หลังจากเหตุการณ์ที่เข่อซิงเพิ่งปะทะกับหยางเฟยฮุ่ย เธอก็กลับมาที่จวนของตน นั่งครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ และนึกถึงเรื่องราวในนิยายที่เธอได้อ่านไป ว่าตอนนี้เหตุการณ์ที่เธอพบ มันไปถึงจุดไหนของเรื่องและจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งก็พลันแวบขึ้นมาในหัว “น้ำท่วม!”
หลินเข่อซิงจำได้ชัดเจนว่า ในช่วงเวลานี้ของนิยายที่เธอเคยอ่านซึ่งเป็นกลางถึงปลายเดือนมีนาคม จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ที่ทำให้เมืองนี้ตกอยู่ในความเดือดร้อน ชาวบ้านจำนวนมากต้องสูญเสียทรัพย์สินและบ้านเรือน ชีวิตของพวกเขาจะพลิกผันเพราะภัยพิบัติที่ไม่คาดคิด “ถ้าข้าจำไม่ผิด อีกไม่เกิน 7 วันจะเกิดน้ำท่วม...นี่มันโอกาสของข้านี่นา!” เข่อซิงพึมพำกับตัวเอง ในนิยาย เหตุการณ์นี้เป็นจุดที่ทำให้อวิ๋นเฟยหลงและกองทัพต้องลงมือช่วยชาวบ้าน ทว่านางเอกเดิมกลับไม่ได้มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือเลย เพราะนางเพียงยืนอยู่ข้างๆ อย่างไร้พลัง แต่ตอนนี้ หลินเข่อซิงในฐานะผู้ที่รู้อนาคต จะไม่ยอมให้เรื่องราวเป็นแบบนั้น! เธอตัดสินใจว่าจะใช้ความรู้จากโลกปัจจุบันเพื่อหาทางช่วยชาวบ้านก่อนที่น้ำท่วมใหญ่จะมาถึง ไม่เพียงแค่ลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น แต่ยังทำให้เธอได้พิสูจน์ความสามารถและความกล้าหาญต่อหน้าอวิ๋นเฟยหลงอีกด้วย วันรุ่งขึ้น หลินเข่อซิงรีบไปพบอวิ๋นเฟยหลงที่จวนของเขา แม้ว่าในใจจะเต้นแรง แต่เธอก็พยายามทำตัวมั่นใจ เมื่อเข้าไปในจวน นางเห็นอวิ๋นเฟยหลงกำลังตรวจดูเอกสารเกี่ยวกับงานราชการอยู่ “ท่านอวิ๋น ข้ามีเรื่องสำคัญจะพูดกับท่านเจ้าค่ะ” เข่อซิงพูดขึ้นโดยไม่รอช้า อวิ๋นเฟยหลงเงยหน้ามองเธอด้วยความสงสัย “เรื่องสำคัญอะไร?” หลินเข่อซิงสูดหายใจลึก “อีกไม่กี่วันจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ ข้ารู้ว่าท่านคงไม่เชื่อ แต่ข้า...ข้าแน่ใจว่ามันจะเกิดขึ้นในไม่เกิน 7 วัน และหากเราไม่เตรียมตัวไว้ล่วงหน้า เมืองนี้จะเสียหายหนัก ผู้คนล้มตาย เรือกสวนไร่นาเสียหาย” อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วเล็กน้อย เขาดูไม่มั่นใจนัก “เจ้าแน่ใจได้อย่างไร? ข่าวจากราชการยังไม่มีสัญญาณใดๆ ที่บ่งบอกว่าจะเกิดน้ำท่วม” “ข้าแน่ใจเจ้าค่ะ!” เข่อซิงตอบอย่างมั่นใจ “ข้าเคยเรียนรู้เรื่องสภาพอากาศและการเตรียมตัวป้องกันน้ำท่วม ข้าสังเกตเห็นสัญญาณหลายอย่าง เช่น ฝนที่ตกหนักหลายวันติดต่อกัน ระดับน้ำในแม่น้ำก็เริ่มสูงขึ้น ข้ารู้ว่าท่านอาจไม่เชื่อในตอนนี้ แต่เชื่อข้าสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ เราสามารถเริ่มเตรียมแผนการป้องกันล่วงหน้าได้ ถ้าเราทำตอนนี้ทัน ยังมีเวลาบรรเทาความเสียหายให้กับชาวบ้าน” คำพูดของเข่อซิงทำให้อวิ๋นเฟยหลงต้องหยุดคิด เขาไม่เคยได้ยินคำเตือนที่ชัดเจนเช่นนี้มาก่อน แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกถึงความจริงจังในน้ำเสียงของเธอ “แล้วเจ้าคิดว่าควรทำอย่างไร?” อวิ๋นเฟยหลงถาม พลางนั่งลงเพื่อฟังอย่างตั้งใจ “ข้าเคยเห็นว่าในโลกข้า... เอ่อ ในบ้านข้า เขาใช้วิธีสร้างแนวกันน้ำชั่วคราว โดยใช้ทรายและกระสอบวางเรียงเป็นแนวเพื่อป้องกันน้ำไม่ให้ไหลเข้ามาในพื้นที่สำคัญ” เข่อซิงอธิบายอย่างรวดเร็ว “และเราควรให้ชาวบ้านขนของขึ้นที่สูง เตรียมพื้นที่อพยพให้พร้อม และถ้าเราช่วยกันเตือนพวกเขาให้ระวังล่วงหน้า ความเสียหายจะน้อยลงมาก” อวิ๋นเฟยหลงเริ่มมองเข่อซิงด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ความตั้งใจและความเฉลียวฉลาดของเธอทำให้เขาเริ่มสนใจในตัวเธอยิ่งกว่าเดิม “เจ้ามั่นใจมากจริงๆ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลงกว่าเดิม “ถ้าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นจริง ข้าคงต้องให้เจ้าช่วยวางแผนป้องกันกับข้า” หลินเข่อซิงยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ “ท่านเชื่อข้าแล้วหรือเจ้าคะ?” อวิ๋นเฟยหลงพยักหน้า “ก็ไม่เสียหายอะไรนี่ ข้าจะให้เจ้าช่วยจัดการเรื่องนี้” เช้าวันถัดมา อากาศในเมืองดูเย็นลงเล็กน้อยหลังจากฝนตกหนักเมื่อช่วงเช้า แต่บรรยากาศกลับอึดอัดเล็กน้อย เพราะชาวบ้านเริ่มกังวลใจกับข่าวการคาดการณ์ว่าน้ำอาจท่วมในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เสียงพูดคุยของชาวบ้านเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งความหวาดกลัวและความสงสัยว่าใครจะเข้ามาช่วยเหลือ “ข้าไม่คิดว่าเราจะรอดจากภัยครั้งนี้หรอก น้ำท่วมครั้งนี้คงหนักมากแน่ๆ” ชาวบ้านคนหนึ่งพูดกับเพื่อนบ้านด้วยน้ำเสียงเครียดๆ ขณะที่ชาวบ้านเริ่มรวมตัวกันด้วยความกังวล หลินเข่อซิงและอวิ๋นเฟยหลงเดินตรวจตราไปตามแนวฝั่งแม่น้ำ พร้อมกับกลุ่มทหารและข้าราชการท้องถิ่น นางกวาดตามองสภาพพื้นที่ที่ค่อนข้างต่ำใกล้แม่น้ำซึ่งคาดว่าจะถูกน้ำท่วมถ้าไม่เตรียมการให้ดี หลินเข่อซิงหยุดเดินแล้วหันมาพูดกับกลุ่มคนที่รับหน้าที่ดูแลชาวบ้าน “พวกท่าน เราต้องเตรียมแนวป้องกันน้ำท่วมให้พร้อมมากกว่านี้ ข้าขอให้พวกท่านเริ่มนำกระสอบทรายมากองเรียงไว้ตามจุดที่ข้าชี้ และถ้าพื้นที่ใดต่ำเกินไป พวกท่านต้องหาวิธีเสริมสูงขึ้นอีก เราต้องป้องกันน้ำไม่ให้ทะลักเข้ามาได้”“เฮือก…” เสียงสูดลมหายใจเข้าลึกดังขึ้น ทำเอาทรวงอกของหญิงสาวยกขึ้นสูง ขนตางอนยาวเรียงตัวสวยเริ่มขยับไหว ในที่สุดเปลือกตาก็คอยๆเลิกขึ้น ปรากฎดวงตากลมโตสดใสที่มองไปมารอบๆ แสงไฟสีขาวนวลสว่างขึ้นในห้องเล็กๆ ของเธอมาจากหลอดฟลูออเรสเซนต์บนเพดานห้องสี่เหลี่ยมที่คุ้นเคย เมื่อมองไปตรงมุมห้องขวามือ ก็มีโต๊ะเขียนหนังสือรกๆ ที่มีหนังสือและแก้วน้ำวางอยู่ โทรศัพท์มือถือวางแน่นิ่งบนหัวเตียง สายชาร์จรวมถึงสายสมอลทอร์คพันกันยุ่งเหยิงเป็นก้อนกลม หลินเข่อซิงค่อยๆลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง“เรากลับมาแล้วเหรอ…” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง ราวกับไม่แน่ใจว่านี่คือความจริงหรือเพียงอีกหนึ่งความฝันอันยาวนานนางลูบอกตัวเองเบาๆ เพื่อปลอบใจว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เพิ่งเผชิญมา เป็นเพียงฝันร้ายยาวนานเท่านั้น แต่มันช่างสมจริงเหลือเกิน ความรู้สึกของสายลมในป่าลึก กลิ่นดินหลังฝนตก เสียงหัวเราะของหลิงเฉิน หรือแม้แต่สัมผัสอันอบอุ่นของอวิ๋นเฟยหลง...“เฟยหลง…”เพียงเอ่ยชื่อเขา น้ำตาก็เอ่อคลอเบ้า ราวกับหัวใจถูกบีบรัด เธอรีบเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก พยายา
นับจากโศกนาฏกรรมนองเลือดวันนั้น ก็ผ่านมาได้หนึ่งปีแล้ว อวิ๋นเฟยหลงไม่ยอมรับตำแหน่ง เขาทำเพียงรักษาการณ์แทน และให้เหล่าเสนาบดีเป็นที่ปรึกษาคอยชี้แนะแก่เขาย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีก่อน หลังได้รับชัยชนะ เข้ากอบกู้วังหลวงจากคนชั่ว และทวงแค้นจากหานเจี๋ย เขากลับไม่รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย อวิ๋นเฟยหลงประกาศต่อหน้าที่ประชุมขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งหลาย“ข้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งนี้”คำพูดนั้นสร้างความตกตะลึงไปทั่วห้องประชุม เฟยหลงก้าวออกมายืนกลางห้อง สายตาแน่วแน่“ตลอดชีวิตของข้า ข้าเกิดมาเพื่อรับใช้แผ่นดินและต่อสู้ในสนามรบ ข้าไม่เคยมีความปรารถนาจะครอบครองบัลลังก์มังกร ข้าเชื่อว่าแคว้นนี้สมควรมีผู้นำที่ดีกว่า”นับจากวันนั้นอวิ๋นเฟยหลงก็ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอดไม่ขาดตกบกพร่องอันใด จนราษฎรต่างแซ่ซ้องสรรเสริญ ในใจทุกคนอวิ๋นเฟยหลงคือฮ่องเต้ พ่อของแผ่นดินของพวกเขา คอยปกปักคุ้มครองให้แคว้นฉางจีอยู่รอดปลอดภัย บุ๋นก็ชำนาญ บู๊ก็คือเทพเซียนมาจุติและแล้วข่าวดีที่เขารอคอยก็มาถึง เจิ้งจู่ได้รายงานข่าวสำคัญที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เขาค้น
ก่อนที่อวิ๋นเฟยหลงจะได้ปัดป้องตอบโต้ ก็มีเสียงกังวานใสของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น“หยุดนะ!” หยางเฟยฮุ่ยยืนอยู่เบื้องหลังของฮ่องเต้ โดยมีทหารองครักษ์ผู้หนี่งใช้ดาบพาดคอของหานเจี๋ย“หากท่านละเว้นอวิ๋นเฟยหลง ข้าก็จะไว้ชีวิตท่าน!” สตรีผู้ได้ชื่อว่าฮองเฮา แม่ของแผ่นดิน ก้าวขึ้นหน้ามาอีกก้าว หยุดยืนมองหานเจี๋ยนิ่ง“เจ้า!... นี่เจ้ากล้าก่อกบฏหรือ ดีนี่ฮองเฮา ดี … ดียิ่งนัก ทหาร! กุดหัวนางหญิงชั่วนี่ให้ข้าเดี๋ยวนี้!”เงียบ มีเพียงความเงียบงันเป็นคำตอบ ไม่มีทหารคนใดขยับ ต่างมองไปทางอวิ๋นเฟยหลงอย่างรอฟังคำสั่ง“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น?!” หานเจี๋ยตื่นตระหนกแล้ว เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้“ราชโองการในฮ่องเต้พระองค์ก่อน มาถึงแล้ว! อวิ๋นเฟยหลง รับราชโองการ!”ถึงตอนนี้ทหารที่จ่อปลายดาบคุมตัวหานเจี๋ยได้เตะดาบในมือเขาจนกระเด็น ก่อนลากตัวหานเจี๋ยให้ออกห่างจากอวิ๋นเฟยหลง“กระหม่อมอวิ๋นเฟยหลงพ่ะย่ะค่ะ” อดีตแม่ทัพหนุ่มหันกายคุกเข่ามาทางกงกงที่ยืนถือพระราชโองการสีทองอร่ามในมือ“ด้วยโองการสวรรค์ ข้าโอรสสวรรค์ผู้คร
เสียงอาวุธกระทบกันดังไม่หยุด อวิ๋นเฟยหลงหอบหายใจเสียงดัง หลินเข่อซิงมองเสี้ยวหน้าของชายอันเป็นที่รักด้วยความเจ็บปวดในหัวใจ นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ท่านพี่ ทิ้งข้าไว้เถอะ หากไม่มีข้าท่านก็จะทำศึกได้อย่างเต็มที่ และปกป้องพวกเราทั้งหมดได้”“เหลวไหล! ข้าไม่มีทางทิ้งเจ้ากับลูกแน่ อย่าคิดอะไรฟุ้งซ่าน และข้าจะไม่มีวันแพ้! เจ้าอดทนไว้ก่อนนะ” อวิ๋นเฟยหลงปวดใจนักเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆนั่นพูด ประกอบกับบาดแผลที่ไหล่ของนาง เขายิ่งอยากจบศึกนี้ให้เร็วที่สุด กระบวนท่าของอดีตแม่ทัพใหญ่แกว่งไกวดาบเข้าห้ำหั่นศัตรู ร่างกายพลิ้วไหว มือเท้าผสานกัน แม้มือซ้ายจะโอบกอดหลินเข่อซิง แต่นั่นกลับไม่อาจสร้างปัญหาให้ชายหนุ่มได้“เหล่าพี่น้องของข้า จงฟัง! พวกเจ้าทุกคน วันนี้เราจะเด็ดหัวฮ่องเต้ทรราชนั่นซะ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อพ่อแม่ญาติพี่น้องของพวกเจ้า ราษฎรแคว้นฉางเยว่ และเพื่อฮ่องเต้องค์ก่อนที่ต้องสวรรคตอย่างมีเงื่อนงำ จงตามข้ามา!”“เฮๆ ๆ ๆ” เหล่าทหารฝ่ายอวิ๋นเฟยหลงต่างส่งเสียงร้องกู่ก้องไปทั่วลานด้วยการนำของอวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้พวกเขาบุ
‘ท่านพี่ เมื่อท่านได้รับสารฉบับนี้ หวังเพียงว่าท่านจะยังไม่กระทำการรุนแรงกับท่านหมอประจำตัวข้าหรอกนะ’ อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วสูง ก่อนเหลือบมองไปยังใบหน้าช้ำดำเขียว และเปรอะด้วยโลหิตของหมอหนุ่ม ก่อนจะก้มหน้าอ่านต่อ‘ข้าได้ยินมาว่าท่านได้ยกทัพมาประชิดประตูเมืองแล้ว คืนนี้ยามโหย่ว (17.00น. - 19.00น. โดยประมาณ) ข้าจะแอบมารอท่าน ขอท่านพี่ช่วยมารับข้าด้วย ข้าจะไปรอที่ประตูเมืองด้านทักษิณ หลิงเฉินบอกว่าประตูด้านนั้นค่อนข้างหละหลวม เพราะทหารไปรวมกันที่ประตูหน้าเสียส่วนใหญ่ ข้าจะรอท่านนะ’อวิ๋นเฟยหลงหรี่ตามองไปยังหมอหนุ่มที่ยังนั่งแหงนหน้ามองฟ้า ดูท่ากำเดาคงจะใกล้หยุดไหลแล้วกระมัง อวิ๋นเฟยหลงทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วต่ำ“ข้าต้องขออภัยท่านหมอแทนทหารของข้าด้วย ฝากบอกซิงเอ๋อร์ว่า ไม่ต้องกังวล ข้าจะไปตามนัดหมาย”เวินสือชูมองบุรุษร่างใหญ่บึกบึนตรงหน้าด้วยความยำเกรง ก่อนจะยิ้มออกมาหน่อยๆ“มิเป็นไร ข้าเข้าใจว่านั่นคือหน้าที่ของพวกเขา หากมิมีอันใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน หากมานานเกินไป อาจถูกสงสัยได้”อวิ๋นเฟยหลงพยัก
แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบกับดาบของเหล่าทหารหาญที่ตั้งทัพอย่างเป็นระเบียบอยู่เบื้องหน้าประตูเมือง เมื่ออวิ๋นเฟยหลงประสานสายตากับเหล่าทหารกล้าที่เขารวบรวมมา พวกเขาคือผู้ที่ยังภักดีต่อแผ่นดินและเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีของแม่ทัพผู้เคยกอบกู้แผ่นดิน“วันนี้มิใช่เพียงการทวงคืนวังหลวง” อวิ๋นเฟยหลงประกาศเสียงกร้าว “แต่คือการทวงคืนความยุติธรรม ทวงคืนอนาคตของบ้านเมือง และนำแสงสว่างกลับสู่แคว้นฉางจีอีกครั้ง”เสียงโห่ร้องดังกระหึ่มจากทหารนับหมื่นที่เข้าร่วม ขบวนธงสีดำลายมังกรทองสะบัดปลิวไสว เสียงอาวุธกระทบกันดังก้อง ขับเคลื่อนจิตใจอันห้าวหาญของนักรบทุกคนเหล่าทหารที่คอยรักษาการณ์ประจำตำแหน่งประตูหน้าต่างตื่นตัวและคอยจับตามองทัพของอดีตแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลง อดีตรองแม่ทัพหยางซึ่งในขณะนี้ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ทองลงไปยังอดีตผู้ที่เคยมีตำแหน่งใหญ่กว่าตน ในสายตามีทั้งความกริ่งเกรง และหวาดกลัวอยู่หน่อยๆ“ท่านแม่ทัพขอรับ” นายทหารหนุ่มผู้หนึ่งขึ้นมารายงานกับแม่ทัพหยาง“ว่ามา”“ข้าได้รายงานให้กับฝ่าบาททราบแล้วขอรับ ตอนนี้ยังไม่มีคำสั่งใหม่ เห็นว่าฝ่าบา