เข้าสู่ระบบใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาจากเบื้องบน ท้องฟ้ากว้างใหญ่พร่างพรายด้วยหมู่ดาว เสียงดนตรีจากงานเลี้ยงยังดังคลออยู่ห่าง ๆ ทว่าในมุมหนึ่งที่เงียบสงบ ทุกสิ่งกลับเหมือนหยุดนิ่ง เหลือเพียงสายตาของ ซูจิ่งหลง และ หลานเยว่ ที่สบประสานกันแน่นิ่ง
สายตาคมเข้มของเขามักเลี่ยงทุกครั้งเมื่อต้องพบเจอกับนาง แต่ครานี้กลับตรงไปตรงมาราวกับต้องการให้เธอมองเห็นทุกความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องลึก เขาพยายามขยับริมฝีปาก เสียงพร่าหนักแน่นแผ่วออกมา“ข้า… ข้า…”
คำสารภาพที่รอคอยจะเปล่งออกมาเหมือนค้างคาอยู่ที่ปลายลิ้น แต่ยังไม่ทันได้เอื้อนเอ่ยให้ชัดเจน ดวงตาของเขาก็ค่อย ๆ พร่าเลือน ความเหนื่อยล้าจากบาดแผลและการฝืนร่างกายเกินกำลังพุ่งเข้าโจมตีในชั่วพริบตา ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะหมดเรี่ยวแรง ทรุดซบลงตรงตักของนางโดยไม่ทันตั้งใจ
หลานเยว่เบิกตากว้างเล็กน้อย ใจที่ด้านชามาตลอดเหมือนถูกแรงบางอย่างสะกิดให้สั่นไหว นางก้มลงมองใบหน้าซีดเซียวของเขา ลมหายใจแผ่วริน กลิ่นคาวเลือดเจือปนในอากาศกระทบปลายจมูก ความรู้สึกประหลาดที่ไม่คุ้นเคยพลันถาโถมเข้ามาในหัวใจ
“นี่มัน… ความรู้สึกอะไรกัน”ถ้อยคำที่แทบไม่เคยหลุดจากริมฝีปากของนางดังขึ้นเบา ๆ ราวกับพึมพำกับตนเอง ปกตินางคงผลักไสหรือเพิกเฉยต่อสิ่งใดก็ตามที่ทำให้อ่อนไหว แต่ครั้งนี้ กลับเลือกที่จะปล่อยให้ร่างที่หมดสติของเขาได้พักพิงอยู่บนตัก มือเรียวที่เย็นเฉียบของนางค่อย ๆ ยกขึ้น สัมผัสแก้มอันแข็งกระด้างของชายผู้เป็นดั่งภูผา แต่บัดนี้กลับอ่อนแรงเหมือนเด็กน้อยที่หลับใหล นิ้วเรียวลูบผ่านผิวที่เปื้อนเหงื่อและคราบเลือดด้วยความอ่อนโยนที่ไม่เคยแสดงต่อผู้ใด
หัวใจของนางเต้นแรงขึ้นทีละจังหวะ ความปวดร้าวในบาดแผลของเขาราวกับสะท้อนเข้ามาสู่จิตใจของนางเอง
หลานเยว่ค่อย ๆ หลับตาลงชั่วครู่ ส่งพลังปราณอุ่นผ่านฝ่ามือเข้าสู่ร่างที่บอบช้ำ เพื่อประคับประคองลมหายใจให้มั่นคงขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยแต่ก็เพียงพอที่จะยื้อชีวิตของเขาไว้
เมื่อเงยหน้าขึ้น นางเอ่ยเสียงแผ่วแต่หนักแน่น สั่งการกับบ่าวผู้คอยอยู่ไม่ไกล“ไปเรียกหมอมา… ให้รีบมาพบข้าโดยเร็วที่สุด”
บ่าวผู้นั้นไม่รอช้า รีบโค้งตัวแล้ววิ่งหายลับไปในความมืด ภายใต้แสงจันทร์เย็นสงบในค่ำคืนนี้ หลานเยว่เพิ่งได้ตระหนักว่า หัวใจที่เคยด้านชาต่อความรักและความผูกพัน กำลังสั่นสะท้านเพราะชายผู้หนึ่ง ชายที่นอนหมดสติบนตักของนาง และชายผู้นี้…อาจจะกำลังแทรกซึมเข้ามาในห้วงลึกที่สุดของหัวใจโดยที่นางไม่รู้ตัว
ความมืดครึ้มที่รายล้อมคล้ายห้วงฝันค่อย ๆ เลือนหายไป กลับแทนที่ด้วยความรู้สึกอบอุ่นบางอย่าง ซูจิ่งหลง เหมือนยังจมอยู่ในความฝันอันยาวนาน ฝันว่าเขานอนหนุนตักของ หลานเยว่ ดั่งเด็กน้อยที่ได้รับการปลอบประโลม ฝ่ามืออ่อนนุ่มลูบไล้ใบหน้าของเขาอย่างอ่อนโยน ฝันที่งดงามเกินกว่าจะเป็นจริง
กระทั่งสติกลับคืนมา ลมหายใจแผ่วหนักค่อย ๆ สม่ำเสมอขึ้น เขาลืมตาอย่างยากลำบาก แสงแดดอ่อน ๆ ของรุ่งเช้าส่องลอดเข้ามาผ่านหน้าต่างบานใหญ่ เขาพบว่าตัวเองมิได้อยู่ใต้แสงจันทร์อีกต่อไป หากแต่กลับมาอยู่บนเตียงนอนภายในเรือนใหญ่ของตน จวนที่คุ้นเคยแต่บัดนี้กลับให้ความรู้สึกว่างเปล่าอย่างประหลาด เขาพยายามยันกายลุกขึ้น ทว่าแรงกดเจ็บจากบาดแผลทำให้ร่างกายสั่นระริก เสียงทุ้มแหบพร่าเล็ดลอดจากลำคอ“บ้าที่สุด… ข้าทำพลาดจนได้”
คำพูดนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อใคร นอกจากเพื่อประณามตนเอง เขาจำได้แม่นช่วงเวลาสำคัญที่หัวใจเขาแทบจะเอ่ยถ้อยคำที่ซ่อนเร้นมานาน แต่เขากลับหมดสติ สลบไสลไปดื้อ ๆ ราวกับชายขี้ขลาดที่ไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริง
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเผลอหลับไปกี่วัน หรือนางได้อยู่ข้างเขานานเพียงใด แต่สิ่งหนึ่งที่รู้แน่ชัดคือโอกาสที่หาได้ยากที่สุดนั้น เขากลับปล่อยให้หลุดมือไปอย่างน่าเสียใจริมฝีปากเขาเม้มแน่น ดวงตาคมกริบที่ครั้งหนึ่งเคยเปี่ยมด้วยอำนาจและเยือกเย็น กลับหม่นเศร้าในยามนี้“ข้า…อยากบอกนางเหลือเกิน… แต่เหตุใดถึงได้อ่อนแอเช่นนี้…”
เสียงพร่าที่เปล่งออกมาแทบจะกลืนหายไปกับความเงียบของห้องกว้าง ทว่าภายในอกกลับเต็มไปด้วยแรงปรารถนาที่ล้นทะลักยิ่งกว่าเคย แรงปรารถนาที่อยากเอื้อนเอ่ยเพียงคำเดียวว่า “ข้ารักเจ้า” แต่จนถึงยามนี้ เขาก็ยังไม่อาจทำได้เขายังโทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป ความเสียใจประหนึ่งคมมีดกรีดซ้ำไม่หยุดแต่ทันใดนั้นเสียงเรียบเย็นแต่คุ้นเคยกลับดังขึ้นแผ่วเบา หากทว่าชัดเจนในโสตประสาท“เจ้าตื่นแล้ว…หรือ?”
ดวงตาคมที่เคยแข็งกร้าวเบิกกว้างทันที ร่างสูงใหญ่พลันสะท้านเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้น เห็น หลานเยว่ ก้าวเข้ามาช้า ๆ ในมือของนางถือถาดไม้เล็ก ๆ วางชามข้าวต้มร้อนที่ยังมีไอกรุ่นลอยขึ้น ละอองควันนั้นคล้ายจะสว่างไสวในห้องอันหม่นมืด
หัวใจของซูจิ่งหลงเต้นโครมครามรุนแรงยิ่งกว่าความเจ็บปวดบนร่าง เขาพูดกับตนเองในใจราวคนสิ้นสติ“นี่…จะต้องเป็นความฝันแน่ ๆ… เวลานี้นางควรอยู่ที่จวนกับลูกของนาง เหตุใด…ถึงได้มาอยู่ในเรือนของข้าเช่นนี้…”
ดวงตาคมวาวพร่าล้า พลันทอประกายบางอย่างที่ใครไม่เคยเห็น เปราะบาง อ่อนไหว และเต็มไปด้วยความรู้สึกอัดแน่น เขาไม่อาจกลั้นสิ่งที่กดทับในใจอีกต่อไป แม้จะคิดว่านี่เป็นเพียงภาพลวงตา หากเขาก็อยากจะพูดมันออกไปสักครั้ง
ริมฝีปากที่ซีดเซียวขยับเบา เสียงทุ้มสั่นเครือหลุดออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ“หลานเยว่… ข้า…รักเจ้า… ข้ารักเจ้าเหลือเกิน…”
คำสารภาพนั้นไม่ได้มีความสง่าผ่าเผย หากเป็นคำสารภาพที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด อ่อนล้า และจริงใจที่สุดในชีวิต เขาไม่สนใจอีกแล้วว่ามันจะเป็นความจริงหรือความฝัน ขอเพียงได้เอ่ยต่อหน้านางสักครั้งก็เพียงพอ
สายตาของ หลานเยว่ จับจ้องใบหน้าซีดเซียวของเขา ดวงตาคู่นั้นยังคงนิ่งสงบ ไร้ระลอกคลื่นไม่ต่างจากผืนน้ำแข็งที่ปิดบังห้วงลึกข้างใต้ ทว่าความนิ่งนี้เองกลับทำให้คำพูดของนางยิ่งก้องสะท้อนในอกเขา“ข้ารู้แล้ว… เจ้ากินข้าวต้มเสียก่อนเถิด”
คำตอบนั้นเรียบง่าย… แต่ไม่ใช่การปฏิเสธ หากเป็นดั่งม่านปริศนาที่คลุมความรู้สึกของนางไว้แน่นหนา ซูจิ่งหลงจ้องมองนางเงียบ ๆ ดวงตาแดงวาวพร่าด้วยความซาบซึ้งและเจ็บปวดผสมปนเปกัน เขาไม่รู้ว่านางเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของเขาหรือไม่ แต่เพียงแค่ คำว่า “ข้ารู้แล้ว” ก็ทำให้หัวใจแข็งกร้าวของเขาอ่อนยวบลง ราวกับได้รับการยอมรับเล็กน้อยในโลกที่เขาไม่เคยมี
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







