“ มิก นายจะพาฉันไปไหนเนี่ย ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ ปล่อยสิ ” ภัสสรสะบัดข้อมือของตัวเองที่ตอนนี้โดนชายหนุ่มฉุดกระชาก
“ เข้าไปนั่งในรถเลยแล้วอย่าดื้อ ” เขาสั่งเมื่อดันร่างบอบบางเข้าไปข้างในตัวรถได้สำเร็จแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งอ้อมไปฝั่งคนขับ เปิดประตูรถออกแล้วก้าวขึ้นไปนั่ง วันนี้เขาขอลาหยุดหนึ่งวัน ทั้ง ๆ ที่ตลอดระยะเวลาตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์เขาไม่เคยแม้แต่จะลาหยุดสักวัน
“ รัดเข็มขัดด้วยสิ ” เขาออกคำสั่งแต่คุณหนูจอมพยศกลับกอดอกไม่สนใจคำพูดของชายหนุ่มสักนิด
รณภพได้แต่ส่ายหัวเบา ๆ กับการเอาแต่ใจของอีกฝ่าย จนเขาต้องเอี้ยวตัวเองมาอีกฝั่งเพื่อดึงสายเข็มขัดของหญิงสาว ภัสสรสัมผัสได้ถึงแรงลมจากการเคลื่อนไหวของเขาที่อยู่ตรงหน้าของเธอ กลิ่นน้ำหอมประจำตัวของเขาที่กระทบเข้ากับจมูกของเธอมันทำให้เธอใจเต้นระส่ำ รณภพเองก็ชะงักมองใบหน้าหญิงสาวเบื้องหน้าเผลอหลุบสายตาลงมองริมฝีปากบางนั้น ลำคอแห้งผากขึ้นมาเอาเสียดื้อ ๆ ก่อนจะรีบจัดการกับเข็มขัดนิรภัยต่อ ใจเขาเต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้งที่ได้อยู่ใกล้กับใบหน้าของเธอ ร่างสูงโปร่งผละออกจากร่างบอบบางเอนหลังพิงเบาะรถ จับพวงมาลัยรถตั้งสติอีกครั้งก่อนจะค่อย ๆ ขับเคลื่อนออกไป
‘ วาว ’ เสียงที่ลอยเข้ากระทบประสาทสัมผัสของเธอ เสียงที่เธอไม่ได้ยินมาหลายวัน ร่างบางเด้งตัวจากการเอนกายพิงเบาะรถ มองซ้ายมองขวาหาต้นตอของเสียงแต่ก็ไม่พบ
รณภพที่ขับรถมองแต่ถนน ก็ตกใจกับพฤติกรรมที่มองซ้ายมองขวาของหญิงสาว เธอทำคล้ายกับว่ามองหาอะไรสักอย่าง
“ มีอะไรรึเปล่า ” เขาถามเสียงเข้มในขณะที่สายตายังคงมองไปด้านหน้าของถนน ภัสสรเอนกายพิงเบาะรถอีกครั้งเมื่อไม่เจอคนที่เธอเห็นเขาได้เพียงคนเดียว
“ ไม่มีอะไรหรอก ” คิ้วเรียงตัวสวยที่ขมวดขัดแย้งกับคำตอบที่ได้ยินอย่างสิ้นเชิง รณภพชำเลืองมองหญิงสาวที่นั่งด้านข้างเป็นระยะ
บนท้องถนนที่ตอนนี้ดูท่าการจราจรไม่อำนวยเลยจริง ๆ รถราขวักไขว่ ไม่มีการพูดคุยใด ๆ ระหว่างทาง
คนหนึ่งกำลังหงุดหงิดที่โดนพาลากไปโน่นมานี่โดยที่ตัวเองไม่เต็มใจและไม่อยากมา อีกคนกำลังคิดเรื่องเกี่ยวกับคนที่นั่งอยู่ข้างกาย เมื่อช่วงเช้ามืดถ้าเขาไม่รู้สึกหิวน้ำแล้วเดินออกมาหยิบน้ำละก็ ไม่รู้ว่าร่างบางนี้จะเดินไปทิศทางไหน
“ นี่นายจะบอกได้หรือยังว่าจะพาฉันไปไหน ”
“ หึ คิดว่าฉันจะปล่อยให้เธอ กิน ๆ นอน ๆ ใช้ฉันให้ทำโน่นทำนี่ให้อย่างเดียวหรือไง ” เขากระตุกยิ้มมุมปากพูดยั่วโมโหหญิงสาวข้าง ๆ
“ ฉันถามนายดี ๆ นะ ช่วยตอบดี ๆ หน่อยไม่ได้หรือไง ”
“ พาไปเรียนหนังสือ ”
“ ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ ที่นายจะมาบังคับให้ไปโน่นมานี่อ่ะ ” เธอกอดอกทำหน้ากระเง้ากระงอดไม่พอใจเขาอย่างเห็นได้ชัด
“ ก็เพราะไม่ใช่เด็กแล้วนี่ไงถึงต้องไป ตามองไม่เห็นแต่มือยังสัมผัสอะไรได้อีกตั้งเยอะ ”
“ สัมผัสอะไร? ”
“ แล้วอยากสัมผัสอะไรล่ะ ” ร่างสูงโปร่งยิ้มอย่างมีเลศนัย เสียดายที่รอยยิ้มนี้ ร่างบางไม่มีโอกาสได้เห็น เขาพูดสองแง่สองง่ามให้หญิงสาวด้านข้างคิดไปไกลเอง
“ อี๋ คนผีทะเล เดี๋ยวนี้นายเป็นคนแบบนี้หรอ เรียนหมอจนเพี้ยนไปแล้วใช่ไหมห๊ะ ”
“ จะลองสัมผัสก็ได้นะ ” รณภพแกล้งพูดเสียงแหบพร่าชำเลืองมองสาวข้างกายด้วยรอยยิ้ม ไม่พูดเปล่าแต่คว้ามือหญิงสาวแกล้งให้ไปจับหน้าขาของเขาจนเจ้าหล่อนต้องรีบดึงมือออก
“ อี๋ ”
“ ฮ่า ๆ คิดอะไรยัยบ๊อง! ฉันหมายถึงใช้มืออ่านหนังสือต่างหาก รู้จักไหมอักษรเบรลล์น่ะ ” เขาหันมามองภัสสรที่ดูท่าว่าเจ้าตัวจะคิดอะไรเตลิดไปไกลพอตัว
รถของรณภพวิ่งไปด้วยความเร็วคงที่ แต่แล้วอยู่ ๆ รถคันข้างหน้าก็ขับกินเลนมายังฝั่งของเขา
“ ปิ้นๆๆ บ้าเอ้ย! ” เสียงแตรรถที่ลากยาวพร้อมกับหักพวงมาลัยออกอย่างกะทันหัน โชคดีที่ไม่มีรถตามหลังไม่อย่างนั้นคงได้เกิดอุบัติเหตุแน่ รถคันงามกลับเข้ามาบนถนนอย่างเดิมอีกครั้ง
“ เธอเป็นอะไรไหม ” รณภพถามหญิงสาวที่นั่งด้านข้างแต่สายตายังคงมองตรงไปยังถนนเบื้องหน้า เมื่อไม่ได้คำตอบจึงทำให้ใบหน้าหล่อเหลาหันกลับมามอง สิ่งที่เขาเห็นยิ่งทำให้เขาตกใจเลี้ยวรถหักหลบเข้าข้างทาง ภัสสรนั่งกำมือ สั่น เหงื่อผุดขึ้นตามใบหน้าขาวเนียนนั่น ทำให้รณภพต้องจอดรถเปิดประตูมายังฝั่งที่นั่งของเธอ
เสียงแตรรถที่ลากยาวนั่น ภาพอุบัติเหตุในวันนั้นฉายชัดกลับเข้ามาในความรู้สึกของเธอ เหตุการณ์เมื่อครู่ฉุดเธอให้กลับเข้าไปในห้วงความรู้สึกการสูญเสีย
“ วาว วาว ฟังฉัน มันไม่มีอะไร ” รณภพพยายามเรียกสติของคนที่นั่งเหม่ออยู่ตอนนี้ เขารู้ดีว่าหญิงสาวเป็นอะไร
“ วาว ตั้งสติหน่อยมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใจเย็น ๆ หายใจเข้าลึก ๆ ” รณภพกุมมือของภัสสรบีบแน่น ๆ ให้เธอวางใจ แต่ดูเหมือนว่าเธอยังไม่กลับมาในโลกความเป็นจริง
ทีปกรที่ตอนนี้ยืนมองหญิงสาวที่นั่งกำมือตัวเองเขายืนอยู่ด้านข้างของตัวรถ เขาเรียกชื่อของเธอตั้งแต่รถเคลื่อนตัวออกจากบ้านแต่ไม่รู้ว่าเธอจะได้ยินเสียงของเขาไหม ทีปกรพยายามรวบรวมสมาธิและพลังเท่าที่เขามี สื่อสัมผัสไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่ในรถตอนนี้
‘ วาว คุณได้ยินเสียงของผมไหม ’
ภัสสรที่กำลังอยู่ในห้วงความรู้สึกครั้งที่เกิดอุบัติเหตุเธอได้ยินเสียงของใครบางคนที่เรียกชื่อของเธอซึ่งเธอจำเสียงนี้ได้ เพราะมันเป็นเสียงของทีปกร
‘ ถ้าได้ยินเสียงของผม คุณดึงตัวเองกลับมานะ ผมอยู่ตรงนี้กับคุณเสมอ ’ เสียงเรียกของทีปกรและคำพูดของเขาทำให้ภัสสรเริ่มกลับมามีสติอีกครั้งสายตามองหาต้นเสียง แต่ก็ไม่เจอ
ทีปกรสามารถสื่อสารกับหญิงสาวได้ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาสื่อสารกับเธอไม่ได้หากยังมีผู้ชายอีกคนที่ยังอยู่ตรงนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะนาทีแห่งความเป็นความตายทำให้พลังสื่อสารของเขาและเธอสื่อถึงกัน
รณภพคว้าตัวหญิงสาวเข้ามากอดเขาโล่งใจที่อย่างน้อย ๆ เธอก็ไม่ได้ช็อคจนหมดสติ สภาวะทางจิตใจของหญิงสาวตอนที่เกิดอุบัติเหตุในคราวก่อนมันส่งผลให้เธอต้องมีปฏิกิริยาเช่นนี้ อาการของโรคซึมเศร้า
“ มิก ” หญิงสาวเริ่มกลับมามีสติอีกครั้งชั่วขณะที่เธอสัมผัสได้ถึงทีปกร นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่ แล้วทำไมตอนนี้เธอกลับมองไม่เห็นเขา
“ ไม่เป็นอะไรนะ ” เขาพูดน้ำเสียงอ่อนโยน
“ อืม ” เธอพยักหน้ารับเบา ๆ รณภพถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะวกกลับไปฝั่งคนขับ เพื่อนำพาเธอไปยังจุดหมายปลายทางที่เขาตั้งใจตั้งแต่แรก
รถคันงามแล่นตรงไปยังโรงเรียนสอนคนตาบอดที่เขาโทรมาติดต่อไว้ตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว รณภพเดินเข้าไปติดต่อประสานงานโดยมีหญิงสาวเดินขนาบด้านข้างไปด้วย ความหล่อและความสวยที่สะดุดตากับเจ้าหน้าที่ที่ทำงานอยู่ด้านในทำให้เป็นจุดสนใจได้มากเลยทีเดียว
“ สวัสดีครับ ผมรณภพที่ติดต่อเรื่องเอาไว้ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว ”
“ อ่อ สวัสดีค่ะ ”
“ ที่ติดต่อเรื่องการศึกษาเอาไว้ใช่ไหมคะ ”
“ ใช่ ครับ ”
“ ถ้าอย่างนั้น เชิญทางด้านนี้ก่อนค่ะ ” ร่างสูงเพรียวของหญิงสาววัยกลางคนเดินนำเขาและภัสสรโดยที่เธอจับชายเสื้อของเขา ร่างสูงโปร่งกลับจับมือของเธอออกแล้วเปลี่ยนมาจับมือกับเขาแทน กลายเป็นว่าเขาจูงมือของเธอ ร่างบางเผลอยิ้มกว้างถ้าใครได้เห็นคนเอ็นดูไม่น้อย รวมทั้งตัวของรณภพด้วยเช่นกัน เมื่อถึงห้องรับรอง รณภพก็ดันภัสสรให้นั่งลง โดยมีเขานั่งอยู่ข้าง ๆ
“ ไม่ทราบว่าคุณภัสสรสนใจด้านไหนเป็นพิเศษไหมคะ ”
“ ไม่ค่ะ ” เธอตอบกลับทันควัน
“ อักษรเบรลล์ครับ ” รณภพตอบแทนหญิงสาวแทน ดูท่าว่าอารมณ์เจ้าตัวตอนนี้คงไม่ต้องการทำอะไรเป็นแน่
“ ฉันไม่เรียน ”
“ ไหน ๆ ก็มาแล้วลองดูสักหน่อยจะเป็นอะไรไป ”
“ อยากเรียนก็เรียนไปคนเดียวสิ ” การเถียงกันของหนุ่มสาวดังขึ้นทำให้คนที่ดูแลประสานงานได้แต่อมยิ้ม
“ ถ้ายังไง คุณภัสสรลองดูสักวันก่อนก็ได้นะคะ มีคนที่ต้องการเรียนทักษะด้านการสัมผัสนี้อีกหลายคนเลย วันนี้ก็มีนักเรียนที่เข้ามาใหม่เหมือนกัน ”
“ ที่นี่มีนักเรียนเยอะไหมครับ ”
“ ถ้าตอนนี้ก็ประมาณหนึ่งร้อยกว่าคนค่ะ คุณภัสสรไม่ต้องกังวลนะคะ ที่นี่คุณจะได้รู้จักเพื่อนใหม่มากยิ่งขึ้น เชื่อดิฉันนะคะ ลองดูสักครั้ง ”
ภัสสรได้แต่ถอนหายใจ ทำไมเขาชอบบังคับเธอให้ทำโน่นทำนี่นักนะ แล้วสถานการณ์ก็ชอบบังคับให้เธอปฏิเสธไม่ได้อีก เขารู้ว่าเธอจะแผลงฤทธิ์ใส่คนที่เธอสนิทเท่านั้น ถ้าอยู่ในสังคมเธอจะไม่ทำตัวแย่ ๆ ให้ใครมาด่าเธอได้
ร้ายนักนะ!
สีหน้าคิ้วขมวดของหญิงสาวทำให้รณภพยิ้มอย่างเป็นต่อที่เธอไม่มีสิทธิ์ต่อรองอะไรกับเขา
“ ครืด ๆ รณภพพูดครับ อ่อ ใช่ครับ หลังนั้นแหละครับ ถ้ายังไงผมรบกวน ช่วยเอาเข้าไปไว้ด้านในเลยนะครับ ครับ ขอบคุณมากครับ ” รณภพบอกกับคนปลายสายก็เขาสั่งซื้อเครื่องดนตรีราคาแพงหูฉี่ให้เอาไปส่งที่บ้านสวนน่ะสิ
“ ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นว่าตกลงเรียนดูสักวันนะคะ ”
“ เอ่อ คือ…..”
“ ครับ ” และแน่นอนว่าเธอไม่ทันได้เอ่ยปากอะไรเพราะเขาตอบตกลงไปแล้วเรียบร้อย
“ นี่นาย! ” ภัสสรทำเสียงเขียวใส่ชายหนุ่มข้างกายแต่เจ้าตัวกลับไม่รู้ร้อนรู้หนาว
อุปกรณ์อักษรเบรลล์หนังสือตั้งแต่เริ่มอ่านถูกวางลงตรงหน้า ของเขาและเธอ รณภพหยิบสมุดขึ้นมาพลิกดูทั้งหน้าทั้งหลัง เปิดดูด้านในใช้มือสัมผัส เขาเองก็ต้องค่อย ๆ เรียนรู้อักษรพวกนี้เหมือนกันสินะ เขาใช้มือลูบอักษรในหนังสือแล้วก็มองโปสเตอร์ที่อธิบายเกี่ยวกับอักษรเบรลล์แต่ละตัว
“ ลองสัมผัสดูหน่อยสิ จะได้รู้ว่ามันเป็นยังไง ”
“ ไม่! ” คำเดียวรู้เรื่อง พยศอย่างที่เขาคิดจริง ๆ คนอย่างคุณหนูภัสสรไม่เห็นจะยอมเขาดี ๆ เลยสักครั้ง แต่เรื่องอะไรจะยอมให้เธอแข็งข้อใส่เขาล่ะ มือแกร่ เอื้อมไปคว้ามือบางของเจ้าหล่อนที่วางอยู่ตรงหน้าตัก และแน่นอนว่าเธอขัดขืนที่จะดึงมือออกแต่มือแกร่งของเขาเหนียวยิ่งกว่า
“ ถ้าวันนี้อ่านตัวหนังสือไม่ได้ก็ไม่ต้องกลับ! ที่นี่เขามีอยู่แบบประจำด้วยนะ หรือเธอสนใจ ” เขาพูดน้ำเสียงจริงจัง เมื่อเขาขู่แบบนี้ร่างบางที่ขัดขืนในทีแรกก็ได้แต่ขมวดคิ้วกัดฟันอย่างไม่พอใจ เขาดึงมือเธอไปสัมผัสกับอักษรในหนังสือที่เขาถือ กลิ่นน้ำหอมของเขาที่ลอยเข้าจมูกมันทำให้เธอรู้ว่าเขากับเธออยู่ใกล้กันแค่ไหน
“ ตัวนี้ ก. ไก่ ตัวนี้ ข. ไข่ ” เขาสัมผัสที่มือของเธอค่อย ๆ ไล้มือไปตามตัวอักษรทีละตัว จิตใจเธอแทบจะไม่ได้อยู่กับอักษรตรงหน้านักเพราะชายหนุ่มข้างกาย เขาจะรู้ไหมว่าเธอใจเต้นขนาดไหน เธออาจจะลืมไปว่าอาการของเธอมักแสดงออกบนใบหน้าเสมอ
“ หยุดคิดอะไรที่มันไกลกว่านั้นได้แล้ว ” เสียงกระซิบแหบพร่าที่ข้างหูทำให้เธอต้องหันไปหาเสียงของเขา ปลายจมูกของเธอปัดเข้ากับจมูกรณภพพอดี ซึ่งเขาเองหันใบหน้าหล่อเหลานั้นมองหญิงสาวอยู่ก่อนแล้ว ภัสสรรีบสะบัดหน้ากลับทางเดิม แล้วแก้ต่างให้ตัวเองพัลวัน
“ ฉันคิดอะไรที่ไหน นายนั่นแหละที่คิดไปเองคนเดียว ”
“ กรี๊ด ช่วยด้วยค่ะ ”
“ ครืด ” เสียงร้องที่ดังขึ้นจากห้องข้าง ๆ ทำให้รณภพดันตัวเองออกจากเก้าอี้รีบตรงไปยังปลายเสียงทันที เด็กคนหนึ่งที่กำลังชักจนตัวเกร็งนอนอยู่ที่พื้น มีอาการเกร็ง มือจีบเข้าหากัน หายใจถี่เร็วขึ้น สายตามองหาของที่พอจะช่วยได้ เขาคว้าถุงกระดาษที่ใส่ขนมไว้เทของที่ใส่ไว้ออกจนหมด
“ นี่คุณจะทำอะไร ” คนดูแลเด็กอีกคนหนึ่งรีบมาคว้าที่มือเขาเมื่อเห็นว่าเขานำถุงกระดาษมาครอบปากและจมูกของเด็กน้อยอย่างรวดเร็ว
“ เรียกรถพยาบาลทีครับ น้องเป็น Hyperventilation Syndrome ” พฤติกรรมของชายหนุ่มทำให้พี่เลี้ยงที่คอยดูแลฉงนใจแต่ก็รีบโทรเรียกรถพยาบาลทันทีระยะเวลาผ่านไปชั่วครู่เด็กน้อยเริ่มมีอาการหายใจดีขึ้น แม้ว่าปัจจุบันจะไม่ค่อยใช้วิธีนี้แล้วก็ตามแต่อย่างน้อยวิธีนี้ก็ช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้อยู่
“ อะไรนะคะ? ”
“ อ่อ โรคหายใจเกินน่ะครับ เกิดจากภาวะความเครียดหรือความวิตกกังวล ”
“ ขอบคุณมากนะคะ ”
“ ผมว่าพาน้องเขาไปเช็คที่โรงพยาบาลอีกทีเถอะครับเพื่อให้แน่ใจ ” รณภพนั่งคุกเข่ามองเด็กน้อยที่ค่อย ๆ ดันตัวเองลุกขึ้นนั่งโดยมีครูพี่เลี้ยงช่วยพยุง
“ ทำไมคุณถึงได้…. ”
“ ผมเป็นนักศึกษาแพทย์ครับอาการเบื้องต้นพวกนี้พอที่จะทราบบ้าง ” เขาไขข้อข้องใจให้กับหญิงสาวตรงหน้า ภัสสรที่ค่อยๆ คลำทางเดินตามเสียงมาได้ยินทุกอย่างที่เขาพูด นาทีแห่งความเป็นความตายมันเป็นอย่างไรเธอเข้าใจลึกซึ้งดี ภัสสรไม่พูดอะไรนอกจากค่อยๆ เดินพาตัวเองกลับไปยังที่นั่งของตน
“ ให้ผมสอนไหม ” ทีปกรโผล่มานั่งเท้าคางตรงหน้าเธอจนเธอตั้งตัวไม่ติด
“ นี่นายหายไปไหนมา ฉันนึกว่านายไปผุดไปเกิดซะแล้วนะ ” หญิงสาวบ่นอุบอิบ เพราะหลายวันตั้งแต่ย้ายไปที่บ้านสวนเธอก็ไม่เคยเห็นเขาเลย
“ คือผม… ”
“ ยอมอ่านหนังสือแล้วหรอ ” รณภพเอ่ยปากถามเมื่อเห็นหญิงสาวหยิบหนังสืออักษรเบรลล์ขึ้นมาสัมผัส เขาเดินกลับเข้ามานั่งข้างภัสสรเช่นเดิมทำให้ร่างของทีปกรหายไป ภัสสรหันซ้ายมองขวานึกตำหนิคนที่โผล่มาแล้วหายไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
วันทั้งวันรณภพนั่งมองหญิงสาวที่กำลังขะมักเขม้นในการสัมผัสอักษร เขาเองก็เรียนไปพร้อม ๆ กับหญิงสาวไปในตัว เห็นทีนอกจากตำราแพทย์ที่ต้องอ่านในทุกวันแล้ว เขาคงต้องมีหนังสือเพิ่มอีกเล่มเป็นแน่ เขานั่งมองหน้าหญิงสาวด้วยความหลากหลายบางสิ่งบางอย่างที่เริ่มชัดเจนขึ้นมาแต่ยังไม่มั่นใจว่าใช่ความรู้สึกนั้นหรือเปล่า
“ เรียนเสร็จแล้วไปโรงพยาบาลนะ ฉันมีธุระต้องไปทำนิดหน่อย ”
“ ..... ” ไม่มีเสียงตอบรับจากหญิงสาวมีเพียงคิ้วเรียวสวยที่ขมวดเป็นปมส่งมาให้เขาแทน เขาเลยหมุนปากกาในมือที่เขาหยิบขึ้นมาหมุนเล่นไปเขี่ยที่คิ้วเรียวงามของหญิงสาวตรงหน้า
“ ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนี้เลย อ่านหนังสือของเธอให้ได้แล้วกัน เดี๋ยวฉันมา ” เขาพูดเสียงเรียบแล้วลุกจากเก้าอี้
“ แล้วนายจะไปไหน ”
“ ไปหาของอร่อย ๆ มาให้เธอกินน่ะสิ ”
จริงด้วยสิตั้งแต่ที่ออกจากบ้านตั้งแต่เช้านี่เวลาก็เลยล่วงมาบ่ายแล้ว
เมื่อรณภพก้าวออกจากห้องไป ทีปกรก็ค่อย ๆ ปรากฏร่างกายขึ้นทำให้ภัสสรตกใจ
“ ทำไมนายชอบทำแบบนี้ นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป ”
“ จริง ๆ ผมอยู่ตรงนี้ตลอดนะ แต่ทำไมคุณถึงมองไม่เห็นผมล่ะ ”
“ นายอยู่ตลอดเวลาเลยจริง ๆ หรอ ”
“ อืม ว่าแต่คุณอ่านอักษรเบรลล์พวกนี้ไปถึงไหนแล้ว ” ทีปกรเก็บงำความรู้สึกนี้ไว้ในใจยังไงเขาก็ต้องหาคำตอบของเรื่องนี้ให้ได้
“ คนบ้า บังคับให้ฉันมาเรียนแล้วแบบนี้ใครมันจะไปจำได้ละ อักษรอะไรก็ไม่รู้ ” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว เธออารมณ์หงุดหงิดไม่ชอบให้ใครต้องมาออกคำสั่งกับตัวเอง พลันนึกย้อนไปเวลาที่ตัวเองสั่งให้คนอื่นทำโน่น นี่ นั่นอย่างที่เธอต้องการล่ะ เขาเหล่านั้นก็คงไม่ชอบใจเหมือนเธอที่เป็นอย่างตอนนี้
“ ไม่เอาน่า ไหนขอผมดูหน่อย ” ทีปกรชะโงกหน้ามองหนังสือในมือของหญิงสาวอย่างให้ความสนใจ เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอจึงหัวเสียนัก
“ วาว คุณอย่าคิดมากสิ ก็แค่สัมผัสท่องจำเอง ง่าย ๆ มะ ลองทำดูนะครับ ” ทีปกรบอกเสียงนุ่มหันไปมองหญิงสาวด้วยรอยยิ้มกว้าง จนเธอตกอยู่ในภวังค์ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาแถมรอยยิ้มแสนหวานแบบนี้อีก ภัสสรสะบัดหน้าอย่างรวดเร็ว นี่จิตใจของเธอทำไมมันชั่งอ่อนไหวง่ายเช่นนี้
จะมาหวั่นไหวกับผีตรงหน้าแบบนี้ไม่ได้นะใยวาว!
“ ทำไมหน้าแดงจัง เขินผมหรอ ” ไม่พูดเปล่าแต่โน้มใบหน้าเข้าหาเธออีกจนหญิงสาวต้องทำตาเขียวใส่
“ มีใครเคยบอกไหมว่านายเป็นวิญญาณที่หลงตัวเองที่สุด ” นาน ๆ เข้า ภัสสรก็เริ่มยอมรับได้ว่าเธอมีพลังพิเศษที่มองเห็นวิญญาณได้ก็คนตรงหน้าชอบผลุบ ๆ โผล่ ๆ มา ๆ หาย ๆ จนเธอเริ่มจะชิน
“ ฮ่า ๆ ก็เป็นแค่กับคุณนี่แหละ ” คำหวานที่หยอดต่อหน้ายิ่งทำให้ภัสสรหน้าเห่อร้อนขึ้นสีอีกครั้ง
“ นายมันบ้า พูดอะไรก็ไม่รู้ อย่ามากวนนะ ฉันจะอ่านหนังสือ ”
“ ก็ผมจะอยู่เป็นเพื่อน คุณก็อ่านไปสิ วาว..ผมมีเรื่องที่ต้องบอกคุณ จริง ๆ ผมอยู่ใกล้คุณเสมอ แต่บ้านสวนที่คุณไปอยู่ ผมไม่สามารถเข้าได้ จนกว่าจะได้รับคำยินยอมจากคุณ ”
“ หมายความว่ายังไง? ”
“ ก็หมายถึง คุณต้องเรียกชื่อผมไปด้วยไง ไม่ว่าจะขึ้นรถ หรือเข้าบ้าน ”
“ เพราะ? ”
“ เฮ้อ ก็เพราะเจ้าที่ที่บ้านคุณเขาไม่อนุญาตให้ผมเข้าบ้านคุณน่ะสิ บนรถนั่นก็ด้วย ”
“ อย่าบอกนะว่า นอกจากนายแล้วยังมีวิญญาณตนอื่นอีกหรอเนี่ย ” ภัสสรเริ่มตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะลำพังแค่เขาคนเดียวกว่าเธอจะยอมรับได้ก็ใช้เวลาพอตัวแล้วนี่ยังมาฟังชายหนุ่มเล่าว่ามีบุคคลอื่นอีก เธอจะต้องรับมือแบบไหน
อีกละเนี่ย
“ มีเยอะมาก ๆ เลยด้วย ” ชายหนุ่มทำสีหน้ายียวนชวนแกล้งหญิงสาวมากกว่าจริงจังจนทำให้หล่อนต้องฟาดที่ต้นแขนเขาไปหนึ่งที แต่หากคนที่มองเห็นก็จะรู้ว่าเธอกำลังฟาดตีอากาศ
หลังจากที่เรียนอักษรเบรลล์จนจบแล้วรณภพก็พาภัสสรขึ้นนั่งบนรถ หญิงสาวเอี้ยวตัวหยิบเข็มขัดนิรภัย
“ ทีปกร นายไปกับฉันนะ ” เธอพูดเสียงเบาให้ตัวเองพอได้ยิน เธอยังจำได้ว่าทีปกรบอกต้องให้เธอเรียกชื่อไม่อย่างนั้น เขาก็ไม่สามารถขึ้นรถได้
“ เมื่อกี้เธอว่ายังไงนะ ” แน่นอนว่าเสียงเรียกชื่อของหญิงสาวจะสะดุดเข้ากับหูของเขาได้ รณภพได้ยินไม่ชัดเจนว่าเธอพูดว่าอะไร
“ ไม่มีอะไร นายหูฝาดไปหรือเปล่า ไหนว่าจะไปทำธุระ ทำไมไม่รีบขับรถล่ะ ”
‘ นั่นสิ ถามมากจริง ’ เสียงที่ได้ยินแว่ว ๆ มาจากทางด้านเบาะหลังทำให้ภัสสรต้องหันไปมอง ไม่เจอเขาแต่กลับได้ยินเสียง มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ มองเห็นทีปกร แต่พออยู่ใกล้รณภพทำไมเธอกลับมองไม่เห็นแล้วตอนนี้กลับได้ยินเสียงของเขาแต่ไม่เห็นตัวของเขา มันหมายความว่ายังไงกันแน่
ทีปกรมองภัสสรและชายหนุ่มที่นั่งขับรถตรงหน้า คำพูดของเขาเมื่อครู่ ภัสสรได้ยินสิ่งที่เขาพูดด้วยหรือ หึ งั้นต่อไปก็คงสนุกกว่านี้แล้วสิ ต่อให้เธอจะมองไม่เห็นเขาแต่การที่เธอได้ยินเสียงเขาในขณะที่มีผู้ชายคนนี้อยู่ข้างกาย แสดงว่าเธอสัมผัสถึงเขาได้ ทีปกรมองชายหนุ่มตรงหน้าที่กำลังขับรถมุ่งตรงไปยังโรงพยาบาล อยากรู้จริง ๆ ว่าเพราะอะไร ทำไมพลังเขาถึงลดลงเมื่ออยู่ใกล้กับคน ๆ นี้
รถยนต์คันงามจอดที่ชั้นใต้ดินของโรงพยาบาลพื้นที่จอดรถสำหรับเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในนี้ ภัสสรที่รู้สึกถึงการหยุดเคลื่อนไหวของตัวรถทำให้เธอปลดสายเข็มขัดนิรภัยออก
“ แกร๊ก เดี๋ยวเข้าไปตรวจสุขภาพของเธอก่อน ” ในตอนแรกเธอดีใจที่เขามาเปิดประตูรถให้ แต่ในประโยคท้ายหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มก็ต้องหุบลง
“ ก็ไหนว่านายมาทำธุระแล้วนี่จะให้ฉันไปตรวจสุขภาพทำไม ”
“ ไหน ๆ ก็มาถึงแล้วก็ตรวจสักหน่อยจะเป็นอะไรไปเล่า ”
“ ไหน ๆ ก็… วันนี้นายพูดแบบนี้กับฉันสองรอบแล้วนะ ที่โรงเรียนนั่นก็ทีหนึ่ง แล้วก็ยังมาที่โรงพยาบาลนี่อีก ”
“ ข้าวผัดปู ปูผัดผงกะหรี่ อะไรอีกดีนะ ปูนึ่งกับน้ำจิ้มรสเด็ด ๆ ขนมจีนน้ำยาปู ยังมีอะไรอีกน้า… ” รณภพลากเสียงยาวทำท่าคล้ายกับคิดชื่อเมนูอาหาร เมื่อเจ้าตัวพยศก็คงต้องเอาเมนูที่ชอบมาเป็นการต่อรองสักหน่อย
“ ก็ได้ ๆ ตรวจก็ตรวจ ” เอาของโปรดมาเสนอแบบนี้ใครจะไม่สนองในที่สุดก็โดนเขาต้อนมุมอีกจนได้
‘ ผมเพิ่งจะรู้ว่าคุณชอบกินอาหารพวกนี้ ’ เสียงแว่ว ๆ ของทีปกรทำให้ภัสสรต้องคิ้วขมวด ขนาดไม่เห็นตัวยังส่งเสียงมาแซวเธอได้
“ เงียบไปเลยนะ ” ภัสสรส่งเสียงตอกกลับทีปกรจนลืมไปว่ายังมีผู้ชายอีกคนที่ยืนเอาแขนเท้ากับประตูรถ
“ ถ้าอยากให้เงียบก็หัดฟังซะบ้างลดอาการดื้อแบบนี้ลงหน่อยก็ดี ” รณภพย้อนกลับเมื่อได้ยินเธอพูดคล้ายกับตำหนิเขา จนภัสสรต้องกัดริมฝีปากตัวเอง
เพราะทีปกรคนเดียวเลย เธอไม่ได้จะว่ารณภพสักหน่อยถ้าเขาสื่อพลังถึงเธอได้มากพอ ภัสสรคงได้เห็นรอยยิ้มของทีปกรที่เป็นอยู่ตอนนี้
“ อ้าวมิก ก็ไหนมึงว่าวันนี้หยุดไง แล้วนี่มาทำอะไรวะ ” อดิศร นักศึกษาแพทย์ปีสี่รูปงามไม่แพ้รณภพต่างกันตรงที่เขาเป็นคนตาตี่ หน้าตี๋ลูกคนจีน แต่รณภพ คมเข้ม อดิศรเดินเข้ามาทักเพื่อน ในมือของอดิศรถือกุญแจรถ ดูจากเวลาตอนนี้ก็คงจะเลิกเรียนแล้วแน่ ๆ
“ กูมาทำธุระ ” รณภพพยักหน้าทักทายเพื่อน
“ แล้วนี่..ใครวะ ” อดิศรพูดลากเสียงเว้นวรรคเอียงศีรษะชำเลืองมองหญิงสาวข้างกายของเพื่อนตัวเอง ผู้หญิงหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มน่ารักจนคนมองต้องเผลออมยิ้มตาม
‘ ยิ้มแบบนี้ ไม่ค่อยน่าไว้ใจเลยแหะ ’ ทีปกรพูดขึ้นเพราะเขาเห็นรอยยิ้มของชายหนุ่มตรงหน้าที่มองหญิงสาว คนถูกมองก็หน้าขึ้นสีเล็กน้อยถึงไม่เห็นปฏิกิริยาคนมาเยือนตรงหน้าแต่ฟังจากที่ทีปกรพูดก็ทำให้เธอรู้สึกหน้าแดงขึ้นมาได้
“ ฟึ่บ ” รณภพกระตุกแขนหญิงสาวข้างกายให้มาแนบชิดกับเขา มือแกร่งโอบรอบเอวอย่างถือวิสาสะ ภัสสรมีอาการชะงักและตกใจกับสิ่งที่ร่างสูงโปร่งทำ ทีปกรก็ตะลึงกับสิ่งที่เห็น เห็นทีว่าคราวนี้เขาคงมีคู่แข่งที่จริงจังซะแล้ว
“ พูดมากน่า แล้วนี่พี่ณัฐอยู่รึเปล่ากูมีเรื่องจะคุยกับเขา ”
“ เออ อยู่ข้างใน ก็แค่ถามเฉย ๆ ทำไมต้องทำหวงด้วยวะ ” สายตาที่มองเพื่อนแบบยิ้ม ๆ ทำให้รณภพลอบกลืนน้ำลายลงคอ เผลอทำอะไรที่แสดงออกไปด้วยความไม่ตั้งใจ เพราะเห็นรอยยิ้มที่ไม่ค่อยน่าไว้ใจของเพื่อนตัวเองเวลาที่มองผู้หญิงข้างกาย
“ โอเค ถ้างั้นกูขอตัวก่อน ป๊ากับม๊ากูโทรตามแล้วว่ะ ” เขามองโทรศัพท์ในมือก่อนจะขอตัวแยกจากเพื่อนเพราะดูท่าว่ารณภพเองก็ไม่ค่อยอยากให้เขาอยู่สนทนาด้วยสักเท่าไหร่นักและแน่นอนว่าพรุ่งนี้รณภพคงต้องโดนซักถามเกี่ยวกับผู้หญิงข้างกายนี้เยอะแน่ๆ
“ เข้าไปข้างในเถอะ ” เขาค่อย ๆ คลายมือออกจากเอวแล้วก็กุมมือหญิงสาวเดินเข้าไปด้านในของโรงพยาบาลแทน แต่กระนั้นเจ้าหล่อนก็ยังแซวหนุ่มตรงหน้าตามประสาคนที่ชอบแกล้ง
“ โอบเอวฉันแบบเนี้ยะ คิดอะไรกับฉันหรอ หึงหรือหวง ” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงหวานหูและรอยยิ้มที่ฉายชัดบนใบหน้างาม จนลืมไปว่านอกจากเธอและเขาก็ยังมีดวงวิญญาณอีกดวง
ทีปกรที่ได้ยินและได้เห็น น้ำเสียงและรอยยิ้มของหญิงสาว มันก็ทำให้เขาพอที่จะรู้แล้วว่าทำไมพลังเขาลดลงเมื่ออยู่ใกล้กับผู้ชายที่ชื่อว่ารณภพ มันอาจจะเป็นเพราะผู้หญิงตรงหน้ามีใจให้รณภพ เพราะในใจของเธอคงมีรณภพไม่มากก็น้อยพลังของเขาถึงได้ลดลง เป็นวิญญาณก็รู้สึกอกหักได้เหมือนกันแหะ
“ สวัสดีครับพี่ณัฐ ” ณัฐพงษ์กำลังดูแฟ้มเอกสารของคนไข้ที่หน้าวอร์ดเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินเข้ามาพร้อมกับผู้หญิงข้างกาย เขาเลยปิดแฟ้มเอกสารแล้ววางลงบนเคาน์เตอร์ที่เดิม
“ อ้าวมิก ”
“ ตอนนี้พี่ว่างหรือเปล่าครับ ”
“ อืม พี่ไม่มีเคสอะไรแล้ว คนนี้ใช่…. ” ณัฐพงษ์ หมอเชี่ยวชาญด้านจักษุ รณภพเคยเปรย ๆ เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหญิงสาวให้ฟัง บ่อยครั้งที่รณภพมาขอคำแนะนำจากเขา วันนี้เพิ่งได้เห็นหน้าคร่าตาของหญิงสาวสักทีหลังจากได้ยินชื่อมานาน
“ ครับ ผมต้องรบกวนพี่ช่วยตรวจให้ผมทีนะ ”
“ เฮ้ย! รบกวนอะไรที่ไหนกัน ไปสิ พาเข้าห้องตรวจเลยพี่ขอดูให้แน่ใจหน่อย ”
‘ หมอที่นี่เขาคัดมาจากไหนนะ แต่ละคนอย่างกับดารา ’ คำพูดของทีปกรทำให้ภัสสรต้องตาโต หัวใจกระชุ่มกระชวย
“ จริงหรอ เสียดายจังที่มองไม่เห็น ” เธอเผลอหลุดปากพูดออกมาซึ่งมันทำให้รณภพที่ยืนข้าง ๆ ต้องหันมามอง
“ เสียดาย? เธอเสียดายอะไร ”
“ เห็นเขาบอกว่าหมอหล่อเสียดายที่มองไม่เห็น ” เธอไม่ปิดบังความรู้สึกเมื่อชายหนุ่มตรงหน้าอยากรู้ รณภพได้แต่ส่ายหน้ากับคำตอบของหญิงสาวแต่ใบหน้าขรึมกับมีรอยยิ้ม
หลังจากที่ตรวจดวงตาเสร็จ พยาบาลก็พาภัสสรให้ออกมานั่งนอกห้อง ส่วนรณภพกลับเข้าไปคุยธุระกับหมอณัฐพงษ์อีกครั้ง ปล่อยให้เธอนั่งรอด้านนอกแค่คนเดียว แล้วนี่ทีปกรหายไปไหนอีกแล้วเนี่ย สายตาหันซ้ายแลขวาเพื่อมองหาดวงวิญญาณตนเดียวที่เธอสามารถมองเห็น ด้านหลังแวบ ๆ ที่เธอสัมผัสเห็น มันเป็นด้านหลังของเขา นี่เขาจะไปไหนนะ ตะโกนเรียกก็ไม่ได้เพราะไม่มีใครมองเห็นเขา ร่างบอบบางค่อย ๆ ใช้ไม้เท้าเคาะ ๆ พื้นเดินไปเรื่อย ๆ ตามทีปกรไป ร่างสูงโปร่งที่ยืนมองตรงไปยังเบื้องหน้า เธอไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าเขามองอะไรอยู่
“ นั่น นายทำอะไรอยู่ตรงนั้น ”
“ วาว ผมอยู่ที่นี่… ” เขาหันมาพูดกับเธอ แล้วหันกลับไปมองยังเบื้องหน้าเหมือนเดิม
(*Hyperventilation syndrome - โรคหายใจเกิน มีอาการหายใจหอบเร็ว บ่นหายใจลำบาก หน้ามืด เวียนศีรษะ ใจสั่น อาจพบอาการเกร็ง มือจีบ ขออนุญาตอธิบายไว้ตรงนี้นะคะ จะได้เข้าใจ )
#แต่งให้ยาวเลย*-* เรื่องนี้แต่งยากหน่อยนะคะ อดใจรออ่านให้จบนะจะได้รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ไรท์ถึงบอกว่าแต่งยาก ^^ เมนต์เป็นกำลังใจให้กันด้วยน้า