LOGIN“อันเอ๋อกลับมาแล้วหรือ เหตุใดวันนี้กลับช้ากว่าทุกทีเล่าแม่เป็นห่วงรู้หรือไม่”
แม่นางหวังเดินไปเดินมามองทางเข้าหมู่บ้านหลายครั้งเพราะเป็นห่วงกลัวว่าบุตรสาวของตนจะเกิดอันตรายขึ้นระหว่างทาง เจิ้งซูอี้ส่งยิ้มตาหยีให้นาง
“ข้าไปช่วยคนลำบากมาเจ้าค่ะ นี่เป็นเงินตอบแทนที่พวกเขาให้มา”
เจิ้งซูอี้หยิบตั๋วเงินห้าสิบตำลึงวางลงบนมือแม่นางหวัง นางเบิกตาโตด้วยความตกใจ
“เหตุใดเขาถึงได้ให้เงินมามากมายเพียงนี้”
ยังไม่ทันที่จะได้ซักถามนางหลิวตงจวิ้นก็เดินมาพอดี
“กลับมาแล้วหรืออันเอ๋อ”
นางพยักหน้ารับจากนั้นจึงเลี่ยงไปอีกทางให้ห่างจากแม่นางหวัง นางกลัวว่าท่านแม่ของหลิวอันอันจะซักถามจนนางไม่สามารถไปต่อได้ ช่างลำบากยิ่งนักเพราะนางโกหกไม่เก่ง การโกหกเป็นเรื่องยากสำหรับคนดีอย่างนางจริงๆ
หากให้เจ้าโง่สี่คนนั้นมาได้ยินความคิดของเจิ้งซูอี้พวกเขาจะต้องคุกเข่าคารวะแล้วตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า แม่นางแม้แต่เรื่องโกหกท่านก็ยังโกหกออกมาได้อย่างนั้นหรือ แล้วคนเลวธรรมดาอย่างพวกเขาจะสู้คนดีอำมหิตอย่างแม่นางได้อย่างไร
ผ่านไปหลายวันหลิวฟู่เฉิงถูกปล่อยตัวจากหอหยกงามเรื่องน่าอายพวกนี้เขาจะปล่อยให้ผู้ใดรู้ไม่ได้ หลิวฟู่เฉิงจึงไม่ได้กลับมาที่เรือนสกุลหลิวอีกเขาส่งเพียงจดหมายมาหาแม่เฒ่าจางบอกว่ากำลังท่องตำราอยู่กับสหายไม่มีเวลากลับมาที่นี่
เรื่องที่เขาจะกลับมาหรือไม่ไม่ใช่เรื่องที่เจิ้งซูอี้ให้ความสนใจ แต่ที่นางรู้สึกแปลกใจคือเรือนที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากเรือนของนางมีคนเข้าอยู่ ในความทรงจำของหลิวอันอันเรือนหลังนี้เป็นเรือนของญาติห่างๆ ของหัวหน้าหมู่บ้าน พวกเขาย้ายเข้าไปอยู่ในอำเภอหลิงจือนานแล้ว เรือนหลังนั้นจึงถูกปล่อยทิ้งร้างเอาไว้ถึงสองปี
แต่วันนี้กลับมีคนเข้ามาทำความสะอาดซ่อมแซมเรือนหลังนั้นอีกครั้ง หรือว่าญาติของหัวหน้าหมู่บ้านจะขายเรือนหลังนั้นให้ผู้อื่นไปแล้วนะ เจิ้งซูอี้มองไปที่เรือนหลังนั้นด้วยความสงสัย
ผ่านไปอีกครึ่งเดือนบ้านสี่ห้องนอนหนึ่งห้องโถงและหนึ่งห้องครัวที่ทำจากอิฐมุงหลังคาด้วยกระเบื้องของหลิวตงจวิ้นก็เสร็จสิ้น เงินหนึ่งร้อยตำลึงที่เขาเก็บสะสมมาเกือบจะไม่พอ ต้องขอบคุณเงินห้าสิบตำลึงที่เจิ้งซูอี้ได้มาก่อนหน้านี้ทำให้พวกเขาสามารถล้อมรั้วและขุดบ่อน้ำได้ด้วย
ช่วงที่บ้านของหลิวตงจวิ้นสร้างเสร็จเรือนที่อยู่ใกล้กันก็ต่อเติมเสร็จพอดีในวันเดียวกัน เจิ้งซูอี้เลิกคิ้วมองด้วยความสนใจนี่มันจะไม่บังเอิญไปหน่อยหรือ
“ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านรู้หรือยังว่าใครเป็นผู้ที่จะมาอยู่เรือนหลังนั้น”
หลิวตงจวิ้นเอียงหัวอย่างครุ่นคิด
“ได้ยินหัวหน้าหมู่บ้านบอกว่าเป็นพ่อค้าที่มาจากเมืองหลวงเขาซื้อเรือนหลังนั้นเอาไว้พักระหว่างเดินทางเพราะเขาไม่ชอบนอนโรงเตี๊ยม”
เจิ้งซูอี้ยิ่งขมวดคิ้วหนักยิ่งกว่าเดิม หากต้องการซื้อเรือนเพื่อใช้อาศัยพักระหว่างเดินทาง เหตุใดไม่ไปซื้อเรือนที่อยู่ในอำเภอหรือไม่ก็เรือนที่อยู่ในหมู่บ้านที่อยู่ใกล้อำเภอเล่า ที่นี่ห่างจากตัวอำเภอ หลิงจือตั้งยี่สิบลี้ถนนหนทางเองก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น เขามีเหตุผลอะไรถึงต้องเลือกที่นี่
เจิ้งซูอี้รู้สึกไม่สบายใจกับสมาชิกใหม่ของหมู่บ้าน นางมองพวกเขาที่กำลังขนโต๊ะเก้าอี้เข้าเรือนอยู่ห่างๆ สุดท้ายมองอยู่นานเหมือนจะไม่ได้ข้อมูลอะไรนางจึงเลิกสนใจพวกเขาแล้วกลับมาทำความสะอาดห้องใหม่ของตนเอง
“ท่านพี่ข้ามีห้องส่วนตัวแล้ว”
หลิวซีฮันวิ่งมาอวดเจิ้งซูอี้ระหว่างที่นางกำลังทำความสะอาดห้อง โชคดีที่นายช่างที่สร้างบ้านเห็นว่าเรือนของพวกนางไม่มีโต๊ะเก้าอี้หรือเตียงนอน มีเพียงไม้กระดานที่ใช้ปูนอนเท่านั้นพวกเขาจึงทำเตียงและโต๊ะกินข้าวให้พวกนางโดยที่ไม่ได้คิดเงิน แต่ภายในห้องนอนยังขาดตู้เสื้อผ้ากับโต๊ะเอาไว้วางของอยู่ เจิ้งซูอี้วางแผนขึ้นเขาล่าสัตว์อีกครั้ง ที่ตัวนางมีสิบตำลึงเหลือจากการขายหลิวฟู่เฉิงให้หอหยกงาม นางจะเก็บเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน
หลังจากที่คนพวกนั้นย้ายเข้ามาอยู่ที่เรือนข้างกัน นางก็รู้สึกว่าตนเองถูกจับตามอง ไม่ว่านางทำอะไรก็เหมือนมีสายตาของใครบางคนคอยติดตามนางไปทุกที่ มันทำให้นางรู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจ
เช้าตรู่ในอีกหลายวันต่อมา อากาศยามเช้าเริ่มเย็นลงแต่เจิ้งซูอี้ที่ตื่นเช้าจนเคยชินได้ปลุกให้หลิวซีฮันลุกขึ้นมาฝึกมวยอย่างที่เคยทำเป็นประจำเพื่อให้ร่างกายของเขาจดจำท่วงท่าให้ซึมลึกไปจนถึงกระดูกเช่นเดียวกับนาง ทุกท่วงท่าการร่ายรำของนางสร้างความตกใจให้ใครบางคนที่ลงทุนย้ายมาอยู่ที่นี่เพราะต้องการดูเรื่องสนุก
ไม่นึกเลยว่านอกจากเขาและบุตรสาวของแม่ทัพเจิ้งจะยังมีคนที่ฝึกมวยด้วยท่าเดียวกันอยู่อีก ดูเหมือนเด็กสาวคนนี้จะมีความลับมากมายจนเขาเองยังนึกแปลกใจ องค์ชายห้าซีหยวนไห่หนานเฝ้ามองกิจวัตรของเจิ้งซูอี้อยู่ห่างๆ ด้วยความเพลิดเพลิน เพราะอย่างนั้นนางจึงได้รู้สึกว่ามีใครบางคนแอบมองนางอยู่
“ใครคืออาจารย์ของนางกันนะ”
ซีหยวนไห่หนานหมุนจอกชาในมือเล่นท่าทางครุ่นคิด จื่อรุ่ยองครักษ์ที่เติบโตมาข้างกายองค์ชายห้ารู้สึกว่านายเหนือหัวของเขาดูแปลกไป เขาดูหมกมุ่นกับเด็กสาวชาวบ้านผู้นี้นัก ถึงขั้นย้ายที่พักมาอยู่ในหมู่บ้านห่างไกลและกันดารเช่นนี้
แต่จะว่าไปหลังจากที่ได้เห็นนางแก้แค้นลูกผู้พี่ของนางแล้วเขาเองก็รู้สึกอึ้งจนพูดไม่ออก จะมีสตรีคนไหนในแคว้นนี้กระทำตนเหมือนดั่งเช่นนางบ้างดูเหมือนจะไม่มี แม้แต่คุณหนูเจิ้งผู้นั้นที่เป็นคู่ปรับขององค์ชายของเขานางยังกระทำการดูมีขอบเขตไม่บุกทะลวงตาต่อตาฟันต่อฟันเช่นนาง
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้วเจิ้งซูอี้ก็ขึ้นเขาไปกับหลิวตงจวิ้น วันนี้อู๋เซียนเว่ยและบุตรชายไม่ได้มาด้วยเพราะพวกเขาต้องอยู่คุยกับแม่สื่อเรื่องการหมั้นหมายระหว่างบุตรชายคนโตของเขาและสตรีต่างหมู่บ้าน
วันนี้พวกเขาพ่อลูกเข้าไปในหุบเขาที่ลึกกว่าทุกครั้งเพราะดูเหมือนว่าจะไม่มีสัตว์ตัวไหนหลงเข้ามาติดกับดักที่ทำเอาไว้เลย หาเป็นเช่นนี้ต่อไปต่อให้มืดแล้วพวกเขาก็คงไม่ได้อะไรติดมือกลับไปแน่ แต่แล้วจู่ๆ ก็เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง ฟ้าที่สว่างโร่กลับมืดครึ้มด้วยกลุ่มก้อนเมฆสีดำอย่างรวดเร็ว จากนั้นไม่นานฝนห่าใหญ่ก็เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สองพ่อลูกต้องรีบวิ่งหลบฝนใต้ต้นไม้กันเป็นจ้าละหวั่น
“ท่านพ่อข้าว่าพวกเราอาจจะต้องกลับไปมือเปล่าซะแล้วล่ะ เหตุใดวันนี้อากาศถึงได้เป็นเช่นนี้นะ”
เจิ้งซูอี้สบถออกมาเบาๆ อย่างหัวเสีย หลิวตงจวิ้นพยักหน้า
“ไม่เป็นไรวันนี้ไม่ได้อะไรพรุ่งนี้เราค่อยมาลองใหม่”
ผ่านไปกว่าชั่วยามฝนที่ตกหนักก็เริ่มซาลง พวกเขาพ่อลูกค่อยๆ เดินออกจากใต้ต้นไม้ที่ใช้หลบฝนบ่ายหน้ากลับทางเดิมที่ตนจากมา ระหว่างที่ทั้งสองเร่งเดินลงเขาด้วยร่างกายที่เปียกปอน เจิ้งซูอี้เหมือนจะได้ยินเสียงบางอย่างร้องดังอยู่ไม่ไกลนางจึงหยุดเพื่อเงี่ยหูฟัง เพราะเสียงฝนที่ตกกระทบใบไม้ดังเปาะแปะทำให้ไม่ได้ยินชัดเจน นางจึงเดินไปดูด้วยความสงสัย
ซีหยวนไห่หนานพูดอย่างอารมณ์ดีเพราะตอนนี้เจ้านกน้อยที่หลับใหลมาอย่างยาวนานได้ฟื้นคืนสติแล้ว เจิ้งซูอี้ยังไม่หลุดจากภวังค์นางพยายามเรียบเรียงเรื่องราวที่เขาบอกภายในหัว ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่องค์ชายห้าอีกต่อไปแล้วตอนนี้เขาคือรุ่ยอ๋อง นางหลับไปเพราะบาดเจ็บหนักถึงสิบห้าวัน แล้วครอบครัวของนางล่ะ“คนในครอบครัวของข้าเป็นอย่างไรบ้าง ศพพวกนั้นอีก”เจิ้งซูอี้เมื่อนึกขึ้นได้จึงรีบถามเขาอย่างร้อนรน นางไม่ต้องการให้ครอบครัวของนางต้องเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้“ศพพวกนั้นได้ถูกจัดการอย่างถูกต้องจากคนของทางการ บิดามารดาและน้องชายของเจ้าก็ปลอดภัยดีพวกเขายังอยู่ที่เดิมแต่ไม่ต้องห่วง ข้าจัดการตัวปัญหาของครอบครัวของเจ้าให้เจ้าเรียบร้อยแล้วเช่นกัน”จากนั้นซีหยวนไห่หน่านก็เล่าเรื่องราวหลังจากที่นางสลบไปให้ฟัง เจ้าหน้าที่ทางการเดินทางมาหมู่บ้านตระกูลสือเพื่อยืนยันศพที่นางสังหารและพบว่าพวกมันคือโจรตามใบประกาศจับที่ทางการต้องการตัวมาช้านานจากนั้นมีคนไปแจ้งเบาะแสว่าเห็นหลิวฟู่เฉิงติดต่อกับกลุ่มโจรเหล่านี้เขาจึงถูกจับตัวไป แม่เฒ่าจางเองก็ถูกจับไปข้อหารับเงินจากกลุ่มโจรเช่นกัน หลักฐานคือเงินหนึ่งร้อยตำลึงที่พบในเรือนข
เงาที่ถูกยิงส่งเสียงร้อง อึก!! เพียงเท่านั้นจากนั้นจึงล้มลง เงาเหล่านั้นเมื่อเห็นพรรคพวกของตนถูกสังหารพวกมันก็ตกใจหันรีหันขวางอย่างร้อนรน จากนั้นธนูดอกที่สองสามสี่ก็ตามมา เหล่าเงาที่ต้องการเข้าไปในเรือนของนางล้มลงไปกองที่พื้นดั่งใบไม้ร่วงซีหยวนไห่หนานกับเหล่าองครักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่อีกมุมหนึ่ง เพื่อเฝ้าดูว่าเจ้านกน้อยของเขาจะจัดการกับคนเหล่านั้นอย่างไร ท่าทางของเขาดูคึกคักจนออกนอกหน้าทำให้จื่อรุ่ยที่อยู่ด้านหลังแอบกลอกตาให้กับความสนุกที่ไม่ดูเวลาของเจ้านาย ไม่ยอมช่วยนางแล้วยังมาแอบดูอีก หากนางรู้เข้าคงเอาธนูนั่นยิงแสกหน้านายท่านแน่นอนลูกธนูสิบดอกของนางถูกยิงออกไปจนหมด เจิ้งซูอี้ทิ้งคันธนูไปจากนั้นจึงกระโดดลงมาจากต้นอู๋ถงประจันหน้ากับเงาเหล่านั้น นางดึงมีดสั้นออกมาจากเอวจากนั้นพุ่งเข้าใส่แขกที่ไม่ได้รับเชิญยามวิกาลพวกนี้ ดูเหมือนว่าในเหล่าชายฉกรรจ์พวกนั้นจะยังมีคนที่พอมีฝีมืออยู่บ้างเขาใช้ดาบใหญ่เข้าปะทะมีดสั้นของนาง ทั้งสองต่อสู้กันหลายกระบวนท่า เสียงการต่อสู้ของพวกเขาเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ชาวบ้านที่เข้านอนไปแล้วเริ่มออกจากเรือนมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เจิ้งซูอี้ใช้มีดสั้นฟันแขนของชายร่างให
“คุณชายขอรับท่านกำลังหาอะไรอยู่หรือ”จื่อรุ่ยเอ่ยถามจากทางด้านหลัง ซีหยวนไห่หนานหันกลับมามองเขา จากนั้นทำนิ้วประกบกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม“ข้าต้องการกล่องที่งดงามสักหน่อย ขนาดเท่านี้”จื่อรุ่ยเข้าใจในทันที เขาเดินออกไปด้านนอกสักพักจากนั้นกลับมาพร้อมกล่องไม้สลักลวดลายดอกไห่ถังบนฝากล่องยื่นให้ผู้เป็นนายดู“กล่องขนาดเท่านี้ได้หรือไม่ขอรับ”ซีหยวนไห่หนานรับกล่องมาดูจากนั้นนำหยกพกที่เอววางลงไป จื่อรุ่ยตกใจจนตาโตเขาไม่นึกว่าองค์ชายจะลงทุนยกหยกประจำตัวที่สลักคำว่าไห่หนานให้เป็นของขวัญแก่หญิงสาวชาวบ้านธรรมดา“คุณชายแน่ใจว่าจะใช้หยกนี้จริงๆ หรือขอรับ”จื่อรุ่ยถามนายเหนือหัวอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ซีหยวนไห่หนานพยักหน้าจื่อรุ่ยได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ ช่างเถอะ แม้แต่ฮ่องเต้ที่เป็นถึงผู้ครองแคว้นยังห้ามองค์ชายห้าผู้นี้มิได้ เขาที่เป็นเพียงองครักษ์เล็กๆ เท่านั้นจะทำได้อย่างไร หลิวซีฮันที่ยังยืนอยู่ในห้องมองคนนั้นทีคนนี้ทีแต่ก็ไม่มีใครสนใจเขา เมื่อรู้สึกเบื่อเขาจึงอุ้มเสี่ยวหลงเดินกลับเรือนไปหลังจากที่หลิวซีฮันกลับมาที่เรือนแล้ว จากนั้นไม่นานซีหยวนไห่หนานเองก็มาที่นี่ด้วยเช่นกัน ครอบครัวของหลิวตงจ
คนสกุลหลิวต่างตกใจไม่คิดว่าจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาเช่นนี้ อาหารการกินที่มีสำหรับพวกเขาสกุลหลิวยังแทบจะไม่พอ นี่ยังจะเพิ่มชายร่างใหญ่ผู้นี้เข้ามาอีกเห็นทีพวกเขาจะอยู่ไม่พ้นหน้าหนาวแน่“อาเฉิงหลานช่วยมาคุยกับย่าสักหน่อยได้หรือไม่”แม่เฒ่าจางเดินไปหาหลานชายอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะข้างกายเขามีชายร่างใหญ่เหมือนยักษ์ปักหลั่นยืนอยู่ แม่เฒ่าจางดึงแขนหลานชายเข้ามาคุยในห้องของนาง“เฉิงเอ๋อย่าไม่ว่าอะไรหรอกที่หลานจะมีผู้ติดตามเพราะอีกหน่อยหากหลานได้เป็นขุนนางในราชสำนักหลานจะมีคนติดตามมากมายแน่นอน แต่ตอนนี้ครอบครัวของเราเกรงว่าจะไม่สามารถเลี้ยงดูเขาได้....หลานช่วยคิดดูอีกครั้งได้หรือไม่”หลิวฟู่เฉิงนึกว่าแม่เฒ่าจางมีปัญญาหาเรื่องฟู่เถี่ยโถวที่ติดตามเขามาเสียอีกที่แท้ก็เรื่องเงิน หลิวฟู่เฉิงหยิบถุงเงินออกมาจากแขนเสื้อวางไว้ด้านหน้าของนาง“นี่คือเงินหนึ่งร้อยตำลึงขอรับท่านย่า ทีนี้คงไม่มีใครมีปัญหากับการที่ฟู่เถี่ยโถวอยู่ที่นี่แล้วนะขอรับ”หลิวฟู่เฉิงพูดกับแม่เฒ่าจางทั้งยังบอกผู้ที่แอบฟังอยู่นอกห้องให้รับรู้โดยทั่วกัน แม่เฒ่าจางรีบตะครุบถุงเงินทันที นางไม่เคยจับเงินมากมายเช่นนี้มาก่อนในชีวิต แม่เฒ่าจาง
“ฝากเจ้าไปขอบใจพี่ใหญ่แทนข้าด้วยนะ เมื่ออาเฉิงสอบได้จีว์เหรินเมื่อใดรับรองว่าตระกูลหลิวจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้แน่”นี่เป็นสิ่งที่จางเมิ่งเสวี่ยอยากได้ยิน เมื่อพี่ฟู่เฉิงสอบได้จีว์เหรินท่านปู่ก็จะมาคุยเรื่องแต่งงานของนางกับเขา ถึงแม้สองตระกูลจะรู้กันเรื่องนี้อยู่แล้วก็ตามแต่นางก็อยากประกาศให้ใครต่อใครรู้ว่าพี่ฟู่เฉิงเป็นของนาง แม่พวกดอกท้อที่หวังจะมาเป็นสะใภ้ตระกูลหลิวจะได้เลิกล้มความคิดนั้นซะจางเมิ่งเสวี่ยอยู่คุยกับแม่เฒ่าจางสักพัก เมื่อรู้ว่าวันนี้ตนไม่สามารถพบหน้าพี่ฟู่เฉิงได้นางจึงไม่อยากอยู่ต่อ จางเมิ่งเสวี่ยขอตัวลาแม่เฒ่าจางจากนั้นจึงเดินออกจากตระกูลหลิวไป นางเดินยังไม่ถึงหน้าหมู่บ้านสายตาก็ไปสะดุดบางสิ่งเข้า ชายหนุ่มรูปงามในชุดขาวกำลังยืนชมบรรยากาศยามเช้าที่กำลังมีหมอกลงหนาอย่างเพลิดเพลินเมื่อก่อนนางคิดว่าหลิวฟู่เฉิงเป็นบุรุษที่หล่อเหลาที่สุดเท่าที่นางเคยพบมา แต่หลังจากที่ได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้น หลิวฟู่เฉิงเทียบไม่ติดเลยสักนิดเดียว เหตุใดหมู่บ้านตระกูลสือถึงได้มีชายหนุ่มรูปงานเกลื่อนกลาดเช่นนี้จางเมิ่งเสวี่ยแสร้งเดินไปใกล้ชายหนุ่มผู้นั้นจากนั้นจึงแสร้งล้มลงใกล้ๆ กับที่
“นี่ท่านป้าสือท่านบอกว่าจะไปหาบ้านของชายหนุ่มมาให้ข้าเลือกไม่ใช่หรือ ผ่านไปหลายวันแล้วเหตุใดท่านยังไม่มาหาข้าสักที”หลิวตงจิ้นถามแม่สื่อแซ่สือที่ทำหน้าที่เป็นผู้หาบ้านชายหนุ่มหญิงสาวที่เหมาะสมให้แต่งงานกัน นางเป็นคนที่เชื่อถือได้ในหมู่บ้านตระกูลสือและหมู่บ้านใกล้เคียง หากถึงเวลาที่บุตรสาวหรือบุตรชายแต่งงานแล้วล่ะก็ไม่ว่าบ้านไหนก็ล้วนมาหานาง แม่สื่อสือที่อายุราวห้าสิบกว่าถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ“ไม่ใช่ว่าข้าไม่หา แต่ละแวกหมู่บ้านใกล้เคียงไม่มีใครต้องการแต่งงานกับบุตรสาวเจ้าเลยสักคน”หลิวตงจวิ้นขมวดคิ้วมุ่นด้วยท่าทางไม่เข้าใจ“ก็เรื่องที่บุตรสาวของเจ้ามีวิญญาณร้ายคอยตามติด บ้านฝ่ายชายบ้านไหนก็ไม่กล้าแต่งบุตรสาวเจ้าเข้ามาเป็นลูกสะใภ้ พวกเขาบอกว่ามันเป็นลางไม่ดี”แม่สื่อสืออธิบายเสียงอ่อย“เหลวไหลทั้งเพ ท่านไปได้ยินเรื่องพวกนี้มาจากที่ไหน”หลิวตงจวิ้นโพลงออกมาด้วยความโมโห จริงอยู่ที่บุตรสาวของเขาเคยฝันเห็นท่านพ่อของเขา แต่ท่านพ่อหาใช่วิญญาณร้ายอย่างที่พวกเขาลือกัน“จะที่ไหนซะอีกก็ทุกที่ที่ข้าไปน่ะสิ เรื่องของลูกสาวเจ้าเล่าลือกันไปหลายหมู่บ้านแล้วไม่รู้หรือ เห็นทีครั้งนี้ข้าคงจะช่วยเหลือเจ้







