เช้านี้ หลินเข่อซิงกำลังเตรียมตัวสำหรับแผนการขั้นต่อไป นางตั้งใจจะเข้าไปใกล้ชิดกับอวิ๋นเฟยหลงมากขึ้น แต่แน่นอนว่าแผนนี้ต้องไม่ใช่การวางท่าเหมือนนางเอกทั่วไปที่ยอมอ่อนให้แล้วกลับไปร้องไห้ หลินเข่อซิงคิดว่าเธอต้องเปลี่ยนวิธีเข้าหาให้ได้ผลกว่านั้น
หลังจากคิดไปคิดมา นางตัดสินใจทำอาหารที่ดีที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้เพื่อเอาไปให้อวิ๋นเฟยหลง เธอตั้งใจจะใช้ความรู้ด้านการทำอาหารจากโลกปัจจุบันมาทำให้เขาประทับใจ เพราะไม่ว่าจะเป็นยุคไหน “เสน่ห์ปลายจวัก” ก็เป็นเรื่องสำคัญ “หลิงเฉิน! จัดแจงของให้ข้าเร็วเข้า” หลินเข่อซิงสั่งสาวใช้คนสนิทที่ตอนนี้กำลังจัดจานอาหารที่ถูกทำไว้อย่างประณีต “ข้าต้องการให้ทุกอย่างออกมาดูดี ไม่มีที่ติ” หลิงเฉินยิ้มขันๆ พลางจัดอาหารตามที่คุณหนูสั่ง “คุณหนูนี่ดูจะจริงจังกับเรื่องนี้มากเลยนะเจ้าคะ” “แน่นอน! ข้าจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แบบนางเอกเจ้าน้ำตาแน่” เข่อซิงตอบอย่างมั่นใจ ก่อนจะพาอาหารที่เตรียมไว้ออกเดินทางตรงไปยังจวนของอวิ๋นเฟยหลง เมื่อหลินเข่อซิงมาถึงจวนของอวิ๋นเฟยหลง นางก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงที่ค้นหูอย่างมาก นางเดินเข้าไปยังห้องโถงของจวน และก่อนที่จะได้ย่างเท้าเข้าไปในห้อง นางก็ได้ยินเสียงหัวเราะนุ่มๆ ที่คุ้นเคย หยางเฟยฮุ่ย นั่นเอง! เมื่อหลินเข่อซิงเปิดประตูห้องเข้าไป นางเห็นภาพที่ทำให้ต้องขบกรามแน่น หยางเฟยฮุ่ยกำลังนั่งกินข้าวกับอวิ๋นเฟยหลง ทั้งสองนั่งตรงข้ามกันอย่างสง่างาม โดยที่หยางเฟยฮุ่ยดูสบายใจเหมือนนางเป็นเจ้าของที่นี่ ทำท่าทำทางอ่อนหวานจนน่าเวียนหัว “เฟยหลง ท่านต้องลองซุปนี้นะเจ้าคะ ข้าอุตส่าห์สั่งให้ห้องครัวทำอย่างพิถีพิถันเพื่อท่านโดยเฉพาะ” หยางเฟยฮุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและแฝงเสน่ห์ อวิ๋นเฟยหลงยกช้อนตักซุปขึ้นมาชิมอย่างนิ่งๆ ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ บนใบหน้า หลินเข่อซิงแอบเบ้ปาก แหม นางหยางเฟยฮุ่ยนี่คิดว่าตัวเองเป็นใครกันนะ... แผนนี้ใครๆ ก็รู้ว่าต้องการอะไร แต่แทนที่จะหลบหลังแล้วถอยออกไป เธอตัดสินใจว่า ไม่ได้! คนอย่างข้าจะไม่ยอมแพ้แบบนางเอกทั่วๆ ไป หลินเข่อซิงสูดลมหายใจลึก ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในห้องด้วยท่าทางมั่นใจ พร้อมถาดอาหารที่ถือมา “อ้าว! ขอโทษที่มาขัดจังหวะพวกท่านนะเจ้าคะ” หลินเข่อซิงพูดด้วยน้ำเสียงสดใสพลางยิ้มกว้าง “แต่ข้าเพิ่งทำอาหารสูตรพิเศษมาให้ท่านอวิ๋น เลยอยากนำมามอบให้ด้วยตัวเอง” หยางเฟยฮุ่ยที่กำลังพูดอย่างสนุกสนานชะงักไปชั่วขณะ นางหันไปมองหลินเข่อซิงด้วยสายตาเย็นชา “หลินเข่อซิง เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” นางถามอย่างไม่พอใจนัก สายตานางราวกับอยากแผดเผาหลินเข่อซิงให้มอดไหม้ไปเดี๋ยวนั้น “ข้ามาทำอาหารให้ท่านอวิ๋นเจ้าค่ะ” หลินเข่อซิงตอบพร้อมรอยยิ้มหวาน “เป็นอาหารสูตรพิเศษที่ข้าตั้งใจทำด้วยตัวเอง หวังว่าท่านอวิ๋นจะชอบนะเจ้าคะ” อวิ๋นเฟยหลงเหลือบตามองหลินเข่อซิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “อาหารของเจ้าหรือ?” เขาถามอย่างเรียบๆ พร้อมมองของในมือของนาง “ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” หลินเข่อซิงวางถาดอาหารลงตรงหน้าอวิ๋นเฟยหลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปิดฝาครอบออก เผยให้เห็นอาหารที่หน้าตาแปลกใหม่ แต่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมที่ยากจะต้านทาน หยางเฟยฮุ่ยเห็นดังนั้นก็เริ่มหงุดหงิด นางไม่เคยคาดคิดว่าหลินเข่อซิงจะกล้าปรากฏตัวแบบนี้ แถมยังทำอาหารมาแข่งกับนางอีก นางหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าช่างกล้าดีเสียจริง หลินเข่อซิง คิดว่าฝีมือทำอาหารของเจ้าเทียบกับห้องครัวที่ดีที่สุดของจวนอวิ๋นได้อย่างนั้นหรือ?” หลินเข่อซิงยิ้มกว้างและพูดต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน “ข้าไม่ได้บอกว่าฝีมือข้าจะดีที่สุดหรอกเจ้าค่ะ แต่ก็มั่นใจว่าอาหารนี้ทำด้วยความตั้งใจจริง ท่านอวิ๋นลองชิมดูก่อนเถิดเจ้าค่ะ” หยางเฟยฮุ่ยกัดฟันแน่น ก่อนจะหันไปหาอวิ๋นเฟยหลงด้วยสายตาที่หวังว่าชายหนุ่มจะปฏิเสธหลินเข่อซิง แต่กลับผิดคาด อวิ๋นเฟยหลงกลับหยิบช้อนขึ้นมาและตักอาหารจากจานของหลินเข่อซิงเข้าปาก เขาชิมอาหารนั้นอย่างเงียบๆ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่แล้วเขาก็พยักหน้าเบาๆ “อืม…อร่อยดี” คำพูดของอวิ๋นเฟยหลงทำให้หยางเฟยฮุ่ยหน้าเสียไปครู่หนึ่ง นางรู้สึกถึงความพ่ายแพ้ที่ไม่อาจยอมรับได้ นางตวัดสายตามองหลินเข่อซิงอย่างไม่พอใจ “ท่านอวิ๋นชอบข้าก็ดีใจเจ้าค่ะ” เข่อซิงพูดอย่างสดใส ก่อนจะยิ้มให้หยางเฟยฮุ่ยที่กำลังพยายามระงับความโกรธอยู่ “ข้าต้องขออภัยจริงๆ ที่มาขัดจังหวะ...แต่ในเมื่อท่านอวิ๋นดูท่าจะเพลิดเพลินกับอาหารของข้า งั้นข้าคงอยู่ต่อได้สินะเจ้าคะ?” หยางเฟยฮุ่ยแทบอยากจะกรีดร้อง แต่ต้องสะกดอารมณ์ไว้ นางไม่สามารถพูดอะไรได้มากในตอนนี้ นางรู้ดีว่าหากพูดออกไป นอกจากจะทำลายบรรยากาศแล้ว ยังทำให้อวิ๋นเฟยหลงมองนางไม่ดี และเขาอาจจะไม่พอใจได้ “เอาสิ” อวิ๋นเฟยหลงตอบอย่างเรียบง่าย ทำให้หลินเข่อซิงยิ้มกว้างขึ้นอีกครั้ง นางรู้สึกว่าตนเองชนะในศึกเล็กๆ นี้อย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะเป็นแค่อาหารมื้อหนึ่ง แต่สำหรับหลินเข่อซิง มันเป็นก้าวแรกในการเข้าหาอวิ๋นเฟยหลง และนางรู้ดีว่าการต่อสู้ครั้งนี้เพิ่งเริ่มต้น...และนางจะไม่มีวันยอมแพ้! ในห้องโถงที่บรรยากาศเริ่มร้อนระอุ หยางเฟยฮุ่ยนั่งนิ่งด้วยความไม่พอใจ ใบหน้าที่เคยสง่างามกลับดูเคร่งเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อต้องเห็นหลินเข่อซิงเข้ามานั่งร่วมโต๊ะและได้รับคำชมจากอวิ๋นเฟยหลง แม้จะแค่เรื่องอาหาร แต่สำหรับหยางเฟยฮุ่ย นี่เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ “เจ้าก็แค่ทำอาหารเอง ทำไมต้องทำเหมือนว่านี่เป็นเรื่องสำคัญนัก?” หยางเฟยฮุ่ยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เจือความดูถูก “หรือว่าเจ้าไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้ว? อาหารแปลกๆ นี่คงเป็นทั้งหมดที่เจ้ามีสินะ” หลินเข่อซิงยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับหันไปสบตาหยางเฟยฮุ่ย “ก็ใช่สิ อาหารมันสำคัญไม่ใช่เหรอ? ถ้าเจ้ารู้จักทำอาหารเองบ้าง บางทีอาจจะช่วยให้ใครบางคนรู้สึกดีกับเจ้ามากขึ้นก็ได้นะเจ้าคะ” หลินเข่อซิงเน้นคำว่า 'เอง'อย่างจงใจ หยางเฟยฮุ่ยจ้องหน้าเข่อซิง แววตาของนางเย็นชา “เจ้าหมายความว่าอะไร?” เข่อซิงยิ้มหวาน “ก็หมายความตามนั้นแหละเจ้าค่ะ ข้าว่าความรักมันต้องผ่านกระเพาะถึงจะไปถึงหัวใจ จริงไหมเจ้าคะ?” นางเอียงคอมองเฟยฮุ่ยด้วยสายตาไร้เดียงสา แต่แฝงความยียวนอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นจึงหันไปส่งสายตาหวานเชื่อมให้อวิ๋นเฟยหลง ทำเอาคนกลางอย่างเขาถึงกับทำหน้าไม่ถูก ได้แต่นิ่งเงียบมองสองสาวเล่นสงครามน้ำลายกัน หยางเฟยฮุ่ยกัดฟันแน่น “เจ้ากำลังเยาะเย้ยข้าอยู่ใช่ไหม?” “เยาะเย้ย? โอ้ย! ไม่หรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่พูดตามความจริงเท่านั้น” เข่อซิงพูดพร้อมกับยักไหล่ “แต่ถ้าท่านคิดอย่างนั้น ข้าก็ไม่ว่าอะไรเจ้าค่ะ” หยางเฟยฮุ่ยยิ้มเย็น หัวใจนางเริ่มเดือดดาล แต่พยายามระงับอารมณ์ไว้ “เจ้ามันช่างน่ารำคาญจริงๆ หลินเข่อซิง ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะหน้าด้านแบบนี้ แต่ดูเหมือนเจ้าจะสนุกที่ทำให้ข้าโกรธนะ” “ข้าก็แค่เป็นตัวของตัวเองเจ้าค่ะ ถ้ามันทำให้ใครบางคนโกรธ ข้าก็เสียใจจริงๆ อ่า... นิดหน่อย” เข่อซิงพูดพร้อมกับทำท่ายกนิ้วชี้และโป้งประกบกัน แล้วชูมาใกล้ตา พร้อมยิ้มมุมปาก “แต่ถ้าใครบางคนทำอะไรให้ข้าไม่พอใจ ข้าก็อาจจะตอบโต้กลับก็ได้” หยางเฟยฮุ่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป นางลุกขึ้นยืนพร้อมกับมองหลินเข่อซิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ นางยกมือขึ้น เตรียมจะตบสั่งสอนให้หลินเข่อซิงได้รู้ถึงความโกรธของนาง “เจ้าจะทำอะไรน่ะ?” หลินเข่อซิงพูดเสียงหลง พร้อมกับรีบวิ่งไปหลบหลังอวิ๋นเฟยหลงทันที นางจับแขนเขาอย่างออดอ้อน “ท่านอวิ๋น! ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ! คุณหนูหยางจะทำร้ายข้า!” อวิ๋นเฟยหลงที่นั่งนิ่งอยู่นานมองดูสถานการณ์ตรงหน้า ริมฝีปากของเขาขยับเล็กน้อยก่อนจะหลุดขำออกมาเบาๆ คำหนึ่ง เสียงหัวเราะของอวิ๋นเฟยหลงทำให้หยางเฟยฮุ่ยโกรธจนหน้าแดง เธอรู้สึกว่าตัวเองถูกหยามเกียรติและอับอายอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มาก นางยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น กำมือแน่น พยายามสะกดอารมณ์โกรธ “เฟยฮุ่ย” อวิ๋นเฟยหลงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “เรื่องนี้คงไม่ต้องถึงขั้นใช้กำลังหรอก ข้าคิดว่าทุกคนควรสงบสติอารมณ์” หยางเฟยฮุ่ยพยายามระงับความโกรธ นางไม่อยากเสียหน้าต่อหน้าอวิ๋นเฟยหลง “ข้าก็แค่หยอกล้อกับเข่อซิงเท่านั้นเองเจ้าค่ะ ข้าไม่คิดจะทำร้ายอะไรหรอก” นางพูดอย่างฝืนๆ พยายามทำท่าทางไม่ถือสา แต่ในใจนั้นร้อนเป็นไฟ “นั่นสินะเจ้าคะ ข้าก็แค่หยอกล้อกันเล็กน้อย” หลินเข่อซิงพูดเสริมพลางยิ้มกว้าง ก่อนจะแลบลิ้นปลิ้นตาใส่หยางเฟยฮุ่ยขณะที่อวิ๋นเฟยหลงไม่ทันเห็น หยางเฟยฮุ่ยเห็นท่าทางนั้นของเข่อซิงก็แทบระเบิด แต่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ายิ้มอย่างฝืนๆ นางจึงทำได้เพียงพูดเสียงเย็น “ข้าว่าข้ากลับก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ ไว้เจอกันครั้งหน้านะ เข่อซิง” ประโยคท้ายนางหันไปมองหลินเข่อซิงพร้อมรอยยิ้ม แต่ไปไม่ถึงดวงตา หลินเข่อซิงยิ้มหวานตอบ “ข้ารออยู่เสมอเจ้าค่ะ” หยางเฟยฮุ่ยกัดฟันแน่น ก่อนจะหันหลังเดินจากไปด้วยความโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ขณะที่หลินเข่อซิงนั่งลงอย่างสบายอกสบายใจ พลางหันมามองอวิ๋นเฟยหลงที่ยังคงมีรอยยิ้มเล็กๆ ติดอยู่ที่มุมปาก “ท่านก็ยิ้มเป็นนี่นา พอยิ้มแล้วโลกดูสดใสขึ้นมาทันทีเลย ข้าว่าท่านควรจะยิ้มบ่อยๆนะ” หลินเข่อซิงว่าพลางยื่นหน้าไปมองใกล้ๆ คนถูกมองหัวใจกระตุก เขาเผลอสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มนัยน์ตาของนางระยิบระยับราวกับมีดวงดาวมากมายอยู่ในนั้น ภาพที่สะท้อนในดวงตานางคือใบหน้าของเขา หลินเข่อซิงใจเต้นแรง เธอทำไปแบบนั้นโดยไม่รู้ตัว เมื่อได้เห็นใบหน้าเขาชิดใกล้ถึงเพียงนี้ ถึงได้รู้ว่าเขาหล่อเหลาขนาดไหน ริมฝีปากแดงเรื่ออย่างธรรมชาติของเขาเผยอนิดๆ น่า… “มีจดหมายมาขอรับ เอ่อ…” บ่าวรับใช้ในจวนเข้ามารายงาน ทำหน้าตาเลิ่กลั่ก และก้มหน้าลงอย่างไว “อะแฮ่ม… ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เจ้าก็กลับไปเถอะ ข้ามีงานที่ยังต้องทำอีกมาก” อวิ๋นเฟยหลงพูดพร้อมเบือนหน้าหนีนาง “ข้า…ข้าก็ว่าจะกลับแล้วเหมือนกัน ใครอยากจะอยู่กัน” ว่าแล้วหลินเข่อซิงก็รีบร้อนเดินออกไป จจนหลิงเฉินได้แต่วิ่งตามไปติดๆ “คุณหนูๆ คุณหนูเป็นอะไรเจ้าคะ รอข้าด้วยเจ้าค่ะ” คล้อยหลังสองนายบ่าวจากไปแล้ว อวิ๋นเฟยหลงจึงถามบ่าวรับใช้ชายถึงจดหมายที่มาส่ง เขารับจดหมายฉบับนั้นมา ข้างในมีเพียงคำเดียว หลังอ่านจบ เขาเอาจดหมายฉบับนั้นไปเผาทิ้งทันที“เฮือก…” เสียงสูดลมหายใจเข้าลึกดังขึ้น ทำเอาทรวงอกของหญิงสาวยกขึ้นสูง ขนตางอนยาวเรียงตัวสวยเริ่มขยับไหว ในที่สุดเปลือกตาก็คอยๆเลิกขึ้น ปรากฎดวงตากลมโตสดใสที่มองไปมารอบๆ แสงไฟสีขาวนวลสว่างขึ้นในห้องเล็กๆ ของเธอมาจากหลอดฟลูออเรสเซนต์บนเพดานห้องสี่เหลี่ยมที่คุ้นเคย เมื่อมองไปตรงมุมห้องขวามือ ก็มีโต๊ะเขียนหนังสือรกๆ ที่มีหนังสือและแก้วน้ำวางอยู่ โทรศัพท์มือถือวางแน่นิ่งบนหัวเตียง สายชาร์จรวมถึงสายสมอลทอร์คพันกันยุ่งเหยิงเป็นก้อนกลม หลินเข่อซิงค่อยๆลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง“เรากลับมาแล้วเหรอ…” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง ราวกับไม่แน่ใจว่านี่คือความจริงหรือเพียงอีกหนึ่งความฝันอันยาวนานนางลูบอกตัวเองเบาๆ เพื่อปลอบใจว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เพิ่งเผชิญมา เป็นเพียงฝันร้ายยาวนานเท่านั้น แต่มันช่างสมจริงเหลือเกิน ความรู้สึกของสายลมในป่าลึก กลิ่นดินหลังฝนตก เสียงหัวเราะของหลิงเฉิน หรือแม้แต่สัมผัสอันอบอุ่นของอวิ๋นเฟยหลง...“เฟยหลง…”เพียงเอ่ยชื่อเขา น้ำตาก็เอ่อคลอเบ้า ราวกับหัวใจถูกบีบรัด เธอรีบเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก พยายา
นับจากโศกนาฏกรรมนองเลือดวันนั้น ก็ผ่านมาได้หนึ่งปีแล้ว อวิ๋นเฟยหลงไม่ยอมรับตำแหน่ง เขาทำเพียงรักษาการณ์แทน และให้เหล่าเสนาบดีเป็นที่ปรึกษาคอยชี้แนะแก่เขาย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีก่อน หลังได้รับชัยชนะ เข้ากอบกู้วังหลวงจากคนชั่ว และทวงแค้นจากหานเจี๋ย เขากลับไม่รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย อวิ๋นเฟยหลงประกาศต่อหน้าที่ประชุมขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งหลาย“ข้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งนี้”คำพูดนั้นสร้างความตกตะลึงไปทั่วห้องประชุม เฟยหลงก้าวออกมายืนกลางห้อง สายตาแน่วแน่“ตลอดชีวิตของข้า ข้าเกิดมาเพื่อรับใช้แผ่นดินและต่อสู้ในสนามรบ ข้าไม่เคยมีความปรารถนาจะครอบครองบัลลังก์มังกร ข้าเชื่อว่าแคว้นนี้สมควรมีผู้นำที่ดีกว่า”นับจากวันนั้นอวิ๋นเฟยหลงก็ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอดไม่ขาดตกบกพร่องอันใด จนราษฎรต่างแซ่ซ้องสรรเสริญ ในใจทุกคนอวิ๋นเฟยหลงคือฮ่องเต้ พ่อของแผ่นดินของพวกเขา คอยปกปักคุ้มครองให้แคว้นฉางจีอยู่รอดปลอดภัย บุ๋นก็ชำนาญ บู๊ก็คือเทพเซียนมาจุติและแล้วข่าวดีที่เขารอคอยก็มาถึง เจิ้งจู่ได้รายงานข่าวสำคัญที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เขาค้น
ก่อนที่อวิ๋นเฟยหลงจะได้ปัดป้องตอบโต้ ก็มีเสียงกังวานใสของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น“หยุดนะ!” หยางเฟยฮุ่ยยืนอยู่เบื้องหลังของฮ่องเต้ โดยมีทหารองครักษ์ผู้หนี่งใช้ดาบพาดคอของหานเจี๋ย“หากท่านละเว้นอวิ๋นเฟยหลง ข้าก็จะไว้ชีวิตท่าน!” สตรีผู้ได้ชื่อว่าฮองเฮา แม่ของแผ่นดิน ก้าวขึ้นหน้ามาอีกก้าว หยุดยืนมองหานเจี๋ยนิ่ง“เจ้า!... นี่เจ้ากล้าก่อกบฏหรือ ดีนี่ฮองเฮา ดี … ดียิ่งนัก ทหาร! กุดหัวนางหญิงชั่วนี่ให้ข้าเดี๋ยวนี้!”เงียบ มีเพียงความเงียบงันเป็นคำตอบ ไม่มีทหารคนใดขยับ ต่างมองไปทางอวิ๋นเฟยหลงอย่างรอฟังคำสั่ง“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น?!” หานเจี๋ยตื่นตระหนกแล้ว เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้“ราชโองการในฮ่องเต้พระองค์ก่อน มาถึงแล้ว! อวิ๋นเฟยหลง รับราชโองการ!”ถึงตอนนี้ทหารที่จ่อปลายดาบคุมตัวหานเจี๋ยได้เตะดาบในมือเขาจนกระเด็น ก่อนลากตัวหานเจี๋ยให้ออกห่างจากอวิ๋นเฟยหลง“กระหม่อมอวิ๋นเฟยหลงพ่ะย่ะค่ะ” อดีตแม่ทัพหนุ่มหันกายคุกเข่ามาทางกงกงที่ยืนถือพระราชโองการสีทองอร่ามในมือ“ด้วยโองการสวรรค์ ข้าโอรสสวรรค์ผู้คร
เสียงอาวุธกระทบกันดังไม่หยุด อวิ๋นเฟยหลงหอบหายใจเสียงดัง หลินเข่อซิงมองเสี้ยวหน้าของชายอันเป็นที่รักด้วยความเจ็บปวดในหัวใจ นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ท่านพี่ ทิ้งข้าไว้เถอะ หากไม่มีข้าท่านก็จะทำศึกได้อย่างเต็มที่ และปกป้องพวกเราทั้งหมดได้”“เหลวไหล! ข้าไม่มีทางทิ้งเจ้ากับลูกแน่ อย่าคิดอะไรฟุ้งซ่าน และข้าจะไม่มีวันแพ้! เจ้าอดทนไว้ก่อนนะ” อวิ๋นเฟยหลงปวดใจนักเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆนั่นพูด ประกอบกับบาดแผลที่ไหล่ของนาง เขายิ่งอยากจบศึกนี้ให้เร็วที่สุด กระบวนท่าของอดีตแม่ทัพใหญ่แกว่งไกวดาบเข้าห้ำหั่นศัตรู ร่างกายพลิ้วไหว มือเท้าผสานกัน แม้มือซ้ายจะโอบกอดหลินเข่อซิง แต่นั่นกลับไม่อาจสร้างปัญหาให้ชายหนุ่มได้“เหล่าพี่น้องของข้า จงฟัง! พวกเจ้าทุกคน วันนี้เราจะเด็ดหัวฮ่องเต้ทรราชนั่นซะ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อพ่อแม่ญาติพี่น้องของพวกเจ้า ราษฎรแคว้นฉางเยว่ และเพื่อฮ่องเต้องค์ก่อนที่ต้องสวรรคตอย่างมีเงื่อนงำ จงตามข้ามา!”“เฮๆ ๆ ๆ” เหล่าทหารฝ่ายอวิ๋นเฟยหลงต่างส่งเสียงร้องกู่ก้องไปทั่วลานด้วยการนำของอวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้พวกเขาบุ
‘ท่านพี่ เมื่อท่านได้รับสารฉบับนี้ หวังเพียงว่าท่านจะยังไม่กระทำการรุนแรงกับท่านหมอประจำตัวข้าหรอกนะ’ อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วสูง ก่อนเหลือบมองไปยังใบหน้าช้ำดำเขียว และเปรอะด้วยโลหิตของหมอหนุ่ม ก่อนจะก้มหน้าอ่านต่อ‘ข้าได้ยินมาว่าท่านได้ยกทัพมาประชิดประตูเมืองแล้ว คืนนี้ยามโหย่ว (17.00น. - 19.00น. โดยประมาณ) ข้าจะแอบมารอท่าน ขอท่านพี่ช่วยมารับข้าด้วย ข้าจะไปรอที่ประตูเมืองด้านทักษิณ หลิงเฉินบอกว่าประตูด้านนั้นค่อนข้างหละหลวม เพราะทหารไปรวมกันที่ประตูหน้าเสียส่วนใหญ่ ข้าจะรอท่านนะ’อวิ๋นเฟยหลงหรี่ตามองไปยังหมอหนุ่มที่ยังนั่งแหงนหน้ามองฟ้า ดูท่ากำเดาคงจะใกล้หยุดไหลแล้วกระมัง อวิ๋นเฟยหลงทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วต่ำ“ข้าต้องขออภัยท่านหมอแทนทหารของข้าด้วย ฝากบอกซิงเอ๋อร์ว่า ไม่ต้องกังวล ข้าจะไปตามนัดหมาย”เวินสือชูมองบุรุษร่างใหญ่บึกบึนตรงหน้าด้วยความยำเกรง ก่อนจะยิ้มออกมาหน่อยๆ“มิเป็นไร ข้าเข้าใจว่านั่นคือหน้าที่ของพวกเขา หากมิมีอันใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน หากมานานเกินไป อาจถูกสงสัยได้”อวิ๋นเฟยหลงพยัก
แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบกับดาบของเหล่าทหารหาญที่ตั้งทัพอย่างเป็นระเบียบอยู่เบื้องหน้าประตูเมือง เมื่ออวิ๋นเฟยหลงประสานสายตากับเหล่าทหารกล้าที่เขารวบรวมมา พวกเขาคือผู้ที่ยังภักดีต่อแผ่นดินและเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีของแม่ทัพผู้เคยกอบกู้แผ่นดิน“วันนี้มิใช่เพียงการทวงคืนวังหลวง” อวิ๋นเฟยหลงประกาศเสียงกร้าว “แต่คือการทวงคืนความยุติธรรม ทวงคืนอนาคตของบ้านเมือง และนำแสงสว่างกลับสู่แคว้นฉางจีอีกครั้ง”เสียงโห่ร้องดังกระหึ่มจากทหารนับหมื่นที่เข้าร่วม ขบวนธงสีดำลายมังกรทองสะบัดปลิวไสว เสียงอาวุธกระทบกันดังก้อง ขับเคลื่อนจิตใจอันห้าวหาญของนักรบทุกคนเหล่าทหารที่คอยรักษาการณ์ประจำตำแหน่งประตูหน้าต่างตื่นตัวและคอยจับตามองทัพของอดีตแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลง อดีตรองแม่ทัพหยางซึ่งในขณะนี้ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ทองลงไปยังอดีตผู้ที่เคยมีตำแหน่งใหญ่กว่าตน ในสายตามีทั้งความกริ่งเกรง และหวาดกลัวอยู่หน่อยๆ“ท่านแม่ทัพขอรับ” นายทหารหนุ่มผู้หนึ่งขึ้นมารายงานกับแม่ทัพหยาง“ว่ามา”“ข้าได้รายงานให้กับฝ่าบาททราบแล้วขอรับ ตอนนี้ยังไม่มีคำสั่งใหม่ เห็นว่าฝ่าบา