LOGIN“ท่านพ่อท่านเดินนำไปก่อนเดี๋ยวข้าตามไป”
เจิ้งซูอี้พูดจบนางก็เดินเบี่ยงไปทางที่ได้ยินเสียง
“อันเอ๋อลูกกำลังจะไปไหน ระวังตัวด้วยนะ”
หลิวตงจวิ้นมองตามหลังบุตรสาวไปด้วยสายตาเป็นห่วง เขายังคงยืนรอนางอยู่ที่เดิมไม่ได้เดินนำไปก่อนตามที่นางต้องการ เจิ้งซูอี้เดินออกห่างจากหลิวตงจวิ้นไม่ไกลนางก็เห็นหมาป่าสีเทาตัวใหญ่กำลังนอนหายใจรวยริน ดูเหมือนก่อนหน้านี้มันจะต่อสู้กับสัตว์ตัวอื่นแล้วแพ้ทำให้ต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ เจิ้งซูอี้เห็นรอยเล็บบนท้องและตามลำตัวของมันได้อย่างชัดเจน
“แก...กำลังจะตายสินะ”
เจิ้งซูอี้มองบาดแผลฉกรรจ์ตามลำตัวของมันแล้วจึงมาสะดุดตาตรงส่วนท้องที่กำลังขยับไปมาเหมือนมีบางอย่างอยู่ข้างใน
“หรือว่าแก...กำลังท้องหรือ”
เจ้าหมาป่าเหมือนจะรู้ว่าเจิ้งซูอี้รู้แล้วว่ามันกำลังท้อง เสียงร้องงื๊ดๆ ของมันดังขึ้นถี่รัวเหมือนกำลังขอความช่วยเหลือ นางใช้มือลูบเบาๆ ตรงส่วนที่กำลังขยับ เมื่อผิวหนังของมันสัมผัสกับมือของนางบางสิ่งที่อยู่ด้านในก็ดิ้นแรงยิ่งกว่าเดิม
“ดูเหมือนว่าแกเองก็เป็นนักสู้เช่นเดียวกันกับแม่ของแกสินะ”
เจิ้งซูอี้รอจนหมาป่าตัวนั้นหมดลมหายใจ นางจึงใช้มีดสั้นพกกรีดไปที่หน้าท้องของมันอย่างระมัดระวัง หลังจากรอยกรีดเปิดออกเจิ้งซูอี้ก็ใช้มือคว้านด้านในหาสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่กำลังดิ้นรนเพื่อให้ตนเองรอดตาย นางดึงเอาร่างเล็กๆ หลายร่างของลูกหมาป่าออกมา บางตัวดูเหมือนจะตายตั้งแต่อยู่ในท้องอาจเป็นเพราะการต่อสู้ที่รุนแรงของแม่พวกมัน
ลูกหมาป่าหกตัวเหลือที่ยังมีชีวิตรอดเพียงตัวเดียว มันกำลังส่งเสียงร้องเบาๆ เจ้าตัวนี้เองก็อ่อนแรงมากเช่นกัน เจิ้งซูอี้ฉีกชุดของนางมาห่อเจ้าตัวเล็กเอาไว้จากนั้นกอดมันเพื่อให้ความอบอุ่น ทำให้ตัวของนางเต็มไปด้วยเลือดหมาป่า ฝนที่ตกลงมาเริ่มเบาลงน้ำฝนจึงไม่สามารถชำระล้างเลือดที่เปื้อนตัวนางได้หมด
เจิ้งซูอี้อยากจะขุดหลุมฝังพวกมันแต่นอนนี้นางไม่มีเวลามากขนาดนั้น เพราะฝนตกทำให้อากาศหนาวมากกว่าเดิมนางกลัวว่าลูกหมาป่าจะตายซะก่อน เจิ้งซูอี้ยกมือพนมให้ร่างแม่หมาป่าที่ทำเพื่อทายาทตัวสุดท้ายของมัน จากนั้นจึงเดินกลับมาทางเดิม
หลิวตงจวิ้นที่ยืนหลบฝนใต้ต้นไม้หันมองทางที่บุตรสาวเดินหายไปหลายครั้ง เมื่อเห็นร่างบางกลับมาพร้อมอุ้มบางสิ่งมาด้วยอีกทั้งเสื้อผ้าที่เปียกโชกของนางก็เปรอะไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ทำให้เขาตกใจแทบสิ้นสติ คิดว่าบุตรสาวตนเองได้รับบาดเจ็บ
“อันเอ๋อเกิดอะไรขึ้น เหตุใดเลือดออกมากมายเพียงนี้”
หลิวตงจวิ้นรีบวิ่งตรงไปที่เจิ้งซูอี้ทันที เขาจับนางหมุนไปมาเพื่อหาร่องรอยของบาดแผล
“ท่านพ่อไม่ใช่เลือดของข้าเจ้าค่ะ”
หลิวตงจวิ้นถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นจึงปล่อยนางให้เป็นอิสระ
“เช่นนั้นแล้วมันเกิดอะไรขึ้น พ่อเห็นว่าจู่ๆ ลูกก็เดินเบี่ยงไปอีกทางทำเช่นนี้มันอันตรายรู้หรือไม่”
หลิวตงจวิ้นอบรมบุตรสาวทันทีหลังจากที่รู้ว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บ เจิ้งซูอี้ส่งยิ้มแหยๆ ให้บิดา นางยื่นบางสิ่งในอ้อมแขนให้เขาดู
“ข้าได้ยินเสียงร้องเจ้าค่ะเลยอยากรู้ ด้านนั้นมีหมาป่าตัวใหญ่บาดเจ็บสาหัสและดูเหมือนว่ามันกำลังตั้งครรภ์ด้วยข้าผ่าท้องเพื่อช่วยลูกของมันแต่ลูกหมาป่าเองก็ตายเช่นกัน เหลือเจ้าตัวนี้ตัวเดียว”
หลิวตงจวิ้นถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ ช่วงนี้บุตรสาวของเขาชอบทำอะไรตามใจตนอยู่บ่อยครั้ง หรือว่านางจะโตจนมีความคิดเป็นของตนเองแล้วนะ
“เช่นนั้นแล้วลูกจะทำอย่างไรกับมัน”
หลิวตงจวิ้นถามบุตรสาว
“เราเลี้ยงมันเอาไว้ที่เรือนได้หรือไม่เจ้าคะ มันยังเป็นทารกอยู่เลย หากเราทิ้งมันเอาไว้กลางป่าไม่นานมันคงตายตามแม่และพี่น้องของมันไป ข้าส่งสารเจ้าตัวเล็กนี่เจ้าค่ะท่านพ่อ”
หลิวตงจวิ้นพยักหน้าอย่างเสียมิได้ ถึงเขาจะรู้ว่าหมาป่าโตมาจะอันตรายแค่ไหน แต่ดวงตากลมโตใสบริสุทธิ์ที่กำลังมองมาที่เขาอย่างคาดหวังทำให้เขาไม่กล้าที่จะปฏิเสธนาง
“เช่นนั้นก็รีบกลับเถอะ อยู่ที่นี่นานๆ ไม่ดีนักกลิ่นคาวเลือดของมันจะเรียกสัตว์ป่าตัวอื่นมา”
จากนั้นเจิ้งซูอี้และหลิวตงจวิ้นก็กลับลงเขาไป วันนี้พวกเขาไม่ได้อะไรติดมือกลับมานอกจากลูกหมาป่าที่ร้องเสียงเล็กๆ ด้วยท่าทางหิวโหย
“ตายแล้ว!!ท่านพี่อันเอ๋อเหตุใดถึงได้ฝ่าสายฝนกลับมาเช่นนี้รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วเข้า เดี๋ยวจะไม่สบาย”
แม่นางหวังมองสองพ่อลูกที่ตัวเปียกโชกด้วยอาการตกใจ นางรีบต้มน้ำร้อนให้พวกเขาทั้งสองคนอาบและต้มน้ำขิงให้สองพ่อลูกดื่มเพื่อขับไล่ความเย็นในร่างกาย
เจิ้งซูอี้กับหลิวตงจวิ้นทำตามที่แม่นางหวังสั่งอย่างเชื่อฟัง หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จนางก็กลับมาดูลูกหมาป่าอีกครั้ง หลิวซีฮันนั่งมองลูกหมาป่าที่กำลังดิ้นไปมาในห่อผ้าด้วยท่าทางสนใจ
“ท่านพี่ให้ข้าเป็นพี่ชายของมันได้หรือไม่”
หลิวซีฮันที่เห็นลูกหมาป่าตัวเล็กในอ้อมแขนของเจิ้งซูอี้ครั้งแรกเขาก็อยากเป็นพี่ชายให้มันทันที นางมองท่าทางตื่นเต้นของเด็กชายด้วยสายตาอ่อนโยน
“เช่นนั้นซีฮันก็เป็นพี่ชายแล้วก็ช่วยดูแลมันด้วยนะ”
หลิวซีฮันพยักหน้าขึ้นลงซ้ำๆ บอกว่าเขารับปากจะทำให้ดีที่สุด ตั้งแต่เกิดมาจนจำความได้หลิวซีฮันไม่เคยได้ออกไปเล่นกับเด็กในหมู่บ้านคนอื่นๆ เลยสักครั้ง เขาต้องทำงานช่วยแม่นางหวังกับหลิวอันอันที่เรือนตระกูลหลิวเพื่อแลกอาหารในแต่ละวัน
เด็กน้อยที่ไม่เคยมีเพื่อนมักจะเข้ากันได้ดีกับพวกไก่ที่เลี้ยงเอาไว้ เวลาหลิวซีฮันเดินไปที่เล่าพวกมันจะไม่ร้องกะต๊ากด้วยความตกใจ นางคิดว่าเด็กชายอาจจะเข้ากันได้ดีกับลูกหมาป่าตัวนี้แน่นอน
“ท่านพี่จะตั้งชื่อมันว่าอะไรดีขอรับ”
เจิ้งซูอี้นิ่งคิดเล็กน้อย
“ให้มันชื่อว่าเสี่ยวหลงดีหรือไม่ที่แปลว่ามังกร”
หลิวซีฮันตบมือด้วยความดีใจ เขากระโดดไปรอบๆ ห้องแล้วตะโกนชื่อเสี่ยวหลงๆ อยู่อย่างนั้น เจิ้งซูอี้มองเด็กชายด้วยสายตาเอ็นดู จะมีใครอยากเป็นพี่ชายของหมาป่าเหมือนเด็กคนนี้บ้างนะ
วันต่อมาท้องฟ้ายังคงมืดครึ้มฝนตกปรอยๆ ทำให้อากาศหนาวเย็นยิ่งกว่าเดิม เจิ้งซูอี้และหลิวตงจวิ้นจึงไม่ได้ขึ้นเขาล่าสัตว์เหมือนเช่นเคย นางจึงนอนหมกตัวอยู่ในผ้าห่มข้างๆ กันมีเจ้าลูกหมาป่าตัวเล็กที่กำลังหลับสบายอยู่ในห่อผ้าและหลิวซีฮันที่เล่นจนเหนื่อยไม่ยอมกลับห้องของตนนอนหลับอยู่ข้างๆ
เสียงพูดคุยเบาๆ ที่ดังอยู่ด้านนอกทำให้นางนึกสงสัยว่าฝนตกขนาดนี้ใครกันที่มีธุระมาที่เรือนของนาง เจิ้งซูอี้ลุกออกจากผ้าห่มจัดเสื้อผ้าที่ยับย่นของตนให้เข้าที่ นางหันมาห่มผ้าให้หลิวซีฮันจากนั้นจึงออกจากห้องไป
ภายในห้องโถงเล็กๆ มีร่างสูงโปร่งในชุดผ้าไหมกำลังนั่งอยู่ ท่าทางดูน่าเกรงขามของเขาทำให้หลิวตงจวิ้นและแม่นางหวังรู้สึกประหม่า แต่ชายหนุ่มเป็นแขกมาเยือนที่เรือนจึงจำต้องต้อนรับ
เขานั่งหลังตรงหันหลังให้เจิ้งซูอี้จิบชาราคาถูกที่แม่นางหวังนำมารินให้อย่างไม่นึกรังเกียจ เจิ้งซูอี้ไม่คิดว่าคนในครอบครัวของหลิวตงจวิ้นจะรู้จักคนระดับนี้ เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่เป็นผ้าไหมชั้นดีที่มีเพียงชนชั้นสูงในเมืองหลวงเท่านั้นที่ใส่กัน
อีกทั้งการแสดงออกของเขาก็บ่งบอกว่าต้องได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดีตั้งแต่ยังเยาว์ บุรุษผู้นี้เป็นใครกันเจิ้งซูอี้ยืนพินิจชายหนุ่มที่มาเยือนเรือนของนางอยู่เงียบๆ แต่แล้วเขากลับหันหลังโดยที่นางไม่ทันได้ตั้งตัว เจิ้งซูอี้ตกตะลึงจนหาเสียงของตนไม่เจอเมื่อได้เห็นใบหน้าของชายผู้นั้นอย่างชัดเจน
ซีหยวนไห่หนานพูดอย่างอารมณ์ดีเพราะตอนนี้เจ้านกน้อยที่หลับใหลมาอย่างยาวนานได้ฟื้นคืนสติแล้ว เจิ้งซูอี้ยังไม่หลุดจากภวังค์นางพยายามเรียบเรียงเรื่องราวที่เขาบอกภายในหัว ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่องค์ชายห้าอีกต่อไปแล้วตอนนี้เขาคือรุ่ยอ๋อง นางหลับไปเพราะบาดเจ็บหนักถึงสิบห้าวัน แล้วครอบครัวของนางล่ะ“คนในครอบครัวของข้าเป็นอย่างไรบ้าง ศพพวกนั้นอีก”เจิ้งซูอี้เมื่อนึกขึ้นได้จึงรีบถามเขาอย่างร้อนรน นางไม่ต้องการให้ครอบครัวของนางต้องเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้“ศพพวกนั้นได้ถูกจัดการอย่างถูกต้องจากคนของทางการ บิดามารดาและน้องชายของเจ้าก็ปลอดภัยดีพวกเขายังอยู่ที่เดิมแต่ไม่ต้องห่วง ข้าจัดการตัวปัญหาของครอบครัวของเจ้าให้เจ้าเรียบร้อยแล้วเช่นกัน”จากนั้นซีหยวนไห่หน่านก็เล่าเรื่องราวหลังจากที่นางสลบไปให้ฟัง เจ้าหน้าที่ทางการเดินทางมาหมู่บ้านตระกูลสือเพื่อยืนยันศพที่นางสังหารและพบว่าพวกมันคือโจรตามใบประกาศจับที่ทางการต้องการตัวมาช้านานจากนั้นมีคนไปแจ้งเบาะแสว่าเห็นหลิวฟู่เฉิงติดต่อกับกลุ่มโจรเหล่านี้เขาจึงถูกจับตัวไป แม่เฒ่าจางเองก็ถูกจับไปข้อหารับเงินจากกลุ่มโจรเช่นกัน หลักฐานคือเงินหนึ่งร้อยตำลึงที่พบในเรือนข
เงาที่ถูกยิงส่งเสียงร้อง อึก!! เพียงเท่านั้นจากนั้นจึงล้มลง เงาเหล่านั้นเมื่อเห็นพรรคพวกของตนถูกสังหารพวกมันก็ตกใจหันรีหันขวางอย่างร้อนรน จากนั้นธนูดอกที่สองสามสี่ก็ตามมา เหล่าเงาที่ต้องการเข้าไปในเรือนของนางล้มลงไปกองที่พื้นดั่งใบไม้ร่วงซีหยวนไห่หนานกับเหล่าองครักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่อีกมุมหนึ่ง เพื่อเฝ้าดูว่าเจ้านกน้อยของเขาจะจัดการกับคนเหล่านั้นอย่างไร ท่าทางของเขาดูคึกคักจนออกนอกหน้าทำให้จื่อรุ่ยที่อยู่ด้านหลังแอบกลอกตาให้กับความสนุกที่ไม่ดูเวลาของเจ้านาย ไม่ยอมช่วยนางแล้วยังมาแอบดูอีก หากนางรู้เข้าคงเอาธนูนั่นยิงแสกหน้านายท่านแน่นอนลูกธนูสิบดอกของนางถูกยิงออกไปจนหมด เจิ้งซูอี้ทิ้งคันธนูไปจากนั้นจึงกระโดดลงมาจากต้นอู๋ถงประจันหน้ากับเงาเหล่านั้น นางดึงมีดสั้นออกมาจากเอวจากนั้นพุ่งเข้าใส่แขกที่ไม่ได้รับเชิญยามวิกาลพวกนี้ ดูเหมือนว่าในเหล่าชายฉกรรจ์พวกนั้นจะยังมีคนที่พอมีฝีมืออยู่บ้างเขาใช้ดาบใหญ่เข้าปะทะมีดสั้นของนาง ทั้งสองต่อสู้กันหลายกระบวนท่า เสียงการต่อสู้ของพวกเขาเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ชาวบ้านที่เข้านอนไปแล้วเริ่มออกจากเรือนมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เจิ้งซูอี้ใช้มีดสั้นฟันแขนของชายร่างให
“คุณชายขอรับท่านกำลังหาอะไรอยู่หรือ”จื่อรุ่ยเอ่ยถามจากทางด้านหลัง ซีหยวนไห่หนานหันกลับมามองเขา จากนั้นทำนิ้วประกบกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม“ข้าต้องการกล่องที่งดงามสักหน่อย ขนาดเท่านี้”จื่อรุ่ยเข้าใจในทันที เขาเดินออกไปด้านนอกสักพักจากนั้นกลับมาพร้อมกล่องไม้สลักลวดลายดอกไห่ถังบนฝากล่องยื่นให้ผู้เป็นนายดู“กล่องขนาดเท่านี้ได้หรือไม่ขอรับ”ซีหยวนไห่หนานรับกล่องมาดูจากนั้นนำหยกพกที่เอววางลงไป จื่อรุ่ยตกใจจนตาโตเขาไม่นึกว่าองค์ชายจะลงทุนยกหยกประจำตัวที่สลักคำว่าไห่หนานให้เป็นของขวัญแก่หญิงสาวชาวบ้านธรรมดา“คุณชายแน่ใจว่าจะใช้หยกนี้จริงๆ หรือขอรับ”จื่อรุ่ยถามนายเหนือหัวอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ซีหยวนไห่หนานพยักหน้าจื่อรุ่ยได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ ช่างเถอะ แม้แต่ฮ่องเต้ที่เป็นถึงผู้ครองแคว้นยังห้ามองค์ชายห้าผู้นี้มิได้ เขาที่เป็นเพียงองครักษ์เล็กๆ เท่านั้นจะทำได้อย่างไร หลิวซีฮันที่ยังยืนอยู่ในห้องมองคนนั้นทีคนนี้ทีแต่ก็ไม่มีใครสนใจเขา เมื่อรู้สึกเบื่อเขาจึงอุ้มเสี่ยวหลงเดินกลับเรือนไปหลังจากที่หลิวซีฮันกลับมาที่เรือนแล้ว จากนั้นไม่นานซีหยวนไห่หนานเองก็มาที่นี่ด้วยเช่นกัน ครอบครัวของหลิวตงจ
คนสกุลหลิวต่างตกใจไม่คิดว่าจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาเช่นนี้ อาหารการกินที่มีสำหรับพวกเขาสกุลหลิวยังแทบจะไม่พอ นี่ยังจะเพิ่มชายร่างใหญ่ผู้นี้เข้ามาอีกเห็นทีพวกเขาจะอยู่ไม่พ้นหน้าหนาวแน่“อาเฉิงหลานช่วยมาคุยกับย่าสักหน่อยได้หรือไม่”แม่เฒ่าจางเดินไปหาหลานชายอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะข้างกายเขามีชายร่างใหญ่เหมือนยักษ์ปักหลั่นยืนอยู่ แม่เฒ่าจางดึงแขนหลานชายเข้ามาคุยในห้องของนาง“เฉิงเอ๋อย่าไม่ว่าอะไรหรอกที่หลานจะมีผู้ติดตามเพราะอีกหน่อยหากหลานได้เป็นขุนนางในราชสำนักหลานจะมีคนติดตามมากมายแน่นอน แต่ตอนนี้ครอบครัวของเราเกรงว่าจะไม่สามารถเลี้ยงดูเขาได้....หลานช่วยคิดดูอีกครั้งได้หรือไม่”หลิวฟู่เฉิงนึกว่าแม่เฒ่าจางมีปัญญาหาเรื่องฟู่เถี่ยโถวที่ติดตามเขามาเสียอีกที่แท้ก็เรื่องเงิน หลิวฟู่เฉิงหยิบถุงเงินออกมาจากแขนเสื้อวางไว้ด้านหน้าของนาง“นี่คือเงินหนึ่งร้อยตำลึงขอรับท่านย่า ทีนี้คงไม่มีใครมีปัญหากับการที่ฟู่เถี่ยโถวอยู่ที่นี่แล้วนะขอรับ”หลิวฟู่เฉิงพูดกับแม่เฒ่าจางทั้งยังบอกผู้ที่แอบฟังอยู่นอกห้องให้รับรู้โดยทั่วกัน แม่เฒ่าจางรีบตะครุบถุงเงินทันที นางไม่เคยจับเงินมากมายเช่นนี้มาก่อนในชีวิต แม่เฒ่าจาง
“ฝากเจ้าไปขอบใจพี่ใหญ่แทนข้าด้วยนะ เมื่ออาเฉิงสอบได้จีว์เหรินเมื่อใดรับรองว่าตระกูลหลิวจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้แน่”นี่เป็นสิ่งที่จางเมิ่งเสวี่ยอยากได้ยิน เมื่อพี่ฟู่เฉิงสอบได้จีว์เหรินท่านปู่ก็จะมาคุยเรื่องแต่งงานของนางกับเขา ถึงแม้สองตระกูลจะรู้กันเรื่องนี้อยู่แล้วก็ตามแต่นางก็อยากประกาศให้ใครต่อใครรู้ว่าพี่ฟู่เฉิงเป็นของนาง แม่พวกดอกท้อที่หวังจะมาเป็นสะใภ้ตระกูลหลิวจะได้เลิกล้มความคิดนั้นซะจางเมิ่งเสวี่ยอยู่คุยกับแม่เฒ่าจางสักพัก เมื่อรู้ว่าวันนี้ตนไม่สามารถพบหน้าพี่ฟู่เฉิงได้นางจึงไม่อยากอยู่ต่อ จางเมิ่งเสวี่ยขอตัวลาแม่เฒ่าจางจากนั้นจึงเดินออกจากตระกูลหลิวไป นางเดินยังไม่ถึงหน้าหมู่บ้านสายตาก็ไปสะดุดบางสิ่งเข้า ชายหนุ่มรูปงามในชุดขาวกำลังยืนชมบรรยากาศยามเช้าที่กำลังมีหมอกลงหนาอย่างเพลิดเพลินเมื่อก่อนนางคิดว่าหลิวฟู่เฉิงเป็นบุรุษที่หล่อเหลาที่สุดเท่าที่นางเคยพบมา แต่หลังจากที่ได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้น หลิวฟู่เฉิงเทียบไม่ติดเลยสักนิดเดียว เหตุใดหมู่บ้านตระกูลสือถึงได้มีชายหนุ่มรูปงานเกลื่อนกลาดเช่นนี้จางเมิ่งเสวี่ยแสร้งเดินไปใกล้ชายหนุ่มผู้นั้นจากนั้นจึงแสร้งล้มลงใกล้ๆ กับที่
“นี่ท่านป้าสือท่านบอกว่าจะไปหาบ้านของชายหนุ่มมาให้ข้าเลือกไม่ใช่หรือ ผ่านไปหลายวันแล้วเหตุใดท่านยังไม่มาหาข้าสักที”หลิวตงจิ้นถามแม่สื่อแซ่สือที่ทำหน้าที่เป็นผู้หาบ้านชายหนุ่มหญิงสาวที่เหมาะสมให้แต่งงานกัน นางเป็นคนที่เชื่อถือได้ในหมู่บ้านตระกูลสือและหมู่บ้านใกล้เคียง หากถึงเวลาที่บุตรสาวหรือบุตรชายแต่งงานแล้วล่ะก็ไม่ว่าบ้านไหนก็ล้วนมาหานาง แม่สื่อสือที่อายุราวห้าสิบกว่าถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ“ไม่ใช่ว่าข้าไม่หา แต่ละแวกหมู่บ้านใกล้เคียงไม่มีใครต้องการแต่งงานกับบุตรสาวเจ้าเลยสักคน”หลิวตงจวิ้นขมวดคิ้วมุ่นด้วยท่าทางไม่เข้าใจ“ก็เรื่องที่บุตรสาวของเจ้ามีวิญญาณร้ายคอยตามติด บ้านฝ่ายชายบ้านไหนก็ไม่กล้าแต่งบุตรสาวเจ้าเข้ามาเป็นลูกสะใภ้ พวกเขาบอกว่ามันเป็นลางไม่ดี”แม่สื่อสืออธิบายเสียงอ่อย“เหลวไหลทั้งเพ ท่านไปได้ยินเรื่องพวกนี้มาจากที่ไหน”หลิวตงจวิ้นโพลงออกมาด้วยความโมโห จริงอยู่ที่บุตรสาวของเขาเคยฝันเห็นท่านพ่อของเขา แต่ท่านพ่อหาใช่วิญญาณร้ายอย่างที่พวกเขาลือกัน“จะที่ไหนซะอีกก็ทุกที่ที่ข้าไปน่ะสิ เรื่องของลูกสาวเจ้าเล่าลือกันไปหลายหมู่บ้านแล้วไม่รู้หรือ เห็นทีครั้งนี้ข้าคงจะช่วยเหลือเจ้







