Share

บทที่ 15

Author: หออักษร
“เจ้าออกจากราชสำนักไปแล้ว ก็อย่าได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของราชสำนักอีก”

“เซียวผิงซานจัดงานเลี้ยงก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ครั้งแรกย่อมเกิดข้อผิดพลาดได้...”

ฮ่องเต้เฉียนทรงเตรียมที่จะประนีประนอม

ฉินหมิงคุ้นเคยกับลูกไม้เช่นนี้ดีอยู่แล้ว

ตาเฒ่านี่ ตอนนี้รู้จักรุกด้วยการถอยแล้วหรือ?

ฝันไปเถอะ!

“ลูกเห็นว่า นี่เป็นเรื่องง่าย ๆ ไม่ควรจะทำผิดพลาด!”

“แต่ในเมื่อทำผิดพลาดแล้ว ก็ต้องยอมรับ หากไม่ลงโทษอย่างหนัก มิใช่ว่าจะทำให้ต้าเฉียนของเราต้องเสียทั้งหน้าตาเสียทั้งชื่อเสียงต่อหน้าแคว้นต่าง ๆ ในแถบหนานหยางหรอกหรือ!”

เซียวซูเฟยโมโหอย่างยิ่ง

“ใครบ้างจะไม่เคยทำผิดพลาด? เจ้าอย่าได้จู้จี้จุกจิกกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ยอมปล่อย!”

“ท่านว่าใครบ้างจะไม่เคยทำผิดพลาดหรือ?”

ช่างถามถูกคนจริง ๆ !

ฉินหมิงแสยะยิ้มแล้วกล่าวว่า

“บังเอิญนัก ข้าทำงานมาหลายปีขนาดนี้ ยังไม่เคยทำผิดพลาดเลย”

เซียวซูเฟยเงียบไป

ฮ่องเต้เฉียนก็ทรงเงียบไปเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ไม่เคยสังเกตเลยว่า เจ้าเด็กนี่รับมือยากถึงเพียงนี้

นับตั้งแต่ที่ฉินหมิงสละตำแหน่งองค์รัชทายาทไป ก็เหมือนกับได้ปลดปล่อยตัวเองออกมา

ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา

ที่แย่ไปกว่านั้นคือ คำพูดของเขากลับมีเหตุผลอยู่ไม่น้อย

“ในเมื่อขุนนางทั้งหลายก็อยู่ที่นี่แล้ว ข้าขอเสนอให้ลงโทษโบยต่อหน้าธารกำนัล ถือเป็นการตักเตือนทุกท่าน! และยังเป็นการให้คำอธิบายแก่กองคาราวานสินค้าหนานหยางอีกด้วย!”

“ทุกท่านคิดว่าเป็นอย่างไร?”

สิ้นเสียงของฉินหมิง เหล่าขุนนางที่อยู่ในที่นั้นต่างยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ไม่กล้ารับคำ

พูดตามตรง ในใจของหลาย ๆ คนต่างก็สนับสนุนฉินหมิง

แต่ฮ่องเต้เฉียนและเซียวซูเฟยนั่งอยู่ที่นั่น พวกเขาก็ยากที่จะแสดงความรู้สึกในใจออกมา

เว้นเสียแต่ว่าในอนาคตไม่อยากจะอยู่ในราชสำนักอีกต่อไปแล้ว

ฉินหมิงเห็นเช่นนั้นก็ส่ายหน้าเล็กน้อย

นี่แหละคือขุนนาง คิดหน้าคิดหลัง ไม่ได้เรื่องได้ราวเลยจริง ๆ

โชคดีที่เขายังมีแผนสำรอง

เขาส่งสายตาให้สมาชิกกองคาราวานสินค้าสองสามคนที่อยู่ไกลออกไป อีกฝ่ายก็เข้าใจในทันที

“ดี!”

“ต้าเฉียนช่างเป็นแคว้นแห่งจารีตประเพณีโดยแท้ มีความกล้าหาญดุจนักรบที่ยอมตัดข้อมือของตนเองทิ้ง!”

“ทำให้พวกข้าเลื่อมใสอย่างยิ่ง!”

ฉินหมิงและพวกเขารับส่งกันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย

“ทุกท่าน นี่ก็เป็นการให้คำอธิบายแก่พวกท่านเช่นกัน!”

“ต้าเฉียนของเราจะไม่ปกป้องขุนนางที่มีปัญหาคนใดเด็ดขาด จ้าวสี่ก็นับเป็นหนึ่งคน เซียวผิงซานในวันนี้ก็นับเป็นอีกหนึ่งคน!”

บรรยากาศได้ถูกสร้างขึ้นมาถึงขั้นนี้แล้ว

หากไม่ลงมือ ก็คงจะไม่ได้

ฉินหมิงจ้องมองฮ่องเต้เฉียนด้วยสายตาเป็นประกาย

สีพระพักตร์ของฮ่องเต้เฉียนเปลี่ยนไปมาหลายครั้ง

มีเพียงการยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฉินหมิงเท่านั้น ถึงจะรู้ว่าเจ้าเด็กคนนี้รับมือยากเพียงใด

เซียวซูเฟยร้อนใจราวกับมดที่อยู่บนกระทะร้อน

รออยู่นานครึ่งค่อนวัน ก็ไม่เห็นฮ่องเต้เฉียนตรัสอะไรออกมา

“เชิญเถิด”

หัวหน้าองครักษ์ในวังที่อยู่ในที่นั้น ก็มีเพียงจางหมิงคนเดียว

ฉินหมิงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก็พบเขาแล้ว

จางหมิงตกใจจนตัวสั่น มองไปยังเซียวซูเฟย กลับพบว่าอีกฝ่ายมีสีหน้ามืดมน ไม่พูดไม่จา

น้องชายแท้ ๆ ของเซียวซูเฟย จางหมิงย่อมไม่กล้าตี

“วันนี้ข้าป่วยเป็นไข้หวัด ลงมือไม่ได้ ท่านไปหาคนอื่นมาทำแทนเถิด”

จางหมิงหลบไปไกล ๆ

กลัวว่าเรื่องนี้จะมาถึงตนเอง

ทหารสองสามคนที่อยู่ไกลออกไป ก็ถอยไปอยู่หลังเสาของตำหนักตั้งนานแล้ว ไม่กล้าให้ฉินหมิงเรียกตนเอง

บนใบหน้าของเซียวซูเฟยแสดงความหยิ่งยโส

คนที่มีความสามารถก็ทำอะไรไม่ได้ หากขาดเครื่องมือที่จำเป็น

ฉินหมิงคิดจะตีเซียวผิงซาน ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น

แต่ในขณะที่ในใจของนางเพิ่งจะผ่อนคลายลงได้เล็กน้อย

ฉินหมิงก็พลันยิ้มออกมา

“ก็รู้อยู่แล้วว่าในวังนี้มีแต่พวกขี้ขลาดตาขาว ฉางไป๋ซาน!”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

“ลงมือ!”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

คราวนี้ ทุกคนต่างตกตะลึงจนตาค้าง

ความคิดของฉินอ๋องช่างลึกล้ำจริง ๆ

กลับคำนวณมาถึงขั้นนี้ได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ

หากจางหมิงเป็นคนลงมือ ไม่แน่ว่าอาจจะยังให้โอกาสเซียวผิงซานอยู่บ้าง ออกแรงน้อยลงหน่อย

แต่เมื่อบีบให้ทุกคนถอยไป แล้วเปลี่ยนเป็นฉางไป๋ซานขึ้นมาแทน

เจ้าหมอนี่ไม่มีทางออมมือแม้แต่น้อย!

“เจ้า... เจ้ากล้าแตะต้องข้าหรือ!”

เซียวผิงซานถอยหลังไปสองสามก้าว

กลับถูกฉางไป๋ซานเตะจนล้มลง

“นอนลงไปดี ๆ ! ข้าจะตีเจ้าแล้ว!”

เขาคว้าอาวุธมาจากในมือของขุนนางฝ่ายพิธีการสองสามคนที่ถือไม้โบยอยู่ไกล ๆ

แล้วฟาดลงไปบนร่างของเซียวผิงซานทีละไม้ ๆ

ทันใดนั้น เสียงร้องโหยหวนราวกับหมูถูกเชือดก็ดังลั่นไปทั่วตำหนัก

สายตาที่เซียวซูเฟยมองไปยังฉินหมิง แทบจะพ่นไฟออกมาได้

ในพระทัยของฮ่องเต้เฉียนก็ทรงพิโรธอย่างยิ่ง

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่งานเลี้ยงครั้งนี้ ดำเนินไปตามความคิดของฉินหมิงโดยสิ้นเชิง

มีเพียงเฉินซื่อเม่าและเฉียนไฉสองสามคนเท่านั้น ที่บนใบหน้าเผยความพึงพอใจออกมา

สมกับที่เป็นองค์ชาย!

ไม่นานนัก การลงโทษโบยก็สิ้นสุดลง

เซียวผิงซานที่ถูกตีจนเกือบตาย สลบไสลไม่ได้สติก็ถูกลากออกไป

ฉินหมิงปรบมือ

ตอนท้าย ก็ยังคงทำให้เซียวซูเฟยเจ็บใจอีกครั้ง

“ต้าเฉียนของเราช่างมีกฎหมายที่เข้มงวดและเที่ยงธรรมจริง ๆ มีราชสำนักเช่นนี้ ช่างเป็นโชคดีของราษฎรต้าเฉียนยิ่งนัก!”

“ซุนกงกง ในเมื่อข้าชนะการประลองฝ่ายบุ๋นแล้ว ต่อไปก็ควรจะเป็นการประลองยุทธ์แล้วใช่หรือไม่?”

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครกล้ารับคำ ฉินหมิงก็ถือโอกาสสถาปนาตนเองขึ้นเป็นผู้ชนะเลิศฝ่ายบุ๊นโดยปริยาย

แล้วหยิบยกเรื่องการประลองยุทธ์ขึ้นมาต่อ

เมื่อเห็นเช่นนั้น ซุนเหลียนอิงก็มองไปยังฮ่องเต้เฉียนด้วยความลังเล

กลับพบว่าอีกฝ่ายโบกพระหัตถ์ด้วยความรำคาญ

งานเลี้ยงในวันนี้วุ่นวายมาถึงขั้นนี้แล้ว ฮ่องเต้เฉียนไหนเลยจะยังมีอารมณ์เสวยพระกระยาหารอีก

เพียงแค่จะรีบจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้น แล้วกลับไปพักผ่อน

เบื้องล่าง กวนเยว่ที่มองดูเหตุการณ์ทั้งหมดมาโดยตลอดก็เตรียมพร้อมแล้ว

นางไม่เข้าใจการต่อสู้ในราชสำนัก

แต่เมื่อเห็นฉินหมิงสามารถทำให้สถานการณ์ปั่นป่วนได้ด้วยกำลังของตนเอง ในใจก็พลันเกิดความรู้สึกซับซ้อนขึ้นมา

ในเมื่อฉินหมิงสามารถคว้าตำแหน่งผู้ชนะเลิศมาได้แล้ว

ตนเองก็ต้องไม่ย่อท้อเช่นกัน จะต้องเอาเงินอีกสองหมื่นห้าพันตำลึงที่เหลือมาให้ได้

มีเงินแล้ว ท่านอาทั้งหลายในค่ายทหารก็คงจะไม่พูดอะไรมาก ยอมไปหลิ่งหนานพร้อมกับตนเอง

กวนเยว่กำหมัดแน่น ให้กำลังใจตัวเองในใจอย่างเงียบ ๆ

ซุนเหลียนอิงเดินออกมาข้างหน้าแล้วเอ่ยขึ้น

“ทุกท่าน การประลองยุทธ์ในวันนี้ มีผู้ใดจะเข้าร่วมหรือไม่?”

เซียวซูเฟยเดาได้ว่าที่ฉินหมิงมาในวันนี้ก็เพื่อต้องการเงิน

เพิ่งจะเสียท่าให้ฉินหมิงไปหมาด ๆ นางก็รีบส่งสายตาให้จางหมิง ให้เขาขึ้นไปประลองทันที

เรื่องอื่นไม่พูดถึง แต่ฝีมือหมัดมวยของจางหมิงในวังก็ถือว่าอยู่ในอันดับต้น ๆ

มิเช่นนั้น ก็คงจะไม่ถูกเซียวซูเฟยต้องตาและส่งเสริมขึ้นมา

แต่เมื่อสายตาของนางจับจ้องไปที่จางหมิง กลับพบว่าจางหมิงมีสีหน้าลังเล

อิดออดอยู่นานก็ไม่ยอมขึ้นไป

เซียวซูเฟยขมวดคิ้ว จ้องมองจางหมิงแวบหนึ่ง

ช่วยไม่ได้ จางหมิงจึงต้องเดินออกมาแล้วกล่าวว่า

“กองคาราวานสินค้าหนานหยางโปรดชี้แนะ”

กวนเยว่เพิ่งจะคิดจะขึ้นไป ก็ถูกฉินหมิงดึงไว้

เขายิ้มแล้วลุกขึ้นยืน เอ่ยถามจางหมิงว่า

“ผู้บัญชาการจาง ท่านเป็นอะไรไป? เมื่อครู่มิใช่ว่ายังป่วยอยู่หรอกหรือ?”

“ไม่ใช่ว่ารู้ความสัมพันธ์ระหว่างเซียวซูเฟยกับเซียวผิงซาน กลัวว่าจะล่วงเกินคน จึงแกล้งบอกว่าตนเองป่วยหรอกกระมัง?”

คำพูดของฉินหมิง ราวกับเป็นการฉีกหน้ากากชั้นสุดท้ายของจางหมิงออก

ทำให้จางหมิงยังไม่ทันจะได้ลงมือ ทำให้จางหมิงยังไม่ทันจะได้ลงมือ

“ข้า ข้ามิใช่ ข้าไม่ได้...”

ทุกคนต่างเป็นขุนนาง ให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรี

ปกติทำเรื่องสกปรก ประจบสอพลอเบื้องบน ข่มเหงเบื้องล่าง ทุกคนต่างรู้กันในใจก็พอแล้ว

แต่บัดนี้ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ จางหมิงกลับถูกฉินหมิงวิเคราะห์ความคิดในใจออกมา

ตอนนี้เขาอยากจะหาที่มุดดินหนีเสียให้รู้แล้วรู้รอด

ในตอนนี้เอง เซียวซูเฟยถึงได้เข้าใจว่า เหตุใดเมื่อครู่จางหมิงจึงไม่ยอมขึ้นประลอง

“ในเมื่อมิใช่ เช่นนั้นเหตุใดจึงฝืนร่างกายที่ป่วยขึ้นประลอง? นี่จะไม่เป็นการทำให้กองคาราวานสินค้าหนานหยางชนะอย่างไม่น่าภาคภูมิใจหรอกหรือ?”

ฉินหมิงเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

จางหมิงแก้ตัวอย่างลนลานสองสามประโยค แต่เมื่อเห็นสายตาที่คนอื่นมองมาที่ตนเองแล้ว

ในใจเขาก็ยิ่งร้อนรนมากขึ้น สุดท้ายก็อิดออดอยู่ที่นี่ครู่หนึ่ง แล้วก็เดินลงไป

เมื่อเห็นว่าฉินหมิงกำลังจะได้เปรียบอีกครั้ง

ฮ่องเต้เฉียนก็ทรงแค่นเสียงเย็น แล้วเริ่มเรียกชื่อโดยตรง

“แม่ทัพใหญ่เจิ้งเต๋อ เจ้าขึ้นไป!”

เมื่อได้ยินที่ฮ่องเต้เฉียนตรัส ทุกคนต่างสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ

ฉินหมิงก็ค่อย ๆ ขมวดคิ้วเช่นกัน

ตาเฒ่าฮ่องเต้เฉียนนี่ ช่างไม่ยอมหยุดพักแม้แต่ครู่เดียวจริง ๆ

ก็แค่ไม่อยากจะให้ตนเองได้เงินอีกสองหมื่นห้าพันตำลึงนี้ไปใช่หรือไม่?

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 426

    “ข้ารู้แล้ว เช่นนั้นก็รายงานขึ้นไปเถิด แต่ค่ายทหารในมือข้าไม่มีทางมอบให้ราชสำนักเด็ดขาด”คำพูดของพวกเขา อันที่จริงฉินหมิงคาดการณ์ได้นานแล้วแต่ค่ายทหารอู่เวย ฉินหมิงเป็นคนสร้างขึ้นมากับมือไม่ว่าจะเป็นโรงช่าง โรงทอผ้า ร้านขายผ้า หรือโรงผลิตเกลือ ต่างก็เป็นของเขาทั้งสิ้น“ท่านอ๋อง เกรงว่าจะไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”หลี่เหรินโซ่วผู้อยู่ด้านข้างเพิ่งได้ยินฉินหมิงกล่าวตอบ ก็คัดค้านขึ้นทันทีแต่ฟู่เจิ้งเซวียนกลับห้ามเขาไว้“ท่านอ๋อง ท่านจะคิดอย่างไรก็ได้ แต่พวกกระหม่อมจะรายงานต่อราชสำนักตามความเป็นจริงพ่ะย่ะค่ะ”ฟู่เจิ้งเซวียนไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับฉินหมิงให้มากความที่พวกเขามาครั้งนี้ก็แค่ทำตามขั้นตอนเท่านั้นส่วนความผิดที่แท้จริงของฉินหมิงนั้น ถูกกำหนดไว้ก่อนที่พวกเขาจะมาถึงเสียอีก“ย่อมได้”ฉินหมิงพยักหน้าเชื่องช้าระยะนี้ โรงช่างของพวกเขาเดินหน้าผลิตเต็มกำลัง สามารถติดอาวุธให้ทั้งค่ายทหารได้อย่างทั่วถึงแม้แต่จำนวนปืนคาบศิลา ก็มีถึงหนึ่งพันกว่ากระบอกยาเม็ดยิ่งเตรียมไว้นับไม่ถ้วนถ้าราชสำนักมาจริงก็พร้อมสู้นับตั้งแต่ที่ฉินหมิงมาถึงโลกใบนี้ เขาก็ตระหนักดีว่า ไม่ว่ายุคใดสมัยใดควา

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 425

    อีกด้านหนึ่ง ภายในจวนของฉินหมิงหลิ่วเยว่หลีกำลังรายงานตำแหน่งของเหล่าองครักษ์เงา“ท่านอ๋อง ครั้งนี้ตรวจพบสิบกว่าคน พวกเขารวมตัวกันอยู่ที่อำเภอซี ในสังกัดเมืองเฉียนถังเพคะ”“ข้ารู้แล้ว”ฉินหมิงพยักหน้าแช่มช้า จากนั้นจึงเหน็บดาบยาวไว้ข้างเอว ก่อนขี่ม้าตรงไปที่อำเภอซีด้วยตนเองไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าครั้งนี้ ฉินหมิงจะไปกำจัดเหล่าองครักษ์เงาเพียงลำพัง!กลุ่มข่าวกรองของหลิ่วเยว่หลี เพียงระบุตำแหน่งให้เขารู้เท่านั้นการลงมือฉายเดี่ยวของฉินหมิงนั้นทั้งรวดเร็ว แม่นยำ และเด็ดขาด โดยที่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสตั้งตัวสักนิด!ฉินหมิงมีความสามารถถึงขั้นนั้นแล้วแม้การออกกระบวนท่าต่าง ๆ จะยังไม่ชำนาญนัก แต่สิ่งที่เขาขาดในยามนี้ก็คือการฝึกฝน“หวังว่าคู่ซ้อมในวันนี้จะทำให้ข้าพอใจก็แล้วกัน”ขณะนั่งอยู่บนหลังม้า ฉินหมิงก็พึมพำกับตนเองอาศัยพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่ง ฉินหมิงย่อมต่อสู้กับพวกเขาได้อย่างสูสีแม้จะมีเพียงตัวคนเดียว แต่เขาก็สามารถสังหารหมู่กลุ่มคนขนาดเล็กของฝ่ายตรงข้ามได้ถึงสิบกว่ากลุ่มเขาลงมือเพียงลำพัง ไม่มีผู้ใดพบเห็นหรือต่อให้พบเห็น พวกเขาก็คงไม่คิดว่าฉินหมิงผู้ควบม้าอยู่ด้านนอกเพียงลำพ

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 424

    พวกเขาล้วนเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักเดิมทีฟางชิงหย่วนก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่หลังถูกลดตำแหน่งมาอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีอำนาจเหมือนเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งใหญ่อีกต่อไปย่อมทำให้บรรดาเพื่อนขุนนางที่เคยร่วมงานกัน คิดดูแคลนเล็กน้อยประกอบกับจุดยืนของพวกเขาในยามนี้แตกต่างกันขุนนางส่วนใหญ่ล้วนยืนอยู่ข้างเซียวซูเฟย จึงไม่คิดเปิดโอกาสให้ฉินหมิงกับฟางชิงหย่วนได้แข็งข้อส่วนหลี่เหรินโซ่วผู้เป็นถึงรองเจ้ากรมกลาโหม ด้วยความที่กรมกลาโหมมักไปเบิกเงินและเสบียงจากกรมคลังอยู่บ่อยครั้งแต่ฟางชิงหย่วนเป็นคนที่ยึดมั่นในหลักการจึงปฏิเสธคำขอของหลี่เหรินโซ่วเป็นประจำ ทำให้หลี่เหรินโซ่วแค้นฝังใจในเวลานี้เมื่อเห็นเขาตกต่ำ หลี่เหรินโซ่วจึงต้องเข้ามาเหยียบย่ำซ้ำเติมเป็นธรรมดาเมื่อได้ยินคำพูดดูแคลนของอีกฝ่าย บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาของฉินหมิงอย่างซ่งติ้งเซิงและหลิวฉ่วง ต่างก็รู้สึกไม่พอใจฟางชิงหย่วนเองก็ไม่ใช่คนที่จะยอมผู้ใดโดยง่าย จึงกล่าวขึ้นทันที“ใต้เท้าหลี่ หากท่านไม่เข้าใจบัญชีของกรมกลาโหม ก็มากราบข้าเป็นอาจารย์สิ เดี๋ยวข้าสอนท่านเอง”“จะให้ข้ากราบเจ้าเป็นอาจารย์น่ะหรือ?”หลี่เหรินโซ่วเบะปากด้วยคว

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 423

    “รับบัญชาเพคะ!”หลิ่วเยว่หลีพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนหันหลังเตรียมตัวเดินจากไปนางจะนำกลุ่มองครักษ์ลับ ไปสืบหาร่องรอยขององครักษ์เงาเหล่านั้นส่วนฉินหมิง ช่วงนี้คงต้องลบล้างอิทธิพลที่เกิดจากสำนักหลัวให้ได้ก่อนรัตติกาลมาเยือน กวนเยว่ต้มชาโสมถ้วยหนึ่ง นำมาวางลงตรงหน้าฉินหมิงฉินหมิงสวมเสื้อคลุมตัวหนึ่ง นั่งรับลมฤดูใบไม้ร่วงอยู่ในศาลา“หากราชสำนักใช้เรื่องสำนักหลัวเป็นข้ออ้าง นำทัพเข้ามาในหลิ่งหนาน พวกเราจะทำอย่างไร?”กวนเยว่กังวลใจเรื่องค่ายทหารอู่เวยยิ่งนักเนื่องจากนี่คือกองทัพสำคัญที่บิดานางทิ้งไว้ให้ฉินหมิงเคยกล่าวไว้ว่า จะฟื้นฟูมันขึ้นมาใหม่บัดนี้ เขาทำได้แล้ว แต่ก็มีแรงกดดันจากราชสำนักตามมาติด ๆ เช่นกัน“กองทัพเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ราชสำนักจะเข้ามายุ่งเกี่ยวได้ รอให้พวกเขาเคลื่อนไหวก่อนค่อยว่ากัน”“อืม”หลายวันต่อมา คณะผู้ตรวจสอบจากราชสำนักก็เดินทางมาถึงหลิ่งหนานคนที่มาในครั้งนี้คือ หัวหน้าผู้ตรวจการฝ่ายซ้ายแห่งสำนักตรวจสอบ ฟู่เจิ้งเซวียนผู้ช่วยของเขาคือรองเจ้ากรมกลาโหม หลี่เหรินโซ่วนอกจากนี้ยังมีลู่เหยียนเหนียนจากกรมทหารม้า เริ่นหลิงอวิ๋นจากกรมโยธาธิการและผู้คน

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 422

    ในอดีตครั้งที่เฉินซื่อเม่าอยู่ในราชสำนัก เขายังพอจะกดข่มคำพูดว่าร้ายฉินหมิงจากฝ่ายพระสนมเซียวซูเฟยได้บ้างแต่เมื่อเขาออกมาจากเมืองหลวง พระสนมเซียวซูเฟยและเหล่าขุนนางใต้สังกัดนางก็สบโอกาสลงมือพวกเขาอาศัยจังหวะนี้ เริ่มโจมตีฉินหมิงทันทีเมื่อได้ยิน ฉินหมิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนสอบถาม“แล้วศึกทางเหนือเล่า พวกเขาไม่สนใจแล้วหรือ?”“ได้ข่าวว่ายังรบกันอยู่ แต่ฝ่ายต้าเฉียนน่าจะใกล้ขอเจรจาสงบศึกสำเร็จแล้วเพคะ”“เจรจาสงบศึก!?”ฉินหมิงถึงกับตกตะลึงแม้ชนเผ่าทางเหนือจะมีกำลังรบที่แข็งแกร่ง แต่กำลังรบของต้าเฉียนก็ไม่ได้อ่อนแอเช่นกันยิ่งไปกว่านั้น ต้าเฉียนเป็นเพียงฝ่ายตั้งรับรอโต้กลับ แต่บัดนี้กลับคิดยอมจำนนนี่ช่างน่าอัปยศเสียจริงหากเป็นฝ่ายเริ่มขอเจรจาสงบศึก เมื่อถึงเวลาก็ต้องชดใช้ด้วยเงินมหาศาล มิหนำซ้ำอาจต้องยกดินแดนให้อีกฝ่ายต้าเฉียนก่อตั้งประเทศมาหลายชั่วอายุคน ยังไม่เคยปรากฏสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน!“จากการสืบสวนของกองเงาทมิฬ ราชสำนักคงอยากถอนตัวโดยเร็ว เพื่อมาจัดการกับท่านอ๋องเพคะ”หลิ่วเยว่หลีกล่าวถึงการคาดเดาของนางด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมและนี่ก็สอดคล้องกับวิธีการทำงานของราช

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 421

    เมื่อเห็นดังนั้น ฉินหมิงก็รีบชักมือกลับทันทีเฉาชวนกับหลิวฉ่วงจึงทิ้งตัวลงนั่งบนพื้น พลางหอบหายใจหนักหน่วง“สำนักหลัวช่างน่าสะพรึงกลัวโดยแท้!”ยามนี้บนใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตกตะลึงพูดตามตรง พลังลมปราณของฉินหมิงเวลานี้ หากบอกว่าเป็นอันดับสองในใต้หล้า ก็คงไม่มีผู้ใดกล้าบอกว่าตนเป็นอันดับหนึ่งแล้ว“ท่านอ๋อง กระหม่อมจะไปรวบรวมตำราวรยุทธ์ให้ท่านเองพ่ะย่ะค่ะ!”แม้หลิวฉ่วงจะพ่ายแพ้ให้แก่ฉินหมิง แต่เมื่อฟื้นตัวแล้ว เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้งหากฉินหมิงมีพลังต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ หลังฝึกฝนวรยุทธ์ ก็สามารถขึ้นเป็นยอดแม่ทัพอีกคนหนึ่งของค่ายทหาร และเข้าร่วมสงครามได้อย่างแน่นอนและการค้าขายของพวกเขาขณะนี้ก็เป็นไปด้วยดี กิจการทุกประเภทล้วนได้รับผลกำไรมากมายกระทั่งเงินที่เคยหยิบยืมจากหอการค้าหลิ่งหนาน ก็ชดใช้คืนหมดสิ้นและเมื่อมีเงินแล้ว ก็ซื้อตำราฝึกวรยุทธ์เหล่านั้นได้ไม่มีปัญหา“จะลำบากเช่นนั้นไปไย”ฉางไป๋ซานพลันขวางเขาไว้ และโบกมือเบา ๆจากนั้นก็ชี้ไปที่หน้าผากของตนเองพลางกล่าว“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ามาจากที่ใด?”“ตอนแรกที่ข้าติดตามท่านอ๋องนั้น ความจริงก็เพื่อฝึ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status