“ขอรับ คุณหนูหลิน!” หัวหน้ากลุ่มทหารอาสาโค้งคำนับอย่างเคารพ ก่อนจะออกคำสั่งให้ลูกน้องเริ่มจัดการตามที่หลินเข่อซิงบอก
นางเดินต่อไปยังจุดที่ชาวบ้านกำลังรวมตัวกันพลางถามไถ่สถานการณ์เบื้องต้นจากผู้ดูแล “พวกท่านเตรียมตัวอพยพหรือยัง?” “ข้าเตรียมแล้ว แต่ยังมีบางบ้านที่ไม่ยอมย้ายเจ้าค่ะ บางคนกลัวว่าจะทิ้งทรัพย์สินของตนไว้ไม่ได้” หญิงชราผู้ดูแลชาวบ้านกล่าวด้วยความกังวล หลินเข่อซิงพยักหน้าแล้วหันไปยังกลุ่มชาวบ้านที่ยังดูสับสนและไม่แน่ใจว่าควรทำอะไรต่อไป นางตัดสินใจเดินไปข้างหน้า ยืนอยู่บนแท่นสูงๆ เล็กน้อยแล้วเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังพอให้ทุกคนได้ยิน “ทุกท่าน! ข้าคือหลินเข่อซิง! วันนี้ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยพวกท่านเตรียมการป้องกันน้ำท่วม ข้าเข้าใจว่าพวกท่านกังวลเรื่องทรัพย์สินของตน แต่อย่าลืมว่าชีวิตสำคัญที่สุด! ข้าขอให้พวกท่านเริ่มจัดเตรียมของมีค่าที่จำเป็น และรีบย้ายขึ้นที่สูงให้เร็วที่สุด อย่าปล่อยให้สิ่งของผูกมัดเราไว้กับความเสี่ยง เพราะสิ่งของแม้เสียหายหรือสูญไป ยังมีโอกาสหาใหม่ได้ แต่ชีวิตหากดับสิ้นแล้ว ก็ไม่มีโอกาสใดๆเหลืออยู่อีกแล้ว!” ชาวบ้านที่ฟังเริ่มหันมาสนใจคำพูดของเข่อซิง นางมีน้ำเสียงมั่นใจและหนักแน่น แต่ไม่ดุเดือดจนทำให้คนกลัว “การอพยพเป็นเรื่องสำคัญ การที่เราป้องกันตัวเองได้ก่อนน้ำมาถึง จะช่วยลดความเสียหายได้มาก และพวกท่านก็ไม่ต้องเสียทรัพย์สินมากเท่าที่คิด ถ้าพวกท่านช่วยกันขนย้ายสิ่งของที่สำคัญได้ทันเวลา” หนึ่งในชาวบ้านที่เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งยกมือขึ้นแล้วถาม “แต่พวกเราจะย้ายอะไรไปได้ล่ะขอรับ? ข้าวของบางอย่างใหญ่เกินกว่าจะขนย้ายได้ง่ายๆ” หลินเข่อซิงยิ้มออกมาอย่างเข้าใจ “นั่นเป็นเรื่องที่ข้าเข้าใจดี พวกท่านไม่จำเป็นต้องขนย้ายทุกสิ่งทุกอย่างไป แต่ขอให้เริ่มจากสิ่งของที่สำคัญก่อน เช่น ของใช้จำเป็น และของมีค่า ส่วนที่เหลือ ข้าขอให้พวกท่านนำขึ้นวางไว้บนที่สูงในบ้าน เช่น ชั้นสอง หรือบนชั้นวางของ และใช้ไม้หรือเชือกช่วยยึดสิ่งของไม่ให้ลื่นไหลตามกระแสน้ำ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลายคนก็เริ่มเข้าใจและพยักหน้าตาม แต่ยังมีบางคนที่ยังกังวลใจอยู่ ชาวบ้านชายอีกคนหนึ่งพูดขึ้น “แล้วถ้าน้ำท่วมเร็วล่ะขอรับ? พวกเราจะทำยังไง?” หลินเข่อซิงมองหน้าเขาด้วยสายตาที่มั่นใจ “พวกเราต้องเตรียมการให้เร็วที่สุด ข้าขอให้ทุกท่านช่วยกันจัดการสิ่งกีดขวางในบ้านและเตรียมทางหนีไว้ หากน้ำท่วมมาถึงแล้ว ยังมีวิธีอพยพให้ทุกท่านปลอดภัย ข้าจะสอนพวกท่านจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนเวลา" นางหันไปทางหัวหน้าผู้ดูแลทหาร "ข้าขอให้พวกท่านส่งคนเข้าไปช่วยชาวบ้านเก็บบ้านให้เร็วที่สุด และให้จัดเตรียมจุดรวมพลที่สูงที่สุดในหมู่บ้าน ให้ทุกคนรู้ว่า หากเกิดเหตุร้ายต้องไปที่ไหน" หลังจากสั่งการแล้ว หลินเข่อซิงเดินสำรวจตามบ้านเรือน พร้อมกับพูดคุยกับชาวบ้านอย่างเป็นกันเอง นางเดินไปหาหญิงชราคนหนึ่งที่นั่งเฝ้าบ้านอยู่หน้าบ้านไม้หลังเล็ก "ท่านป้าคะ เตรียมตัวหรือยังคะ?" เข่อซิงยิ้มให้แล้วนั่งลงข้างๆ “ข้าไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไงดี ข้าอยู่ที่นี่มานาน ไม่เคยต้องเจอกับน้ำท่วมแบบนี้มาก่อน” หญิงชรากล่าวด้วยเสียงเศร้า หลินเข่อซิงจับมือหญิงชราเบาๆ “ไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ ข้าจะให้ทหารช่วยยกของมีค่าของท่านขึ้นไปไว้ที่สูงก่อน แล้วเราจะดูแลท่านเอง ท่านต้องรีบขึ้นไปยังจุดรวมพลทันทีที่มีสัญญาณนะเจ้าคะ” หญิงชราพยักหน้ารับแล้วขอบคุณด้วยน้ำตาซึม ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา นางหันไปหาทหารที่อยู่ใกล้ๆ แล้วสั่งให้พวกเขาช่วยจัดการตามที่บอก จากนั้นนางก็เดินไปทางเด็กๆ ที่กำลังวิ่งเล่นใกล้ๆ กับบ้านหลังหนึ่ง “เด็กๆ มาเร็ว! ข้ามีเรื่องจะบอก!” เข่อซิงเรียกเด็กๆ ที่วิ่งกันอย่างสนุกสนาน เด็กๆ หันมามองแล้ววิ่งเข้ามาหานางด้วยความตื่นเต้น “คุณหนูหลินมีอะไรให้พวกเราหรือเจ้าคะ?” เด็กหญิงคนหนึ่งถาม “ข้าจะบอกพวกเจ้าไว้ หากพวกเจ้ารู้สึกว่าน้ำเริ่มสูงขึ้น แม้เพียงข้อเท้าก็อย่าอยู่ในบ้านหรือเล่นน้ำเชียวนะ รีบไปหาพ่อแม่หรือไปที่จุดรวมพลทันที เข้าใจไหม?” นางพูดอย่างจริงจัง แต่แฝงความอ่อนโยน เด็กๆ พยักหน้ารับอย่างตั้งใจ “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ! พวกเราจะไม่เล่นน้ำ!” เข่อซิงยิ้มออกมาอย่างพอใจ “ดีมาก พวกเจ้าเป็นเด็กดี ข้าขอให้พวกเจ้าช่วยบอกเพื่อนๆ ด้วยนะ เข้าใจไหม?” “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” เด็กๆ ตอบพร้อมกันก่อนจะวิ่งไปบอกเพื่อนๆ ต่อ ทำให้บรรยากาศรอบๆ ดูครึกครื้นขึ้นเล็กน้อย อวิ๋นเฟยหลงที่คอยเฝ้ามองหลินเข่อซิงตลอดการทำงานเงียบๆ เขามองนางด้วยความทึ่ง นางไม่เพียงแต่สั่งการอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังมีความอ่อนโยนและใจดีในการดูแลชาวบ้าน นางใช้ทักษะการพูดและความเข้าใจในการสื่อสารกับชาวบ้านได้อย่างน่าอัศจรรย์ “นี่! แม่นาง!” เสียงเรียกจากชาวบ้านคนหนึ่งดังขึ้นจากอีกฝั่งของลาน หลินเข่อซิงหันไปเห็นชาวบ้านชายวัยกลางคนกำลังยืนกอดอกด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ชายคนนั้นดูไม่พอใจ “ทำไมข้าต้องเชื่อฟังเจ้าด้วย? ข้าจะไม่อพยพไปไหน! ข้าจะอยู่ที่บ้านของข้า! น้ำจะท่วมแค่ไหนข้าก็ไม่กลัว!” หลินเข่อซิงมองดูเขาแล้วสูดหายใจเข้า “ท่านลุง ข้าเข้าใจว่าท่านรักบ้านของท่าน แต่เราต้องคิดถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญนะเจ้าคะ การอพยพเป็นเพียงการชั่วคราว เมื่อสถานการณ์ปลอดภัยแล้ว พวกท่านจะได้กลับมาโดยไม่มีอะไรเสียหาย” “แต่ข้าไม่อยากทิ้งบ้าน! ทรัพย์สมบัติของข้า ข้าจะทิ้งมันไปไม่ได้หรอก!” เห็นดังนั้น อวิ๋นเฟยหลงจึงก้าวเข้ามาข้างๆ เข่อซิง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “เจ้าควรฟังคำสั่ง การป้องกันตัวเองคือสิ่งสำคัญที่สุด ข้าจะไม่ปล่อยให้ใครเสียชีวิตเพียงเพราะไม่ฟังคำเตือน หากเจ้าดื้อดึง ข้าจะถือว่าเจ้าไม่เคารพกฎของเมือง และข้าจะต้องสั่งให้อพยพเจ้าโดยตรง” ชาวบ้านชายคนนั้นดูตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของอวิ๋นเฟยหลง และรีบหันกลับไปสงบเสงี่ยมทันใด หลินเข่อซิงยิ้มขอบคุณเบาๆ ให้กับอวิ๋นเฟยหลง “ขอบคุณที่ช่วยพูดนะ ข้ากำลังหาทางทำให้เขายอมรับอยู่พอดี” “ข้าแค่ทำหน้าที่” อวิ๋นเฟยหลงตอบสั้นๆ แต่ในใจรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ช่วยนาง และยังรู้สึกโล่งใจที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย เมื่อเวลาผ่านไป การเตรียมการและจัดการต่างๆ ก็เป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น ชาวบ้านเริ่มเข้าใจและให้ความร่วมมือมากขึ้น หลินเข่อซิงและอวิ๋นเฟยหลงเดินไปตามจุดต่างๆ เพื่อคอยตรวจสอบความคืบหน้า ทั้งสองทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดินตรวจสอบ เข่อซิงสังเกตเห็นว่าเด็กๆ ที่นางสอนให้หลบภัยก่อนหน้านี้ เริ่มช่วยกันเคลื่อนย้ายสิ่งของในบ้านไปยังจุดที่สูงขึ้น นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างพอใจ “เจ้าเก่งนะ” เสียงของอวิ๋นเฟยหลงดังขึ้นข้างๆ นาง ทำให้นางหันไปมองเขา “ข้าทำอะไรเก่งล่ะ?” นางถามกลับด้วยรอยยิ้มขำๆ “เจ้าเก่งในการพูดให้คนอื่นฟัง โดยเฉพาะการพูดกับชาวบ้าน” อวิ๋นเฟยหลงตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “พวกเขาไม่ค่อยเชื่อใครง่ายๆ แต่เจ้าเข้าหาพวกเขาได้อย่างเป็นธรรมชาติ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ ก็ทำได้” หลินเข่อซิงยิ้มกว้าง “ข้าแค่ใช้วิธีที่ข้าเคยเรียนรู้มาในโลกของข้า เอ่ออ…หมายถึงในตำราน่ะ แล้วข้าก็ชอบทำงานกับผู้คนมาตลอด และข้ารู้ว่าการที่เราทำให้พวกเขาเข้าใจสิ่งที่ต้องทำ และเห็นประโยชน์ของมัน จะทำให้พวกเขายินดีที่จะร่วมมือ” อวิ๋นเฟยหลงพยักหน้าเล็กน้อย เขายิ่งรู้สึกทึ่งในตัวนางมากขึ้นทุกที ไม่เพียงแต่ทักษะการพูดและการสั่งการที่เป็นเลิศ นางยังมีความรอบรู้และประสบการณ์ที่ดูไม่เหมือนใครในยุคนี้ “แล้วท่านล่ะ ท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่?” เข่อซิงหันมาถามเขาด้วยแววตาขี้เล่น “ท่านไม่คิดหรือว่าการที่ท่านคอยช่วยข้าตลอดเวลาแบบนี้ ข้าจะต้องขอบคุณท่านอีกสักครั้ง” อวิ๋นเฟยหลงยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ข้าแค่ทำหน้าที่ของข้า” “หน้าที่ของท่านคือช่วยข้า? งั้นข้าคงโชคดีที่มีแม่ทัพที่แสนดีคอยดูแล” เข่อซิงพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ แต่สายตาของนางไม่ได้มีเพียงความขบขันเท่านั้น ยังมีความขอบคุณที่ซ่อนอยู่ในนั้น ทั้งสองเดินเคียงข้างกันไปเรื่อยๆ ขณะที่ฝนยังคงตกลงมาเบาๆ อากาศเริ่มเย็นลง แต่ในใจของอวิ๋นเฟยหลงกลับรู้สึกอบอุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ เขามองเห็นนางในมุมที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง จากที่เคยมองว่านางเป็นเพียงผู้หญิงที่จืดชืด ตอนนี้เขารู้แล้วว่า นางคือคนที่มีศักยภาพและความสามารถที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน และความรู้สึกที่เขามีต่อนาง...มันยิ่งทำให้เขาสับสนในใจมากขึ้น“เฮือก…” เสียงสูดลมหายใจเข้าลึกดังขึ้น ทำเอาทรวงอกของหญิงสาวยกขึ้นสูง ขนตางอนยาวเรียงตัวสวยเริ่มขยับไหว ในที่สุดเปลือกตาก็คอยๆเลิกขึ้น ปรากฎดวงตากลมโตสดใสที่มองไปมารอบๆ แสงไฟสีขาวนวลสว่างขึ้นในห้องเล็กๆ ของเธอมาจากหลอดฟลูออเรสเซนต์บนเพดานห้องสี่เหลี่ยมที่คุ้นเคย เมื่อมองไปตรงมุมห้องขวามือ ก็มีโต๊ะเขียนหนังสือรกๆ ที่มีหนังสือและแก้วน้ำวางอยู่ โทรศัพท์มือถือวางแน่นิ่งบนหัวเตียง สายชาร์จรวมถึงสายสมอลทอร์คพันกันยุ่งเหยิงเป็นก้อนกลม หลินเข่อซิงค่อยๆลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง“เรากลับมาแล้วเหรอ…” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง ราวกับไม่แน่ใจว่านี่คือความจริงหรือเพียงอีกหนึ่งความฝันอันยาวนานนางลูบอกตัวเองเบาๆ เพื่อปลอบใจว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เพิ่งเผชิญมา เป็นเพียงฝันร้ายยาวนานเท่านั้น แต่มันช่างสมจริงเหลือเกิน ความรู้สึกของสายลมในป่าลึก กลิ่นดินหลังฝนตก เสียงหัวเราะของหลิงเฉิน หรือแม้แต่สัมผัสอันอบอุ่นของอวิ๋นเฟยหลง...“เฟยหลง…”เพียงเอ่ยชื่อเขา น้ำตาก็เอ่อคลอเบ้า ราวกับหัวใจถูกบีบรัด เธอรีบเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก พยายา
นับจากโศกนาฏกรรมนองเลือดวันนั้น ก็ผ่านมาได้หนึ่งปีแล้ว อวิ๋นเฟยหลงไม่ยอมรับตำแหน่ง เขาทำเพียงรักษาการณ์แทน และให้เหล่าเสนาบดีเป็นที่ปรึกษาคอยชี้แนะแก่เขาย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีก่อน หลังได้รับชัยชนะ เข้ากอบกู้วังหลวงจากคนชั่ว และทวงแค้นจากหานเจี๋ย เขากลับไม่รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย อวิ๋นเฟยหลงประกาศต่อหน้าที่ประชุมขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งหลาย“ข้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งนี้”คำพูดนั้นสร้างความตกตะลึงไปทั่วห้องประชุม เฟยหลงก้าวออกมายืนกลางห้อง สายตาแน่วแน่“ตลอดชีวิตของข้า ข้าเกิดมาเพื่อรับใช้แผ่นดินและต่อสู้ในสนามรบ ข้าไม่เคยมีความปรารถนาจะครอบครองบัลลังก์มังกร ข้าเชื่อว่าแคว้นนี้สมควรมีผู้นำที่ดีกว่า”นับจากวันนั้นอวิ๋นเฟยหลงก็ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอดไม่ขาดตกบกพร่องอันใด จนราษฎรต่างแซ่ซ้องสรรเสริญ ในใจทุกคนอวิ๋นเฟยหลงคือฮ่องเต้ พ่อของแผ่นดินของพวกเขา คอยปกปักคุ้มครองให้แคว้นฉางจีอยู่รอดปลอดภัย บุ๋นก็ชำนาญ บู๊ก็คือเทพเซียนมาจุติและแล้วข่าวดีที่เขารอคอยก็มาถึง เจิ้งจู่ได้รายงานข่าวสำคัญที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เขาค้น
ก่อนที่อวิ๋นเฟยหลงจะได้ปัดป้องตอบโต้ ก็มีเสียงกังวานใสของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น“หยุดนะ!” หยางเฟยฮุ่ยยืนอยู่เบื้องหลังของฮ่องเต้ โดยมีทหารองครักษ์ผู้หนี่งใช้ดาบพาดคอของหานเจี๋ย“หากท่านละเว้นอวิ๋นเฟยหลง ข้าก็จะไว้ชีวิตท่าน!” สตรีผู้ได้ชื่อว่าฮองเฮา แม่ของแผ่นดิน ก้าวขึ้นหน้ามาอีกก้าว หยุดยืนมองหานเจี๋ยนิ่ง“เจ้า!... นี่เจ้ากล้าก่อกบฏหรือ ดีนี่ฮองเฮา ดี … ดียิ่งนัก ทหาร! กุดหัวนางหญิงชั่วนี่ให้ข้าเดี๋ยวนี้!”เงียบ มีเพียงความเงียบงันเป็นคำตอบ ไม่มีทหารคนใดขยับ ต่างมองไปทางอวิ๋นเฟยหลงอย่างรอฟังคำสั่ง“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น?!” หานเจี๋ยตื่นตระหนกแล้ว เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้“ราชโองการในฮ่องเต้พระองค์ก่อน มาถึงแล้ว! อวิ๋นเฟยหลง รับราชโองการ!”ถึงตอนนี้ทหารที่จ่อปลายดาบคุมตัวหานเจี๋ยได้เตะดาบในมือเขาจนกระเด็น ก่อนลากตัวหานเจี๋ยให้ออกห่างจากอวิ๋นเฟยหลง“กระหม่อมอวิ๋นเฟยหลงพ่ะย่ะค่ะ” อดีตแม่ทัพหนุ่มหันกายคุกเข่ามาทางกงกงที่ยืนถือพระราชโองการสีทองอร่ามในมือ“ด้วยโองการสวรรค์ ข้าโอรสสวรรค์ผู้คร
เสียงอาวุธกระทบกันดังไม่หยุด อวิ๋นเฟยหลงหอบหายใจเสียงดัง หลินเข่อซิงมองเสี้ยวหน้าของชายอันเป็นที่รักด้วยความเจ็บปวดในหัวใจ นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ท่านพี่ ทิ้งข้าไว้เถอะ หากไม่มีข้าท่านก็จะทำศึกได้อย่างเต็มที่ และปกป้องพวกเราทั้งหมดได้”“เหลวไหล! ข้าไม่มีทางทิ้งเจ้ากับลูกแน่ อย่าคิดอะไรฟุ้งซ่าน และข้าจะไม่มีวันแพ้! เจ้าอดทนไว้ก่อนนะ” อวิ๋นเฟยหลงปวดใจนักเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆนั่นพูด ประกอบกับบาดแผลที่ไหล่ของนาง เขายิ่งอยากจบศึกนี้ให้เร็วที่สุด กระบวนท่าของอดีตแม่ทัพใหญ่แกว่งไกวดาบเข้าห้ำหั่นศัตรู ร่างกายพลิ้วไหว มือเท้าผสานกัน แม้มือซ้ายจะโอบกอดหลินเข่อซิง แต่นั่นกลับไม่อาจสร้างปัญหาให้ชายหนุ่มได้“เหล่าพี่น้องของข้า จงฟัง! พวกเจ้าทุกคน วันนี้เราจะเด็ดหัวฮ่องเต้ทรราชนั่นซะ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อพ่อแม่ญาติพี่น้องของพวกเจ้า ราษฎรแคว้นฉางเยว่ และเพื่อฮ่องเต้องค์ก่อนที่ต้องสวรรคตอย่างมีเงื่อนงำ จงตามข้ามา!”“เฮๆ ๆ ๆ” เหล่าทหารฝ่ายอวิ๋นเฟยหลงต่างส่งเสียงร้องกู่ก้องไปทั่วลานด้วยการนำของอวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้พวกเขาบุ
‘ท่านพี่ เมื่อท่านได้รับสารฉบับนี้ หวังเพียงว่าท่านจะยังไม่กระทำการรุนแรงกับท่านหมอประจำตัวข้าหรอกนะ’ อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วสูง ก่อนเหลือบมองไปยังใบหน้าช้ำดำเขียว และเปรอะด้วยโลหิตของหมอหนุ่ม ก่อนจะก้มหน้าอ่านต่อ‘ข้าได้ยินมาว่าท่านได้ยกทัพมาประชิดประตูเมืองแล้ว คืนนี้ยามโหย่ว (17.00น. - 19.00น. โดยประมาณ) ข้าจะแอบมารอท่าน ขอท่านพี่ช่วยมารับข้าด้วย ข้าจะไปรอที่ประตูเมืองด้านทักษิณ หลิงเฉินบอกว่าประตูด้านนั้นค่อนข้างหละหลวม เพราะทหารไปรวมกันที่ประตูหน้าเสียส่วนใหญ่ ข้าจะรอท่านนะ’อวิ๋นเฟยหลงหรี่ตามองไปยังหมอหนุ่มที่ยังนั่งแหงนหน้ามองฟ้า ดูท่ากำเดาคงจะใกล้หยุดไหลแล้วกระมัง อวิ๋นเฟยหลงทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วต่ำ“ข้าต้องขออภัยท่านหมอแทนทหารของข้าด้วย ฝากบอกซิงเอ๋อร์ว่า ไม่ต้องกังวล ข้าจะไปตามนัดหมาย”เวินสือชูมองบุรุษร่างใหญ่บึกบึนตรงหน้าด้วยความยำเกรง ก่อนจะยิ้มออกมาหน่อยๆ“มิเป็นไร ข้าเข้าใจว่านั่นคือหน้าที่ของพวกเขา หากมิมีอันใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน หากมานานเกินไป อาจถูกสงสัยได้”อวิ๋นเฟยหลงพยัก
แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบกับดาบของเหล่าทหารหาญที่ตั้งทัพอย่างเป็นระเบียบอยู่เบื้องหน้าประตูเมือง เมื่ออวิ๋นเฟยหลงประสานสายตากับเหล่าทหารกล้าที่เขารวบรวมมา พวกเขาคือผู้ที่ยังภักดีต่อแผ่นดินและเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีของแม่ทัพผู้เคยกอบกู้แผ่นดิน“วันนี้มิใช่เพียงการทวงคืนวังหลวง” อวิ๋นเฟยหลงประกาศเสียงกร้าว “แต่คือการทวงคืนความยุติธรรม ทวงคืนอนาคตของบ้านเมือง และนำแสงสว่างกลับสู่แคว้นฉางจีอีกครั้ง”เสียงโห่ร้องดังกระหึ่มจากทหารนับหมื่นที่เข้าร่วม ขบวนธงสีดำลายมังกรทองสะบัดปลิวไสว เสียงอาวุธกระทบกันดังก้อง ขับเคลื่อนจิตใจอันห้าวหาญของนักรบทุกคนเหล่าทหารที่คอยรักษาการณ์ประจำตำแหน่งประตูหน้าต่างตื่นตัวและคอยจับตามองทัพของอดีตแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลง อดีตรองแม่ทัพหยางซึ่งในขณะนี้ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ทองลงไปยังอดีตผู้ที่เคยมีตำแหน่งใหญ่กว่าตน ในสายตามีทั้งความกริ่งเกรง และหวาดกลัวอยู่หน่อยๆ“ท่านแม่ทัพขอรับ” นายทหารหนุ่มผู้หนึ่งขึ้นมารายงานกับแม่ทัพหยาง“ว่ามา”“ข้าได้รายงานให้กับฝ่าบาททราบแล้วขอรับ ตอนนี้ยังไม่มีคำสั่งใหม่ เห็นว่าฝ่าบา