LOGIN“แล้ววิญญาณของท่านพ่อตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง คงจะอยู่อย่างสงบสุขไม่ได้เพราะคนเหล่านั้นไปก่อกวนเป็นแน่ ไม่ได้ละเราต้องทำอะไรสักอย่าง”
เจิ้งซูอี้ถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ จะเป็นอย่างไรเล่าก็คงยังสุขสบายอยู่นั่นแหละเพราะเรื่องทั้งหมดเป็นนางที่สร้างสถานการณ์ขึ้นมาเอง แม่นางหวังกลับเข้าไปในห้องเตรียมธูปและกระดาษเงินกระดาษทองที่เหลือมาจากครั้งที่แล้วตั้งโต๊ะจุดธูปไหว้และเผากระดาษเงินกระดาษทองส่งให้หลิวตงเฟิงอีกครั้ง
“ฮัดเช้ย!!”
หลายวันมานี้แม่ทัพใหญ่เอาแต่จามติดต่อกันไม่หยุด ดูเหมือนคนเหล็กก็มีวันที่ป่วยเหมือนคนธรรมดาเช่นกันนะ เหล่าทหารใต้บังคับบัญชามองมาที่เขาเป็นตาเดียว
หลิวตงจวิ้นกลับมาที่เรือนได้ฟังเรื่องที่แม่นางหวังเล่าให้ฟังเขาก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที
“นี่ต้องทำกันถึงขั้นนี้เชียวหรือ ท่านพ่อของข้าตายไปแล้วเหตุใดไม่ปล่อยให้ท่านอยู่อย่าสงบสุข พวกเขานี่มันเกินเยียวยาแล้วจริงๆ แม้แต่คนตายก็ไม่ละเว้น”
หลิวตงจวิ้นสบถออกมาด้วยความหัวเสีย เจิ้งซูอี้ฟังทั้งสองคนคุยกันอยู่ห่างๆ ตอนที่นางไปที่เรือสกุลหลิวนางเห็นหลิวฟู่เฉิงผ่านทางหน้าต่างเขากำลังยืนอยู่ในห้องเฝ้ามองนักพรตทำพิธี คนที่เป็นตัวการครั้งนี้คงจะเป็นเขาเองสินะเช่นนั้นคืนนี้นางคงต้องไปเยี่ยมเขาสักหน่อย เจิ้งซูอี้วางแผนเล่นงานหลิวฟู่เฉิงในใจ
กลางดึกหลังจากที่ทุกคนนอนหลับไปจนหมดแล้วเจิ้งซูอี้ก็พุ่งไปที่เรือนสกุลหลิว นางจุดกำยานยาสลบที่แอบซื้อเก็บเอาไว้ตอนเข้าเมืองที่หน้าต่างห้องของหลิวฟู่เฉิงนางนั่งรอสักพักให้ยาออกฤทธิ์จึงเจ้าไปในห้อง
เจิ้งซูอี้ใช้แสงจันทร์ด้านนอกที่ส่องมาทางหน้าต่างทำให้มองเห็นภายในห้องได้ดี ห้องที่ดูสะอาดสะอ้านถูกจัดเอาไว้อย่างดีมีตู้เสื้อผ้าโต๊ะเขียนหนังสือ แตกต่างจากห้องเล็กๆ ที่หลิวอันอันและครอบครัวต้องนอนรวมกันตอนอยู่ที่ตระกูลหลิว ที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ไม่ต่างจากห้องเก็บฟืนเลย ทั้งชื้นและเย็นตลอดทั้งปีไม่มีแดดส่องผ่าน เจิ้งซูอี้กระชากหลิวฟู่เฉิงที่นอนหลับไม่ได้สติเพราะฤทธิ์ของกำยานยาสลบ
นางประเคนกำปั้นไปที่เบ้าตาของเขาทั้งสองข้างทั้งยังตัดผมเขาจนแหว่งไปหลายที่จากนั้นจึงแบกเขามาทิ้งเอาไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่กลางหมู่บ้านแล้วจับเขาถอดเสื้อผ้าออกจนเปลือยล่อนจ้อน
เช้าวันต่อมาคนแรกที่เห็นหลิวฟู่เฉิงคือหญิงวัยกลางคนที่กำลังเปิดประตูหน้าเรือน
“กรี๊ด!!!ผะ..ผี!!ชีเปลือย”
นางกรีดร้องออกมาเสียงดังจนคนในบ้านต้องรีบวิ่งออกมาดู
“เกิดอะไรขึ้นเหตุใดถึงได้ร้องเสียงดังเช่นนี้”
นางชี้นิ้วอันสั่นเทาไปที่ร่างเปลือยเปล่านอนแผ่หราอยู่ไม่ไกล สามีของนางจึงหยิบไม้ไผ่ที่พิงอยู่ข้างรั้วค่อยๆ เดินเข้าไปดู เขาใช้ไม้ไผ่สะกิดร่างเปลือยเปล่าเบาๆ
หลิวฟู่เฉิงที่ไม่ได้ใส่อะไรเอาไว้เลยนอนแผ่หราอยู่กลางหมู่บ้านจึงค่อยๆ ได้สติกลับมา หลายคนที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงวัยกลางคนก็รีบวิ่งเข้ามาดูเช่นเดียวกัน ไม่มีใครจำได้ว่าเขาเป็นใครเพราะใบหน้าที่บวมช้ำเหมือนหัวหมูของเขา
เมื่อหลิวฟู่เฉิงฟื้นคืนสติเห็นสภาพของตนเองเขาก็ร้องโหยหวนออกมาดั่งหมูถูกเชือด ชาวบ้านบางคนที่อาศัยอยู่ใกล้เรือนสกุลหลิวจำเสียงของเขาได้จึงรีบไปตามให้คนสกุลหลิวมาดูเขาสักหน่อย
“แม่เฒ่าจางหลานชายของเจ้านอนเปลือยกายอยู่กลางหมู่บ้านแน่ะ รีบไปดูเขาเร็วเข้า”
แม่เฒ่าจางที่พึ่งตื่นก็รีบวิ่งตามคนข้างบ้านของนางไปทันที เมื่อไปถึงเขาก็เห็นหลานชายคนโปรดนั่งขดตัวอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่กลางหมู่บ้าน สภาพของเขาดูอเนจอนาถยิ่งนักนางรีบถอดชุดคลุมของตนออกมาห่มให้เขาทันที
“พวกเจ้ามุงดูอะไรกันแยกย้ายไปให้หมด”
แม่เฒ่าจางตวาดเสียงกร้าว ชาวบ้านที่มาดูเรื่องสนุกแต่เช้าได้แต่ถอยห่างให้นางพาหลานชายกลับเรือนของพวกเขาไป
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่เฉิงเอ๋อเหตุใดหลานถึงได้ไปนอนเปลือยกายอยู่ที่นั่น”
เมื่อกลับเข้ามาในเรือนแม่เฒ่าจางก็ซักถามหลิวฟู่เฉิงทันที
“ข้าไม่รู้”
หลิวฟู่เฉิงเอ่ยเสียงเบา เขาไม่รู้สึกตัวจริงๆ ว่าไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร เมื่อตื่นขึ้นมาเขาก็นอนเปลือยกายอยู่ที่นั่นแล้ว อีกทั้งใบหน้าของเขาที่รู้สึกเจ็บนั่นอีก แม่เฒ่าจางมองใบหน้าที่บวมปูดของหลานชายแล้วได้แต่นึกสงสาร นางให้จางซานเหนียงต้มไข่มาประคบให้เขาหลังจากที่หลิวฟู่เฉิงกลับเข้าห้องไป
“ท่านแม่คงไม่ใช่ว่าวิญญาณนั่นเล่นงานเฉิงเอ๋อเพราะเขาออกความคิดเรื่องพานักพรตมาที่นี่หรอกนะเจ้าคะ”
จางซานเหนียงถามแม่เฒ่าจางอย่างกล้าๆ กลัวๆ หลังจากออกมาจากห้องของหลิวฟู่เฉิงเพื่อนำไข่ต้มไปประคบลดบวมให้เขา
“อย่าพูดจาเหลวไหล”
แม่เฒ่าจางกลอกตามองไปรอบๆ ทั้งยังเอ็ดสะใภ้ใหญ่ของตน แม่สามีลูกสะใภ้กำลังคุยกันอยู่ในห้องครัวก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากห้องของหลิวฟู่เฉิง พวกนางรีบพุ่งไปที่นั่นทันที
“เฉิงเอ๋อเกิดอะไรขึ้น”
แม่เฒ่าจางไปถึงที่นั่นคนแรก มองหลิวฟู่เฉิงที่ดวงตาดำเป็นหมีแพนด้าทั้งสองข้างกำลังจับผมของตนเองอยู่
“ท่านย่าผมของข้า”
แม่เฒ่าจางถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ เรื่องนี้นางเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยเขาได้อย่างไรเช่นกัน หลังจากที่เกิดเรื่องกับหลิวฟู่เฉิงข่าวลือที่วิญญาณของหลิวตงเฟิงเฮี๊ยนมากขนาดไหนก็แพร่สะพัดออกไปถึงหมู่บ้านข้างเคียงเพราะนักพรตและผู้ช่วยของเขา เรื่องนี้ไม่มีผลกระทบกับครอบครัวของหลิวตงจวิ้นเพราะพวกเขากำลังมุ่งเก็บเงินเพื่อสร้างเรือนหลังใหม่ให้เสร็จก่อนที่ฤดูเหมันต์จะมาเยือน
หลิวฟู่เฉิงส่งหนังสือลาป่วยแบบไม่มีกำหนดไปที่สถานศึกษาเพราะต้องรอให้ผมของเขายาวเท่ากันเสียก่อน ถึงแม้เขาจะอยู่ที่เรือนสกุลหลิวแต่เขาก็ไม่ออกจากห้องมาพบปะผู้คน เพราะยังรู้สึกอับอายกับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ หากว่ามีใครถามหาเขาคนบ้านสกุลหลิวก็จะบอกว่าเขาเก็บตัวอ่านตำราเพื่อที่จะสอบฮุ่ยซื่อในปีหน้า
หลังจากวันนั้นคนสกุลหลิวก็เก็บตัวเงียบยิ่งกว่าเดิม เจิ้งซูอี้เลิกไปก่อกวนพวกเขาแล้วช่วงนี้นางกำลังยุ่งอยู่กับการฝึกฝนร่างกายตนเองและเจ้าเด็กน้อยที่คอยวิ่งตามนางไปทุกที่ ด้านหลิวตงจวิ้นก็ยังขึ้นเขาไปจับสัตว์ป่ากับอู๋เซียนเว่ยและบุตรชายเช่นเดิม อีกไม่นานเขาก็จะหมั้นหมายกับสตรีที่อยู่หมู่บ้านถัดไปเขาจึงต้องขยันยิ่งกว่าเดิม
ดวงตาดำขลับที่แสนลึกลับดั่งห้วงมหาสมุทรไร้ที่สิ้นสุดขององค์ชายห้าซีหยวนไห่หนานกำลังอ่านรายงานที่องครักษ์เงาส่งมา มุมปากยกยิ้มน้อยๆ บ่งบอกว่าเขากำลังอารมณ์ดี หลังจากอ่านเสร็จเขาก็พับกระดาษแผ่นนั้นเก็บเอาไว้ที่อกเสื้ออย่างดีดั่งของสำคัญ
“เหตุใดชีวิตของนางถึงได้มีเรื่องให้สนุกมากมายให้ทำไม่เว้นแต่ละวันนะ มีสตรีใดในแคว้นซีหยวนที่เป็นดั่งเช่นนางบ้าง”
แล้วในความคิดของเขาก็นึกถึงสตรีบางคนที่แวบเข้ามาในห้วงคำนึง นางเป็นอย่างไรบ้างนะตอนนี้หลังจากที่กลับมาที่หนานหยางแล้วนางสบายดีหรือไม่ อาการบาดเจ็บหายดีหรือยัง คำถามมากมายผุดเข้ามาในหัวของซีหยวนไห่หนาน เขาหยิบกระดาษและพู่กันเขียนบางอย่างลงไปจากนั้นจึงยื่นมันให้กับจื่อรุ่ย
ซีหยวนไห่หนานพูดอย่างอารมณ์ดีเพราะตอนนี้เจ้านกน้อยที่หลับใหลมาอย่างยาวนานได้ฟื้นคืนสติแล้ว เจิ้งซูอี้ยังไม่หลุดจากภวังค์นางพยายามเรียบเรียงเรื่องราวที่เขาบอกภายในหัว ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่องค์ชายห้าอีกต่อไปแล้วตอนนี้เขาคือรุ่ยอ๋อง นางหลับไปเพราะบาดเจ็บหนักถึงสิบห้าวัน แล้วครอบครัวของนางล่ะ“คนในครอบครัวของข้าเป็นอย่างไรบ้าง ศพพวกนั้นอีก”เจิ้งซูอี้เมื่อนึกขึ้นได้จึงรีบถามเขาอย่างร้อนรน นางไม่ต้องการให้ครอบครัวของนางต้องเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้“ศพพวกนั้นได้ถูกจัดการอย่างถูกต้องจากคนของทางการ บิดามารดาและน้องชายของเจ้าก็ปลอดภัยดีพวกเขายังอยู่ที่เดิมแต่ไม่ต้องห่วง ข้าจัดการตัวปัญหาของครอบครัวของเจ้าให้เจ้าเรียบร้อยแล้วเช่นกัน”จากนั้นซีหยวนไห่หน่านก็เล่าเรื่องราวหลังจากที่นางสลบไปให้ฟัง เจ้าหน้าที่ทางการเดินทางมาหมู่บ้านตระกูลสือเพื่อยืนยันศพที่นางสังหารและพบว่าพวกมันคือโจรตามใบประกาศจับที่ทางการต้องการตัวมาช้านานจากนั้นมีคนไปแจ้งเบาะแสว่าเห็นหลิวฟู่เฉิงติดต่อกับกลุ่มโจรเหล่านี้เขาจึงถูกจับตัวไป แม่เฒ่าจางเองก็ถูกจับไปข้อหารับเงินจากกลุ่มโจรเช่นกัน หลักฐานคือเงินหนึ่งร้อยตำลึงที่พบในเรือนข
เงาที่ถูกยิงส่งเสียงร้อง อึก!! เพียงเท่านั้นจากนั้นจึงล้มลง เงาเหล่านั้นเมื่อเห็นพรรคพวกของตนถูกสังหารพวกมันก็ตกใจหันรีหันขวางอย่างร้อนรน จากนั้นธนูดอกที่สองสามสี่ก็ตามมา เหล่าเงาที่ต้องการเข้าไปในเรือนของนางล้มลงไปกองที่พื้นดั่งใบไม้ร่วงซีหยวนไห่หนานกับเหล่าองครักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่อีกมุมหนึ่ง เพื่อเฝ้าดูว่าเจ้านกน้อยของเขาจะจัดการกับคนเหล่านั้นอย่างไร ท่าทางของเขาดูคึกคักจนออกนอกหน้าทำให้จื่อรุ่ยที่อยู่ด้านหลังแอบกลอกตาให้กับความสนุกที่ไม่ดูเวลาของเจ้านาย ไม่ยอมช่วยนางแล้วยังมาแอบดูอีก หากนางรู้เข้าคงเอาธนูนั่นยิงแสกหน้านายท่านแน่นอนลูกธนูสิบดอกของนางถูกยิงออกไปจนหมด เจิ้งซูอี้ทิ้งคันธนูไปจากนั้นจึงกระโดดลงมาจากต้นอู๋ถงประจันหน้ากับเงาเหล่านั้น นางดึงมีดสั้นออกมาจากเอวจากนั้นพุ่งเข้าใส่แขกที่ไม่ได้รับเชิญยามวิกาลพวกนี้ ดูเหมือนว่าในเหล่าชายฉกรรจ์พวกนั้นจะยังมีคนที่พอมีฝีมืออยู่บ้างเขาใช้ดาบใหญ่เข้าปะทะมีดสั้นของนาง ทั้งสองต่อสู้กันหลายกระบวนท่า เสียงการต่อสู้ของพวกเขาเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ชาวบ้านที่เข้านอนไปแล้วเริ่มออกจากเรือนมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เจิ้งซูอี้ใช้มีดสั้นฟันแขนของชายร่างให
“คุณชายขอรับท่านกำลังหาอะไรอยู่หรือ”จื่อรุ่ยเอ่ยถามจากทางด้านหลัง ซีหยวนไห่หนานหันกลับมามองเขา จากนั้นทำนิ้วประกบกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม“ข้าต้องการกล่องที่งดงามสักหน่อย ขนาดเท่านี้”จื่อรุ่ยเข้าใจในทันที เขาเดินออกไปด้านนอกสักพักจากนั้นกลับมาพร้อมกล่องไม้สลักลวดลายดอกไห่ถังบนฝากล่องยื่นให้ผู้เป็นนายดู“กล่องขนาดเท่านี้ได้หรือไม่ขอรับ”ซีหยวนไห่หนานรับกล่องมาดูจากนั้นนำหยกพกที่เอววางลงไป จื่อรุ่ยตกใจจนตาโตเขาไม่นึกว่าองค์ชายจะลงทุนยกหยกประจำตัวที่สลักคำว่าไห่หนานให้เป็นของขวัญแก่หญิงสาวชาวบ้านธรรมดา“คุณชายแน่ใจว่าจะใช้หยกนี้จริงๆ หรือขอรับ”จื่อรุ่ยถามนายเหนือหัวอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ซีหยวนไห่หนานพยักหน้าจื่อรุ่ยได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ ช่างเถอะ แม้แต่ฮ่องเต้ที่เป็นถึงผู้ครองแคว้นยังห้ามองค์ชายห้าผู้นี้มิได้ เขาที่เป็นเพียงองครักษ์เล็กๆ เท่านั้นจะทำได้อย่างไร หลิวซีฮันที่ยังยืนอยู่ในห้องมองคนนั้นทีคนนี้ทีแต่ก็ไม่มีใครสนใจเขา เมื่อรู้สึกเบื่อเขาจึงอุ้มเสี่ยวหลงเดินกลับเรือนไปหลังจากที่หลิวซีฮันกลับมาที่เรือนแล้ว จากนั้นไม่นานซีหยวนไห่หนานเองก็มาที่นี่ด้วยเช่นกัน ครอบครัวของหลิวตงจ
คนสกุลหลิวต่างตกใจไม่คิดว่าจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาเช่นนี้ อาหารการกินที่มีสำหรับพวกเขาสกุลหลิวยังแทบจะไม่พอ นี่ยังจะเพิ่มชายร่างใหญ่ผู้นี้เข้ามาอีกเห็นทีพวกเขาจะอยู่ไม่พ้นหน้าหนาวแน่“อาเฉิงหลานช่วยมาคุยกับย่าสักหน่อยได้หรือไม่”แม่เฒ่าจางเดินไปหาหลานชายอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะข้างกายเขามีชายร่างใหญ่เหมือนยักษ์ปักหลั่นยืนอยู่ แม่เฒ่าจางดึงแขนหลานชายเข้ามาคุยในห้องของนาง“เฉิงเอ๋อย่าไม่ว่าอะไรหรอกที่หลานจะมีผู้ติดตามเพราะอีกหน่อยหากหลานได้เป็นขุนนางในราชสำนักหลานจะมีคนติดตามมากมายแน่นอน แต่ตอนนี้ครอบครัวของเราเกรงว่าจะไม่สามารถเลี้ยงดูเขาได้....หลานช่วยคิดดูอีกครั้งได้หรือไม่”หลิวฟู่เฉิงนึกว่าแม่เฒ่าจางมีปัญญาหาเรื่องฟู่เถี่ยโถวที่ติดตามเขามาเสียอีกที่แท้ก็เรื่องเงิน หลิวฟู่เฉิงหยิบถุงเงินออกมาจากแขนเสื้อวางไว้ด้านหน้าของนาง“นี่คือเงินหนึ่งร้อยตำลึงขอรับท่านย่า ทีนี้คงไม่มีใครมีปัญหากับการที่ฟู่เถี่ยโถวอยู่ที่นี่แล้วนะขอรับ”หลิวฟู่เฉิงพูดกับแม่เฒ่าจางทั้งยังบอกผู้ที่แอบฟังอยู่นอกห้องให้รับรู้โดยทั่วกัน แม่เฒ่าจางรีบตะครุบถุงเงินทันที นางไม่เคยจับเงินมากมายเช่นนี้มาก่อนในชีวิต แม่เฒ่าจาง
“ฝากเจ้าไปขอบใจพี่ใหญ่แทนข้าด้วยนะ เมื่ออาเฉิงสอบได้จีว์เหรินเมื่อใดรับรองว่าตระกูลหลิวจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้แน่”นี่เป็นสิ่งที่จางเมิ่งเสวี่ยอยากได้ยิน เมื่อพี่ฟู่เฉิงสอบได้จีว์เหรินท่านปู่ก็จะมาคุยเรื่องแต่งงานของนางกับเขา ถึงแม้สองตระกูลจะรู้กันเรื่องนี้อยู่แล้วก็ตามแต่นางก็อยากประกาศให้ใครต่อใครรู้ว่าพี่ฟู่เฉิงเป็นของนาง แม่พวกดอกท้อที่หวังจะมาเป็นสะใภ้ตระกูลหลิวจะได้เลิกล้มความคิดนั้นซะจางเมิ่งเสวี่ยอยู่คุยกับแม่เฒ่าจางสักพัก เมื่อรู้ว่าวันนี้ตนไม่สามารถพบหน้าพี่ฟู่เฉิงได้นางจึงไม่อยากอยู่ต่อ จางเมิ่งเสวี่ยขอตัวลาแม่เฒ่าจางจากนั้นจึงเดินออกจากตระกูลหลิวไป นางเดินยังไม่ถึงหน้าหมู่บ้านสายตาก็ไปสะดุดบางสิ่งเข้า ชายหนุ่มรูปงามในชุดขาวกำลังยืนชมบรรยากาศยามเช้าที่กำลังมีหมอกลงหนาอย่างเพลิดเพลินเมื่อก่อนนางคิดว่าหลิวฟู่เฉิงเป็นบุรุษที่หล่อเหลาที่สุดเท่าที่นางเคยพบมา แต่หลังจากที่ได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้น หลิวฟู่เฉิงเทียบไม่ติดเลยสักนิดเดียว เหตุใดหมู่บ้านตระกูลสือถึงได้มีชายหนุ่มรูปงานเกลื่อนกลาดเช่นนี้จางเมิ่งเสวี่ยแสร้งเดินไปใกล้ชายหนุ่มผู้นั้นจากนั้นจึงแสร้งล้มลงใกล้ๆ กับที่
“นี่ท่านป้าสือท่านบอกว่าจะไปหาบ้านของชายหนุ่มมาให้ข้าเลือกไม่ใช่หรือ ผ่านไปหลายวันแล้วเหตุใดท่านยังไม่มาหาข้าสักที”หลิวตงจิ้นถามแม่สื่อแซ่สือที่ทำหน้าที่เป็นผู้หาบ้านชายหนุ่มหญิงสาวที่เหมาะสมให้แต่งงานกัน นางเป็นคนที่เชื่อถือได้ในหมู่บ้านตระกูลสือและหมู่บ้านใกล้เคียง หากถึงเวลาที่บุตรสาวหรือบุตรชายแต่งงานแล้วล่ะก็ไม่ว่าบ้านไหนก็ล้วนมาหานาง แม่สื่อสือที่อายุราวห้าสิบกว่าถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ“ไม่ใช่ว่าข้าไม่หา แต่ละแวกหมู่บ้านใกล้เคียงไม่มีใครต้องการแต่งงานกับบุตรสาวเจ้าเลยสักคน”หลิวตงจวิ้นขมวดคิ้วมุ่นด้วยท่าทางไม่เข้าใจ“ก็เรื่องที่บุตรสาวของเจ้ามีวิญญาณร้ายคอยตามติด บ้านฝ่ายชายบ้านไหนก็ไม่กล้าแต่งบุตรสาวเจ้าเข้ามาเป็นลูกสะใภ้ พวกเขาบอกว่ามันเป็นลางไม่ดี”แม่สื่อสืออธิบายเสียงอ่อย“เหลวไหลทั้งเพ ท่านไปได้ยินเรื่องพวกนี้มาจากที่ไหน”หลิวตงจวิ้นโพลงออกมาด้วยความโมโห จริงอยู่ที่บุตรสาวของเขาเคยฝันเห็นท่านพ่อของเขา แต่ท่านพ่อหาใช่วิญญาณร้ายอย่างที่พวกเขาลือกัน“จะที่ไหนซะอีกก็ทุกที่ที่ข้าไปน่ะสิ เรื่องของลูกสาวเจ้าเล่าลือกันไปหลายหมู่บ้านแล้วไม่รู้หรือ เห็นทีครั้งนี้ข้าคงจะช่วยเหลือเจ้







