย่อมรู้ดี แค่ได้อยู่มาถึงวันนี้ก็นับว่าโชคดีแล้ว”
เซียวเหรินได้แต่นิ่งงัน แม้ว่าเขาจะพบหญิงผู้นี้เร็วกว่านี้ก็ไม่แน่ใจว่าจะรักษานางได้หรือไม่ เขาได้แต่ทอดสายตามองคนที่กำลังจะหมดลมหายใจไปตรงหน้า เป็นเขาที่ปฏิเสธที่รักษาและให้ลูกชายร่างใหญ่ยักษ์พามารดากลับบ้านเพื่อได้ใช้ช่วงชีวิตสุดท้ายอย่างสงบ
“ฟังเสียงนกขับขานในยามเช้า
ปลุกเร้าใจให้ปรารถนาสู่เส้นทางที่ฝันใฝ่
ก้าวเถิดหนา...ก้าวล่วงผ่านความปวดร้าวของหัวใจ
ฟังเสียงธรรมชาติบรรเลงเพลงไพร...ปลอบโยนหัวใจให้รื่นเริงอีกครั้งครา
ปล่อยให้หัวใจรื่นเริงอีกครั้งครา”
ราวกับทุกสิ่งรอบข้างหยุดเคลื่อนไหว เพียงหญิงสาวอ้าปากส่งเสียงขับขานบทกวีเป็นท่วงทำนองอ่อนหวาน มือเล็กจับมือของป้าต๋าซู ดวงตาของนางเป็นประกายสดใส น้ำเสียงของนางทำให้คนเจ็บป่วยที่อยู่รอรับการรักษาจากเซียวเหรินถึงกับเคลิบเคลิ้มลืมความเจ็บปวดของตัวเองไปชั่วขณะ
ป้าต๋าซูส่งยิ้มอ่อนโยนลูบหลังมือของหลันหลันราวกับกล่าวคำอำลา นางยื่นมือไปทางลูกชายตัวโตที่ประคองมารดาไว้ ไม่มีถ้อยคำสั่งเสีย ไร้ความเจ็บปวดใด ดวงตาฝ้าขาวขุ่นนั้นปิดลงพร้อมกับบีบมือลูกชายแน่นและครู่ต่อมามือนั้นก็ค่อยๆ คลายออกและตกลงข้างตัว
“ท่านแม่....” ต๋าฟู่เรียกมารดาที่เหมือนกับหลับไปเท่านั้น “ท่านแม่”
หลันหลันสูดลมหายใจลึก นั่งคุกเข่าแล้วค้อมหลังลงคารวะโขกศีรษะ ป้าต๋าซูที่ใจดีจากนางไปแล้ว คุณหนูกงเสวี่ยหลิงก็จากนางไปเช่นกัน ทำไมคนดีถึงจากไปเร็วเหลือเกิน เหตุใด ‘คนเหล่านั้น’ จึงมีชีวิตสุขสบาย พวกเขาควรลิ้มรสความทุกข์ทรมานเช่นที่คุณหนูเคยได้รับมา
หลัววั่งถูกติงชุ่ยตามตัวให้เข้ามาช่วยเซียวเหรินได้แต่ยืนนิ่งดูเหตุการณ์ทั้งหมด เสียงของนางช่างไพเราะนัก ไม่คิดว่าหญิงสาวไร้เดียงสาผู้นั้นจะมีน้ำเสียงสะกดจิตใจคนเช่นนี้ ร่างเล็กที่คุกเข่าอยู่ค่อยๆ ยืดตัวขึ้น นางโงนเงนไปมาราวกิ่งหลิวต้องลม ติงชุ่ยอุทานตกใจ หลัววั่งคิดจะวิ่งเข้าไปประคอง ทว่ากลับเป็นมือของเซียวเหรินที่ช้อนตัวนางไว้ได้ทันก่อนที่นางจะทรุดลงไปกองกับพื้น
‘หมอเทวดาไร้ใจ’ อุ้มหญิงสาวบอบบางแนบอก พาเดินกลับเข้าเรือนพักอย่างเงียบเชียบ ทิ้งไว้เพียงสายตาที่จับจ้องอย่างประหลาดใจของผู้คน
หรือว่าครั้งนี้จะมีคนมาสั่นคลอนจิตใจของหมอเซียวเหรินแล้ว
หญิงสาวหมุนตัวมองไปรอบกายที่มีเพียงความดำมืด นางไม่ชอบความมืดเช่นนี้เลย หญิงสาวกะพริบตาหลายครั้งเพื่อปรับสายตา นางเห็นแผ่นหลังของหญิงคนหนึ่งจึงรีบวิ่งเข้าไปหา คว้ามือหญิงคนนั้นไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินจากไป
“ท่านป้าต๋าซู” หลันหลันร้องทักด้วยความดีใจที่เห็นคนคุ้นเคย “ท่านป้าจะไปไหนเจ้าคะ”
หญิงต่างวัยส่งรอยยิ้มอ่อนโยน ยื่นมือมาลูบศีรษะนางอย่างเอ็นดู “ไปในที่ที่ควรไป”
“ข้าไปด้วยได้หรือไม่ ข้ากลัวความมืดเหลือเกิน” นางยื้อมือผอมแกร็นไว้แน่น นางกลัวความมืดจริงๆ ปกตินางอยู่กับคุณหนูกงเสวี่ยหลิง แม้ดับเทียนแล้วแต่ยังมีคุณหนูอยู่ใกล้ สำหรับนกน้อยอย่างนางนั้นคุณหนูเป็นดั่งแสงสว่าง
“ยังไม่ถึงเวลาของเจ้า”
“เวลาของข้าหรือ?” นางเอียงคอด้วยท่าทีงุนงง
“เจ้ายังต้องทำความปรารถนาให้เป็นจริงเสียก่อน เจ้าอธิษฐานเช่นนั้นมิใช่หรือ”
หลันหลันเม้มปากแน่นพยักหน้าน้อยๆ นางนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น นางตกหน้าผาพร้อมกับคุณหนู ความหวังของคุณหนูหรือ? ตอนนั้นนางคิดเพียงแค่อยากปกป้องคุณหนูไปให้พ้นจากคนโฉดชั่ว นางอยากเห็นคุณหนูมีความสุข
เอ๋ ? ยังไงนะ หมายความว่านางต้องทำความปรารถนาของคุณหนูให้เป็นจริงหรือ? สมองนกเท่าเม็ดถั่วแดงอย่างนาง คิดอะไรไม่ค่อยทันเสียด้วย
มือหยาบกร้านยื่นมาลูบศีรษะและส่งยิ้มเอ็นดู
หญิงสาวได้แต่ยิ้มน้อยๆ แล้วมองเด็กสองคนที่แย่งกันมองนอกหน้าต่างรถม้าที่โยกไหวไปมา นี่คือเส้นทางที่นางตัดสินใจแล้ว เขาไม่ต้องการนาง นางก็ไม่สามารถทำใจแข็งมองดูเขากับหญิงอื่นได้ ไม่รู้ทำไม ใจนางจึงชอบบุรุษผู้นั้นไปได้ ภายนอกเขาดูเย็นชาแต่เมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพัง เขาใส่ใจนางอย่างยิ่ง แต่ถึงอย่างไร นางก็เป็นเพียงหญิงจากหอนางโลมที่รัชทายาทประทานให้ เมื่อเขาไม่ต้องการก็ส่งนางกลับไป คิดถึงเรื่องนี้หัวใจก็เจ็บราวถูกมีดเฉือดเนื้อหัวใจเป็นริ้วๆ“นั้นอะไร” เด็กหญิงเอ่ยถาม“ม้ายังไงเล่า” เด็กชายตอบ “มีคนขี่ม้ามาทางนี้”“คงเป็นทหารนำสาสน์ด่วนผ่านมาทางนี้” ผู้เป็นแม่อธิบาย“ข้าจะเป็นทหาร!” เด็กชายพูดขึ้น“ข้าด้วย” เด็กหญิงพูดบ้าง“เจ้าเป็นผู้หญิง เป็นทหารไม่ได้”“ข้าจะเป็นทหาร ขี่ม้าเหมือนคนผู้นั้น”“อ๋า! ใกล้มาแล้ว”จู่ๆ รถม้าก็หยุดกะทันหัน ผู้คนในรถม้าไม่ทันตั้งตัวล้มไปคนละทาง หลิวเจียวเหมยยื่นมือไปรับเด็กหญิงไว้ได้ทันก่อนที่จะล้มกระแทกพื้นรถ“เกิดอะไรขึ้น!” หลิวเจียวเหมยหัวเสีย แม้จะเป็นคนของทางการแต่ทำเช่นนี้ไม่ถูก หากมีคนบาดเจ็บขึ้นมาจะทำอย่างไร หญิงสาวหงุดหงิดแล้วยื่นหน้าออกไปมองเป็นจังหว
หยางเฟยหลิงก้าวพรวดพราดเข้าไปหาน้องชายที่นี่นั่งอ่านตำราอยู่ สีหน้าของหยางไห่เทาไม่สะทกสะท้านแม้ถูกกระชากคอเสื้อจนตัวลอยขึ้นจากเก้าอี้ สาวใช้ตกใจส่งเสียงหวีดร้องขึ้นมาทันที “พี่ใหญ่” หยางไห่เทาคลี่ยิ้มไม่ถือสาที่ถูกพี่ชายทำเช่นนี้ “หากเจ้ายังเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ ก็บอกมาว่าซ่อนหลิวเจียวเหมยไว้ที่ใด!” “แค่สตรีนางหนึ่งเป็นแค่หญิงรับใช้ พี่ใหญ่จะต้องสนใจไปไย” “นางเป็นคนของข้า!” “ข้ารู้” หยางไห่เทายังคงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาเตรียมใจมาเจอเรื่องเช่นนี้แล้วจึงไม่ได้หวาดกลัวสิ่งใด เขายกมือขึ้นแตะหลังมือพี่ใหญ่เป็นเชิงเตือนให้ปล่อยมือ แม่ทัพหนุ่มรู้ดีว่าทำไม่ถูกนัก แต่เขาระงับใจไว้ไม่อยู่ ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกก่อนปล่อยมือจากเสื้อของน้องชาย หยางไห่เทาพรูลมหายใจเบาๆ พลางจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่แล้วผายมือเชิญให้พี่ใหญ่นั่งลงก่อน เขารินน้ำชาด้วยตนเองแล้วส่งให้ “พี่ใหญ่ไม่ต้องการนางแล้ว จะรั้งนางไว้เพื่อสิ่งใด มิสู้ปล่อยให้นางได้ใช้ชีวิตของตนมิดีกว่าหรือ?” “ผู้ใดบอกว่าข้าไม่ต้องการนาง” เขา
บ้านเมืองสงบสุขไปหรือไร ไฉนทุกคนถึงได้เป็นห่วงเป็นไยว่าเขายังไม่ได้แต่งงาน หยางเฟยหลิงหงุดหงิดในใจทว่าไม่สามารถแสดงสีหน้าหรืออารมณ์ออกมาได้ เขายังคงนั่งจิบน้ำชาอย่างไร้ความรู้สึกต่อหน้ารัชทายาทฝูไหลที่นัดหมายพบหน้าเขาถึงที่จวน โดยแจ้งว่ามีใบชาชั้นเลิศมอบให้ คนอย่างเขาดื่มสุรามากกว่าน้ำชาด้วยซ้ำ เหตุใดจึงมอบใบชาให้เขากันเล่า และสุดท้ายก็สอบถามเขาเรื่องตบแต่งภรรยา “แม่ทัพหยางไม่ถูกใจน้องสาวของข้ารึ หรือเจ้าชอบองค์หญิงคนไหน ข้าสามารถพูดกับเสด็จพ่อได้” “ฐานะกระหม่อมไม่คู่ควร โปรดเลิกคิดเรื่องเหล่านี้เถิด” ฝูไหลไม่โกรธแต่กลับหัวเราะออกมา “หรือแม่ทัพหยางมีหญิงในดวงใจจึงไม่พึ่งใจพี่สาวน้องสาวของข้า” หญิงในดวงใจ เขาไม่เคยคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ตั้งแต่รับหลิวเจียวเหมยไว้ข้างกาย เขาก็ไม่ต้องสตรีนางใดอีก เขาชอบเวลาที่มีนางอยู่ใกล้ๆ นางเหมือนสายน้ำไหลเย็นที่ไร้เสียง แต่รับรู้ได้ว่ามีตัวตนในขณะเดียวกันก็ซุกซ่อนอีกด้านที่ไม่เปิดเผยให้ผู้อื่นได้สัมผัส ท่าทางแง่งอนหรือดื้อรั้น ภายใต้ท่าทีอ่อนน้อมเช่นนางจะหัวแข็งไ
ปลายจมูกโด่งกดซุกไซ้ที่ซอกคอขาวผ่อง หญิงสาวบิดตัวไปมาพลางยกมือขึ้นปัดป้อง ทว่าสองมือกลับถูกกดลงข้างตัวทำให้คนที่หลับใหลผวาตื่นจ้องมองใบหน้าผู้บุกรุกยามวิกาล “ท่าน...ท่านแม่ทัพ...” “หรือเจ้าคิดว่าเป็นผู้ใด” น้ำเสียงหงุดหงิดเคล้ากับกลิ่นสุรารสแรงทำให้หลิวเจียวเหมยตัวเกร็งและไม่กล้าขยับตัวส่งเดชอีก ท่าทางตื่นกลัวของนางทำให้หยางเฟยหลิงหงุดหงิด เหตุใดนางจึงดูกลัวเขานักนะ ทั้งที่ร่วมหลับนอนกันมาหลายครั้งหลายคราแล้ว“ตอบสิ”“....” หญิงสาวปรับสายตาครู่หนึ่ง ยามนี้ร่างใหญ่โตของเขาคร่อมร่างนางอยู่ ไอร้อนจากตัวบุรุษโอบล้อมราวย้ำเตือนว่านางไม่อาจหลบหนีไปได้“ข้า...ข้าไม่ได้รอผู้ใดเจ้าค่ะ” ‘ข้ามีสิทธิ์รอหรือ? ข้าเป็นเพียงสาวใช้อุ่นเตียงท่านแม่ทัพ จะมีสิทธิ์ทำสิ่งใดได้’คล้ายไม่พอใจกับคำตอบที่ได้ยิน ริมฝีปากเจือรสสุราทาบทับลงมาจูบกลีบปากดุจกลีบกุหลาบ เขาขบเม้มริมฝีปากนางอย่างแรงจนหญิงสาวนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ ร่างกายดิ้นรนต่อต้านแต่ไม่อาจสู้แรงอีกฝ่ายและแน่นอนว่าเขาไม่ได้ออกแรงเลยสักนิด ยิ่งนางต่อต้านเขายิ่งอยากเอาชนะ มือที่ว่างอีกข้างกระชากเสื้อของนางเปิดอ
คนเป็นน้องอ้าปากจะพูดแต่หญิงสาวยกน้ำชาเข้ามาก่อน แม้นางสวมชุดสาวใช้แต่กิริยามารยาทอ่อนช้อยงดงามสมกับเป็นคุณหนูในตระกูลเก่าแก่ หากไม่เพราะเลือกข้างผิดคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ หญิงสาวรินน้ำชาเสร็จก็ค่อยๆ ก้าวออกไปอย่างเงียบเชียบโดยไม่ต้องให้ใครเอ่ยปากขับไล่ แม่ทัพหยางมองร่างบอบบางเดินออกไปแล้วจึงย้ายสายตามาจ้องมองน้องชาย “พี่ใหญ่คงรู้แล้วว่าข้าป่วยทางใจ หมอที่ใดก็เยียวยามิได้” หยางไห่เทายกน้ำชาขึ้นจิบเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “ไม่อาจกล่าวโทษพี่ใหญ่ที่ทำให้ครอบครัวเราจากเดิมที่เป็นเพียงคนยากไร้ได้กลับกลายเป็นคนตระกูลสูงส่งมีผู้คนนับหน้าถือตา แต่สิ่งเหล่านั้นสร้างความกดดันให้ข้าไม่น้อย ไม่ว่าจะทำสิ่งใดมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับพี่ใหญ่ผู้เกรียงไกรในสนามรบ” “เหลวไหล ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้านะ” หยางไห่เทาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนคลี่ยิ้มเหนื่อยล้า“พวกเรารู้ดีว่าพี่ใหญ่ทำเพื่อครอบครัวมากเพียงใด แต่พวกเราก็หนักใจที่ต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงมากมายที่มาพร้อมฐานะที่สูงขึ้น” “ข้าไม่รู้ว่า...” “เรื่องนี้พี่ใหญ่ไม่ผิด ท่านเองก็รู้ว่าในวังหลวงมี
“ท่านแม่พูดว่า...น้องเล็กจะกลับมาแล้วหรือขอรับ” “ใช่” หากหยางไห่เทากลับมา...น้องชายคงอยากพบหลิวเจียวเหมยเป็นแน่ แม้หลิวเจียวเหมยเคยพูดกับเขาว่านับหยางไห่เทาเป็นสหาย แต่น้องชายของเขาเล่าคิดเช่นไรกับสตรีผู้นี้? อาหารเลิศรสกลายเป็นฝืนคอไปทันที หลังจากกินอาหารเสร็จ พ่อลูกนั่งจิบชาอยู่ครู่หนึ่ง หยางเฟยหลิงจึงขอตัวกลับ ระหว่างที่เดินออกมานั้น เด็กน้อยวิ่งถลาเข้ามาทางเขาอย่างไม่ตั้งใจ “ตงตงระหว่างชนท่านลุง” น้องชายคนรองร้องห้ามแต่ไม่ทันเสียแล้ว เด็กน้อยวัยสิบขวบวิ่งชนเข้าไปเต็มที แต่หยางเฟยหลิงคว้าร่างเล็กไว้ได้ทันก่อนจะชนกับเขาเข้า ซึ่งถ้าอาจทำให้เด็กน้อยเจ็บตัวได้ เด็กชายตัวจ้อยแหงนหน้ามองบุรุษร่างสูงใหญ่ด้วยความไม่คุ้นเคย ดวงตากลมกะพริบตาปริบๆ แล้วหันไปทางบิดาที่เดินตามมา “ท่านลุง?” “นี่ท่านลุงของเจ้า” น้องชายคนรองหัวเราะเบาๆ แล้วอุ้มเจ้าจอมซนเอาไว้ “พี่ใหญ่ไม่เป็นไรกระมัง” “ข้าจะเป็นอะไรได้” เขามองเด็กน้อยแล้วยิ้ม “พี่ใหญ่ก็กลับมาบ้านบ่อยๆ ลูกข้าจะได้จำหน้าท่านลุงได้...หรือไม