Share

บทที่ 15

Penulis: หออักษร
“เจ้าออกจากราชสำนักไปแล้ว ก็อย่าได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของราชสำนักอีก”

“เซียวผิงซานจัดงานเลี้ยงก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ครั้งแรกย่อมเกิดข้อผิดพลาดได้...”

ฮ่องเต้เฉียนทรงเตรียมที่จะประนีประนอม

ฉินหมิงคุ้นเคยกับลูกไม้เช่นนี้ดีอยู่แล้ว

ตาเฒ่านี่ ตอนนี้รู้จักรุกด้วยการถอยแล้วหรือ?

ฝันไปเถอะ!

“ลูกเห็นว่า นี่เป็นเรื่องง่าย ๆ ไม่ควรจะทำผิดพลาด!”

“แต่ในเมื่อทำผิดพลาดแล้ว ก็ต้องยอมรับ หากไม่ลงโทษอย่างหนัก มิใช่ว่าจะทำให้ต้าเฉียนของเราต้องเสียทั้งหน้าตาเสียทั้งชื่อเสียงต่อหน้าแคว้นต่าง ๆ ในแถบหนานหยางหรอกหรือ!”

เซียวซูเฟยโมโหอย่างยิ่ง

“ใครบ้างจะไม่เคยทำผิดพลาด? เจ้าอย่าได้จู้จี้จุกจิกกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ยอมปล่อย!”

“ท่านว่าใครบ้างจะไม่เคยทำผิดพลาดหรือ?”

ช่างถามถูกคนจริง ๆ !

ฉินหมิงแสยะยิ้มแล้วกล่าวว่า

“บังเอิญนัก ข้าทำงานมาหลายปีขนาดนี้ ยังไม่เคยทำผิดพลาดเลย”

เซียวซูเฟยเงียบไป

ฮ่องเต้เฉียนก็ทรงเงียบไปเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ไม่เคยสังเกตเลยว่า เจ้าเด็กนี่รับมือยากถึงเพียงนี้

นับตั้งแต่ที่ฉินหมิงสละตำแหน่งองค์รัชทายาทไป ก็เหมือนกับได้ปลดปล่อยตัวเองออกมา

ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา

ที่แย่ไปกว่านั้นคือ คำพูดของเขากลับมีเหตุผลอยู่ไม่น้อย

“ในเมื่อขุนนางทั้งหลายก็อยู่ที่นี่แล้ว ข้าขอเสนอให้ลงโทษโบยต่อหน้าธารกำนัล ถือเป็นการตักเตือนทุกท่าน! และยังเป็นการให้คำอธิบายแก่กองคาราวานสินค้าหนานหยางอีกด้วย!”

“ทุกท่านคิดว่าเป็นอย่างไร?”

สิ้นเสียงของฉินหมิง เหล่าขุนนางที่อยู่ในที่นั้นต่างยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ไม่กล้ารับคำ

พูดตามตรง ในใจของหลาย ๆ คนต่างก็สนับสนุนฉินหมิง

แต่ฮ่องเต้เฉียนและเซียวซูเฟยนั่งอยู่ที่นั่น พวกเขาก็ยากที่จะแสดงความรู้สึกในใจออกมา

เว้นเสียแต่ว่าในอนาคตไม่อยากจะอยู่ในราชสำนักอีกต่อไปแล้ว

ฉินหมิงเห็นเช่นนั้นก็ส่ายหน้าเล็กน้อย

นี่แหละคือขุนนาง คิดหน้าคิดหลัง ไม่ได้เรื่องได้ราวเลยจริง ๆ

โชคดีที่เขายังมีแผนสำรอง

เขาส่งสายตาให้สมาชิกกองคาราวานสินค้าสองสามคนที่อยู่ไกลออกไป อีกฝ่ายก็เข้าใจในทันที

“ดี!”

“ต้าเฉียนช่างเป็นแคว้นแห่งจารีตประเพณีโดยแท้ มีความกล้าหาญดุจนักรบที่ยอมตัดข้อมือของตนเองทิ้ง!”

“ทำให้พวกข้าเลื่อมใสอย่างยิ่ง!”

ฉินหมิงและพวกเขารับส่งกันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย

“ทุกท่าน นี่ก็เป็นการให้คำอธิบายแก่พวกท่านเช่นกัน!”

“ต้าเฉียนของเราจะไม่ปกป้องขุนนางที่มีปัญหาคนใดเด็ดขาด จ้าวสี่ก็นับเป็นหนึ่งคน เซียวผิงซานในวันนี้ก็นับเป็นอีกหนึ่งคน!”

บรรยากาศได้ถูกสร้างขึ้นมาถึงขั้นนี้แล้ว

หากไม่ลงมือ ก็คงจะไม่ได้

ฉินหมิงจ้องมองฮ่องเต้เฉียนด้วยสายตาเป็นประกาย

สีพระพักตร์ของฮ่องเต้เฉียนเปลี่ยนไปมาหลายครั้ง

มีเพียงการยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฉินหมิงเท่านั้น ถึงจะรู้ว่าเจ้าเด็กคนนี้รับมือยากเพียงใด

เซียวซูเฟยร้อนใจราวกับมดที่อยู่บนกระทะร้อน

รออยู่นานครึ่งค่อนวัน ก็ไม่เห็นฮ่องเต้เฉียนตรัสอะไรออกมา

“เชิญเถิด”

หัวหน้าองครักษ์ในวังที่อยู่ในที่นั้น ก็มีเพียงจางหมิงคนเดียว

ฉินหมิงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก็พบเขาแล้ว

จางหมิงตกใจจนตัวสั่น มองไปยังเซียวซูเฟย กลับพบว่าอีกฝ่ายมีสีหน้ามืดมน ไม่พูดไม่จา

น้องชายแท้ ๆ ของเซียวซูเฟย จางหมิงย่อมไม่กล้าตี

“วันนี้ข้าป่วยเป็นไข้หวัด ลงมือไม่ได้ ท่านไปหาคนอื่นมาทำแทนเถิด”

จางหมิงหลบไปไกล ๆ

กลัวว่าเรื่องนี้จะมาถึงตนเอง

ทหารสองสามคนที่อยู่ไกลออกไป ก็ถอยไปอยู่หลังเสาของตำหนักตั้งนานแล้ว ไม่กล้าให้ฉินหมิงเรียกตนเอง

บนใบหน้าของเซียวซูเฟยแสดงความหยิ่งยโส

คนที่มีความสามารถก็ทำอะไรไม่ได้ หากขาดเครื่องมือที่จำเป็น

ฉินหมิงคิดจะตีเซียวผิงซาน ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น

แต่ในขณะที่ในใจของนางเพิ่งจะผ่อนคลายลงได้เล็กน้อย

ฉินหมิงก็พลันยิ้มออกมา

“ก็รู้อยู่แล้วว่าในวังนี้มีแต่พวกขี้ขลาดตาขาว ฉางไป๋ซาน!”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

“ลงมือ!”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

คราวนี้ ทุกคนต่างตกตะลึงจนตาค้าง

ความคิดของฉินอ๋องช่างลึกล้ำจริง ๆ

กลับคำนวณมาถึงขั้นนี้ได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ

หากจางหมิงเป็นคนลงมือ ไม่แน่ว่าอาจจะยังให้โอกาสเซียวผิงซานอยู่บ้าง ออกแรงน้อยลงหน่อย

แต่เมื่อบีบให้ทุกคนถอยไป แล้วเปลี่ยนเป็นฉางไป๋ซานขึ้นมาแทน

เจ้าหมอนี่ไม่มีทางออมมือแม้แต่น้อย!

“เจ้า... เจ้ากล้าแตะต้องข้าหรือ!”

เซียวผิงซานถอยหลังไปสองสามก้าว

กลับถูกฉางไป๋ซานเตะจนล้มลง

“นอนลงไปดี ๆ ! ข้าจะตีเจ้าแล้ว!”

เขาคว้าอาวุธมาจากในมือของขุนนางฝ่ายพิธีการสองสามคนที่ถือไม้โบยอยู่ไกล ๆ

แล้วฟาดลงไปบนร่างของเซียวผิงซานทีละไม้ ๆ

ทันใดนั้น เสียงร้องโหยหวนราวกับหมูถูกเชือดก็ดังลั่นไปทั่วตำหนัก

สายตาที่เซียวซูเฟยมองไปยังฉินหมิง แทบจะพ่นไฟออกมาได้

ในพระทัยของฮ่องเต้เฉียนก็ทรงพิโรธอย่างยิ่ง

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่งานเลี้ยงครั้งนี้ ดำเนินไปตามความคิดของฉินหมิงโดยสิ้นเชิง

มีเพียงเฉินซื่อเม่าและเฉียนไฉสองสามคนเท่านั้น ที่บนใบหน้าเผยความพึงพอใจออกมา

สมกับที่เป็นองค์ชาย!

ไม่นานนัก การลงโทษโบยก็สิ้นสุดลง

เซียวผิงซานที่ถูกตีจนเกือบตาย สลบไสลไม่ได้สติก็ถูกลากออกไป

ฉินหมิงปรบมือ

ตอนท้าย ก็ยังคงทำให้เซียวซูเฟยเจ็บใจอีกครั้ง

“ต้าเฉียนของเราช่างมีกฎหมายที่เข้มงวดและเที่ยงธรรมจริง ๆ มีราชสำนักเช่นนี้ ช่างเป็นโชคดีของราษฎรต้าเฉียนยิ่งนัก!”

“ซุนกงกง ในเมื่อข้าชนะการประลองฝ่ายบุ๋นแล้ว ต่อไปก็ควรจะเป็นการประลองยุทธ์แล้วใช่หรือไม่?”

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครกล้ารับคำ ฉินหมิงก็ถือโอกาสสถาปนาตนเองขึ้นเป็นผู้ชนะเลิศฝ่ายบุ๊นโดยปริยาย

แล้วหยิบยกเรื่องการประลองยุทธ์ขึ้นมาต่อ

เมื่อเห็นเช่นนั้น ซุนเหลียนอิงก็มองไปยังฮ่องเต้เฉียนด้วยความลังเล

กลับพบว่าอีกฝ่ายโบกพระหัตถ์ด้วยความรำคาญ

งานเลี้ยงในวันนี้วุ่นวายมาถึงขั้นนี้แล้ว ฮ่องเต้เฉียนไหนเลยจะยังมีอารมณ์เสวยพระกระยาหารอีก

เพียงแค่จะรีบจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้น แล้วกลับไปพักผ่อน

เบื้องล่าง กวนเยว่ที่มองดูเหตุการณ์ทั้งหมดมาโดยตลอดก็เตรียมพร้อมแล้ว

นางไม่เข้าใจการต่อสู้ในราชสำนัก

แต่เมื่อเห็นฉินหมิงสามารถทำให้สถานการณ์ปั่นป่วนได้ด้วยกำลังของตนเอง ในใจก็พลันเกิดความรู้สึกซับซ้อนขึ้นมา

ในเมื่อฉินหมิงสามารถคว้าตำแหน่งผู้ชนะเลิศมาได้แล้ว

ตนเองก็ต้องไม่ย่อท้อเช่นกัน จะต้องเอาเงินอีกสองหมื่นห้าพันตำลึงที่เหลือมาให้ได้

มีเงินแล้ว ท่านอาทั้งหลายในค่ายทหารก็คงจะไม่พูดอะไรมาก ยอมไปหลิ่งหนานพร้อมกับตนเอง

กวนเยว่กำหมัดแน่น ให้กำลังใจตัวเองในใจอย่างเงียบ ๆ

ซุนเหลียนอิงเดินออกมาข้างหน้าแล้วเอ่ยขึ้น

“ทุกท่าน การประลองยุทธ์ในวันนี้ มีผู้ใดจะเข้าร่วมหรือไม่?”

เซียวซูเฟยเดาได้ว่าที่ฉินหมิงมาในวันนี้ก็เพื่อต้องการเงิน

เพิ่งจะเสียท่าให้ฉินหมิงไปหมาด ๆ นางก็รีบส่งสายตาให้จางหมิง ให้เขาขึ้นไปประลองทันที

เรื่องอื่นไม่พูดถึง แต่ฝีมือหมัดมวยของจางหมิงในวังก็ถือว่าอยู่ในอันดับต้น ๆ

มิเช่นนั้น ก็คงจะไม่ถูกเซียวซูเฟยต้องตาและส่งเสริมขึ้นมา

แต่เมื่อสายตาของนางจับจ้องไปที่จางหมิง กลับพบว่าจางหมิงมีสีหน้าลังเล

อิดออดอยู่นานก็ไม่ยอมขึ้นไป

เซียวซูเฟยขมวดคิ้ว จ้องมองจางหมิงแวบหนึ่ง

ช่วยไม่ได้ จางหมิงจึงต้องเดินออกมาแล้วกล่าวว่า

“กองคาราวานสินค้าหนานหยางโปรดชี้แนะ”

กวนเยว่เพิ่งจะคิดจะขึ้นไป ก็ถูกฉินหมิงดึงไว้

เขายิ้มแล้วลุกขึ้นยืน เอ่ยถามจางหมิงว่า

“ผู้บัญชาการจาง ท่านเป็นอะไรไป? เมื่อครู่มิใช่ว่ายังป่วยอยู่หรอกหรือ?”

“ไม่ใช่ว่ารู้ความสัมพันธ์ระหว่างเซียวซูเฟยกับเซียวผิงซาน กลัวว่าจะล่วงเกินคน จึงแกล้งบอกว่าตนเองป่วยหรอกกระมัง?”

คำพูดของฉินหมิง ราวกับเป็นการฉีกหน้ากากชั้นสุดท้ายของจางหมิงออก

ทำให้จางหมิงยังไม่ทันจะได้ลงมือ ทำให้จางหมิงยังไม่ทันจะได้ลงมือ

“ข้า ข้ามิใช่ ข้าไม่ได้...”

ทุกคนต่างเป็นขุนนาง ให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรี

ปกติทำเรื่องสกปรก ประจบสอพลอเบื้องบน ข่มเหงเบื้องล่าง ทุกคนต่างรู้กันในใจก็พอแล้ว

แต่บัดนี้ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ จางหมิงกลับถูกฉินหมิงวิเคราะห์ความคิดในใจออกมา

ตอนนี้เขาอยากจะหาที่มุดดินหนีเสียให้รู้แล้วรู้รอด

ในตอนนี้เอง เซียวซูเฟยถึงได้เข้าใจว่า เหตุใดเมื่อครู่จางหมิงจึงไม่ยอมขึ้นประลอง

“ในเมื่อมิใช่ เช่นนั้นเหตุใดจึงฝืนร่างกายที่ป่วยขึ้นประลอง? นี่จะไม่เป็นการทำให้กองคาราวานสินค้าหนานหยางชนะอย่างไม่น่าภาคภูมิใจหรอกหรือ?”

ฉินหมิงเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

จางหมิงแก้ตัวอย่างลนลานสองสามประโยค แต่เมื่อเห็นสายตาที่คนอื่นมองมาที่ตนเองแล้ว

ในใจเขาก็ยิ่งร้อนรนมากขึ้น สุดท้ายก็อิดออดอยู่ที่นี่ครู่หนึ่ง แล้วก็เดินลงไป

เมื่อเห็นว่าฉินหมิงกำลังจะได้เปรียบอีกครั้ง

ฮ่องเต้เฉียนก็ทรงแค่นเสียงเย็น แล้วเริ่มเรียกชื่อโดยตรง

“แม่ทัพใหญ่เจิ้งเต๋อ เจ้าขึ้นไป!”

เมื่อได้ยินที่ฮ่องเต้เฉียนตรัส ทุกคนต่างสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ

ฉินหมิงก็ค่อย ๆ ขมวดคิ้วเช่นกัน

ตาเฒ่าฮ่องเต้เฉียนนี่ ช่างไม่ยอมหยุดพักแม้แต่ครู่เดียวจริง ๆ

ก็แค่ไม่อยากจะให้ตนเองได้เงินอีกสองหมื่นห้าพันตำลึงนี้ไปใช่หรือไม่?

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 257

    เมื่อฟังคำอธิบายของฉินหมิงจบ ฟางชิงหย่วนก็เดินไปยังป้ายบอกทางของโรงทอผ้าหลังก่อสร้างมาได้ระยะหนึ่ง โรงทอผ้าก็มีพื้นที่กว้างขวางมากแล้วยามมีคนงานซึ่งไม่คุ้นเคยกับสถานที่เดินทางมาจากอำเภอต่าง ๆ ก็ต้องใช้ทั้งป้ายและแผนที่คอยนำทาง“เอาเป็นสองที่นี้ก็แล้วกัน ขนาดเท่ากันพอดี”“ส่วนจำนวนคนเดี๋ยวข้าจะจัดสรรให้พวกท่าน เชิญพวกท่านไปเลือกคนกันได้ตามสบาย”ฟางชิงหย่วนพูดเนิบนาบตามความคิดของเขา เรื่องนี้ไม่มีอะไรชวนให้เดือดดาลใจในเมื่อทุกคนอยากดู ก็แค่แข่งขันกันให้รู้แล้วรู้รอดไปความจริงย่อมมีน้ำหนักกว่าคำพูด เขาเชื่อมั่นในทฤษฎีของตนเองยิ่งนัก“ประเสริฐ”ฉินหมิงกับหลี่เอ้อร์หนิวต่างพยักหน้า“พวกเจ้า ไปแย่งคนมาก่อนเลย”เมื่อตกลงกันเรียบร้อย หลี่เอ้อร์หนิวก็สั่งลูกน้อง ให้เริ่มไปชิงตัวสาวชาวบ้านที่ทำงานคล่องแคล่วในโรงทอผ้ามาก่อนล่วงหน้าฉินหมิงกลับไม่ได้ทำอะไร ด้วยความที่ตนมีคนน้อยกว่าหลี่เอ้อร์หนิวถึงครึ่งหนึ่ง จึงไม่จำเป็นต้องไปแย่งชิงวันรุ่งขึ้น ทั้งสองฝ่ายก็นำกลุ่มคนงานของตนไปเริ่มทำงานอย่างรวดเร็วฉินหมิงเลือกคนมาสามกลุ่มแบบเดาสุ่ม แล้วเอ่ยขึ้นว่า“ทุกคนทำตามกฎระเบียบเดิม ติ

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 256

    ถ้าต้องรับมือกับคนนอก ฉินหมิงย่อมเลือกใช้วิธีทางกายภาพอันรวดเร็วที่สุดเพื่อกำจัดอีกฝ่ายโดยไม่ลังเลแต่คนในโรงงานเวลานี้ ล้วนแต่เป็นคนของฉินหมิงทั้งสิ้นเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ หากให้ซ่งติ้งเซิงลงมือ ไม่เพียงแต่จะทำให้กลุ่มคนงานหมดความภักดี แม้แต่ภาพลักษณ์ก็คงเสียหายย่อยยับเช่นกัน“ท่านอ๋อง โปรดอธิบายให้พวกเราฟังแต่โดยดีเถิด มิเช่นนั้นทุกคนคงไม่เชื่อท่านแล้ว”หลี่เอ้อร์หนิวเห็นสถานการณ์พลิกผัน ก็ได้ทีรุกคืบด้วยความลำพองใจบัดนี้ทุกคนต่างกำลังรอคอยคำตอบจากฉินหมิงฉินหมิงส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนกล่าวด้วยความจนปัญญาว่า“หลี่เอ้อร์หนิว เจ้าเป็นหนึ่งในหัวหน้าหน่วยการผลิต ใช่หรือไม่?”“ใช่ขอรับ”หลี่เอ้อร์หนิวยักไหล่ มองฉินหมิงด้วยความกังขา“เช่นนี้แล้วกัน ข้าจะให้คนแก่เจ้ามากกว่าของข้าหนึ่งเท่า ในเวลาสามวัน พวกเรามาแข่งกันเรื่องผลผลิต ดีหรือไม่?”“ท่านจะแข่งเรื่องประสิทธิภาพการผลิตกับข้างั้นรึ? ซ้ำยังใช้คนเพียงครึ่งเดียวอีก?”หลี่เอ้อร์หนิวแทบไม่เชื่อหูตนเอง“ถูกต้อง ข้าจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า บางครั้งมีคนเยอะก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี หลักการที่ว่ามากคนก็มากความ ดูท่าจะมีผ

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 255

    ทั้งสองคนเดินมาถึงเบื้องหน้าฝูงชนหลี่เอ้อร์หนิวยังคงพูดความคิดของตนอย่างออกรส ขัดขวางการจัดสรรคนงานของโรงทอผ้าโดยไม่มีคำว่าเกรงใจ“ท่านอ๋องมาแล้ว!”ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดในฝูงชนที่ตะโกนขึ้นมาก่อน จากนั้นทุกคนก็พร้อมใจกันหลีกทางให้เมื่อฉินหมิงเดินเข้ามาจากนอกวง หลี่เอ้อร์หนิวก็พลันมีท่าทีอ่อนลงไปกว่าครึ่งเมื่อครู่เขายังส่งเสียงดังลั่น แต่บัดนี้กลับเงียบเสียงลงแล้ว“ขอถามหน่อยเถิด ผู้ใดบอกว่าจะลดค่าจ้างพวกเจ้ารึ?”เสียงของฉินหมิงถามขึ้นอย่างแช่มช้าทุกคนต่างเหลือบมองไปที่หลี่เอ้อร์หนิวผู้ซึ่งเมื่อครู่ยังทำตัวหยิ่งผยองส่วนหลี่เอ้อร์หนิวนั้น ยามนี้ก็ได้แต่พูดอึกอักว่า“ก็ในประกาศมีความหมายเช่นนั้นมิใช่หรือ…”เรื่องนี้เดิมทีก็เป็นสิ่งที่เขาคิดขึ้นมาเองเหตุผลที่ไม่อยากให้มีการย้ายคนงานเกิดขึ้น ก็เพราะเขามีลูกน้องหลายคนมาจากต่างพื้นที่กันบางคนมีบ้านอยู่ใกล้โรงช่าง บ้างก็อยู่ใกล้โรงย้อมผ้า ล้วนแต่ร้องขออยากย้ายที่ทำงานกันทั้งสิ้นเมื่อเห็นว่าลูกน้องอยากย้ายที่ทำงานกันเหลือเกิน หลี่เอ้อร์หนิวก็ยิ่งไม่อยากปล่อยมือตัวเขาอุตส่าห์ฝึกฝนลูกน้องจนกลายเป็นคนสนิท ถึงขั้นทำตัววางอำนาจใน

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 254

    เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับปัญหาด้านประสิทธิภาพการผลิต และคนงานจำนวนมากที่ไม่รู้หนังสือดังนั้น ฟางชิงหย่วนจึงไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก เพียงนำข้อสรุปไปติดประกาศไว้ล่วงหน้า เพื่อให้ทุกคนเตรียมตัวแต่คนงานหลายพันคนในโรงทอผ้า อยู่ดี ๆ จะให้พวกเขาย้ายที่ทำงานอย่างกะทันหัน ย่อมมีบางส่วนไม่พอใจเป็นธรรมดาสิ้นเสียงของฉินหมิง ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากในฝูงชน“ให้ตายเถิด คิดจะลดค่าจ้างกับสวัสดิการของพวกเราใช่หรือไม่? อย่างไรข้าก็ไม่ไป!”คนที่พูด มีนามว่าหลี่เอ้อร์หนิวเขาเป็นชาวบ้านจากหมู่บ้านกว่างสุ่ยทางตอนเหนือของเมืองหลินเจียง ว่ากันว่ามีชื่อเสียงในหมู่บ้านพอสมควรหลังมาถึงโรงทอผ้า เนื่องจากมีผลงานโดดเด่น และผู้คนนับหน้าถือตาไม่น้อย จึงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าหน่วยในเวลาไม่นาน“บังอาจนัก!”ซ่งติ้งเซิงขมวดคิ้ว โบกมือเรียกเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งซึ่งอยู่ข้างกาย ให้เตรียมเข้าไปจับตัวหลี่เอ้อร์หนิวในยามที่โรงทอผ้ากำลังจะจัดสรรจำนวนคนงาน เพื่อไปส่งเสริมอุตสาหกรรมอื่น ๆ หากมีคนเสนอหน้าออกมาขัดขวางย่อมส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและการดำเนินงานของโรงทอผ้าอย่างใหญ่หลวงนัก!ยิ่งไปกว่านั้น ท่านอ๋องก็ย

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 253

    “ตอนแรกเมื่อเริ่มใช้คนงานเยอะขึ้น ปริมาณการผลิตก็เพิ่มขึ้นเร็ว แต่พอเพิ่มคนเข้าไปเรื่อย ๆ ปริมาณการผลิตกลับเพิ่มขึ้นไม่เร็วเท่าเดิมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฟางชิงหย่วนหยิบสมุดเล่มเล็กออกมา อธิบายการค้นพบของตนให้ฉินหมิงฟังด้วยความเคร่งเครียด“นี่คงเรียกว่ากฎการลดน้อยถอยลงของผลผลิตส่วนเพิ่ม”ฉินหมิงใช้ความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์เท่าหางอึ่งของตน รำพึงออกมาโดยไม่รู้ตัว“อะไรคือกฎการลดน้อยถอยลงของผลผลิตส่วนเพิ่มรึพ่ะย่ะค่ะ?”ฟางชิงหย่วนรั้งฉินหมิงไว้ ขณะถามบนขั้นบันได“ก็คือการลงทุนลงแรงไปกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไป ผลตอบแทนก็จะเพิ่มขึ้นไม่เร็วเท่าเดิมแล้ว”“เป็นเช่นนี้นี่เอง ดูเหมือนว่าที่กระหม่อมศึกษามาจะถูกต้องแล้ว”ฟางชิงหย่วนผงกศีรษะ หยิบแท่งถ่านสีดำยาวออกมาจากอกเสื้อ แล้วเริ่มขีดเขียนลงบนสมุดเล่มเล็กที่เย็บเล่มอย่างประณีตตรงหน้าในยุคนี้มีเพียงพู่กัน ซึ่งใช้งานค่อนข้างลำบากหากอยากจดบันทึกทุกที่ทุกเวลาเช่นเขา ก็ต้องใช้แท่งถ่านกับสมุดเล่มเล็กเท่านั้น“ท่านอ๋อง กระหม่อมไม่อยากขยายการผลิตของโรงงานแล้ว รักษาสภาพเดิมไว้ก็พอ สิ่งที่เราต้องคิดในตอนนี้คือ จะรักษาระดับการเติบโตให้เร็วขึ้นได้อย

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 252

    “จับได้กี่คน?”“สองคนพ่ะย่ะค่ะ ประตูเมืองทิศอื่น ๆ ก็น่าจะมีเช่นกัน”เมื่อได้ยิน ฉินหมิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าวว่า“จับต่อไป ไว้ชีวิตแค่จำนวนหนึ่งก็พอ เอาไว้เค้นถามกำลังคนที่แน่ชัดในภายหลัง ถือโอกาสที่ฝนตกหลายวันมานี้ คนเดินถนนมีน้อย ปิดล้อมอำเภอไว้ก่อน รอให้สังหารองครักษ์เงาหมดสิ้นเมื่อใด ค่อยเปิดประตูเมือง”“พ่ะย่ะค่ะ!”ซ่งติ้งเซิงรับคำสั่ง พลางมองอู๋สื่อจงที่ยังคงยืนนิ่งตัวแข็งทื่อไม่พูดคำใด ในใจพลันรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง“อะแฮ่ม!”เขากระตุกชายเสื้ออู๋สื่อจงตอนนั้นเอง อู๋สื่อจงถึงได้สติ“เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”หลังปิดล้อมสังหารคนอยู่สองวันครึ่ง ฉางไป๋ซานก็นำกองกำลังองครักษ์ของฉินหมิง สังหารองครักษ์เงาทั้งยี่สิบเจ็ดคนที่มาถึงอำเภออินซานจนหมดสิ้นขณะมองดูรายชื่อผู้เสียชีวิตที่เขียนด้วยหมึกสีแดงสด ฉินหมิงก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกซ่งติ้งเซิงผู้ที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นว่า“ท่านอ๋อง โรงทอผ้าส่งข่าวมา บอกว่าพวกเขาสร้างเสร็จไปกว่าครึ่งแล้ว สามารถเริ่มการผลิตจำนวนมากได้ทันที เวลานี้อยากให้ท่านส่งคนงานไปที่นั่นพ่ะย่ะค่ะ”อุตสาหกรรมสิ่งทอได้รับการยกระดับอีกครั้ง

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status