Masukแม้ว่า ซูเทียนหมิง จะเอื้อนยิ้มอบอุ่นให้กับ หลานเยว่ และเด็กน้อย แววตาที่ทอดมามีทั้งความจริงใจและความเอ็นดูดุจญาติผู้ใหญ่ที่พร้อมโอบรับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว นางสัมผัสได้ชัดเจนถึงความอบอุ่นที่แผ่วซึมออกมาโดยไม่ต้องใช้คำพูดใด ๆ แต่ในห้วงลึกของสัญชาตญาณหลานเยว่ รู้ทันทีว่าชายสูงวัยผู้นี้มิใช่คนธรรมดาเพียงแค่นั่งสงบนิ่งอยู่ที่โต๊ะ อำนาจที่มองไม่เห็นก็ยังแผ่ซ่านไปทั่วบรรยากาศ เหมือนพลังอำนาจบางอย่างที่กดดันให้ผู้คนรอบกายต้องสำรวมทุกอิริยาบถเขาไม่ใช่เพียงแค่บิดาผู้เลี้ยงดู ซูจิ่งหลง หากแต่เป็นชายผู้ปลุกปั้นบุตรชายขึ้นมาเป็นเจ้าของโรงประมูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงสถานที่ที่ผูกพันทั้งการค้าและอำนาจมืดเข้าด้วยกัน
ในห้องโถงสว่างด้วยแสงโคมอันอบอุ่น เสียงถ้วยชากระทบเบา ๆ เป็นจังหวะขับกล่อมความเงียบงัน ขณะนั้น ซูเทียนหมิง รู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่กำลังจับจ้องมา แม้นางจะทำทีเพียงเหลือบมองผ่าน ๆ หากแต่สายตาคมของชายชราผู้ผ่านศึกทั้งบัลลังก์และโลกมืดมาก็ย่อมรู้ได้ในทันที
ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มบาง เขาเอ่ยขึ้นเสียงทุ้มแฝงแววขบขันเล็กน้อย“สาวน้อย…เจ้าจ้องใบหน้าข้าถึงเพียงนี้ ย่อมต้องมีคำถามอยู่ในใจแน่ใช่หรือไม่”
หลานเยว่ ที่นั่งสงบนิ่ง สุดท้ายก็ยอมเอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมา “ข้าเพียงแค่สงสัย…ตัวท่านเองในยามนี้ก็มีอำนาจบารมีล้นฟ้า เหตุใดถึงยอมให้มารดาของซูจิ่งหลงใช้ชีวิตอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ เช่นนี้”
เสียงของนางเรียบ แต่คมกริบพอที่จะกรีดใจผู้ฟังได้ เงียบงันเพียงอึดใจหนึ่ง ก่อนที่เสียงหัวเราะทุ้มต่ำของ ซูเทียนหมิง จะดังขึ้น ทว่ามันมิใช่หัวเราะเยาะ หากแต่เป็นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยร่องรอยขมขื่น
“หึ… ถึงแม้ว่าข้าจะมีบารมีอยู่บ้างในโลกมืด และมีคนยอมก้มหัวให้ในเมืองหลวง…แต่เจ้าอย่าลืมว่า อำนาจมืดของราชสำนักนั้นลึกยากจะหยั่งถึงนัก”
ดวงตาคมของเขาฉายแววเหน็ดเหนื่อยที่ไม่เคยเปิดเผยต่อผู้ใดมาก่อน เขายกถ้วยชาขึ้นดื่ม ก่อนเอ่ยต่อช้า ๆ แต่หนักแน่นทุกถ้อยคำ“บารมีของข้าก็เป็นเพียงเกราะป้องกันชั่วคราว หากวันใดราชสำนักคิดลงมือจริง…ข้าไม่มียาวิเศษใดที่จะชุบชีวิตนางได้”
มือใหญ่กำถ้วยชาแน่นขึ้นเล็กน้อย แววตาเขาหันไปทางบุตรชายแล้ววกกลับมามองสตรีตรงหน้า“การให้นางอยู่ในเงามืด…คือสิ่งเดียวที่ข้าทำได้เพื่อปกป้องคนที่ข้ารักที่สุด แม้นั่นจะเป็นการบีบหัวใจข้าก็ตาม”
บรรยากาศโดยรอบพลันเงียบสงบ ราวกับทุกเสียงรอบนอกได้ถูกกลืนหายไป เหลือเพียงเสียงหัวใจที่ดังสั่นสะเทือนอยู่ในอกของผู้พูดและผู้ฟังชายสูงวัยผู้แบกความลับและความผิดบาปไว้เต็มบ่า และสตรีผู้เย็นชา…ที่เริ่มรับรู้ถึงน้ำหนักของสิ่งที่เรียกว่า การปกป้อง
หรงจิ่วเซียน ดวงตาคู่สวยที่แม้ผ่านกาลเวลามายาวนาน แต่ยังคงเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนละมุนละไม นางเหลือบตามองสามี พลางยกมือเรียวแตะเบา ๆ บนแขนเขา
“ท่านพี่… เพียงแค่นี้ ข้าก็มีความสุขมากแล้ว” คำพูดนั้นทำให้ความขมขื่นในใจของ ซูเทียนหมิง คลายลงทันใด ราวกับน้ำใสหลั่งรินดับเปลวเพลิงในอก เขาหันไปมองนาง สีหน้าแข็งกร้าวของชายผู้ผ่านโลกมืดพลันอ่อนละมุนลงจากนั้น หรงจิ่วเซียนจึงเบนสายตามาทาง หลานเยว่ ดวงตาคู่นั้นทอประกายอบอุ่นไม่ต่างจากมารดาที่มองบุตรสาวของตนเอง เสียงของนางแผ่วเบา แต่เปี่ยมด้วยความรักใคร่และเอ็นดู
“มันเป็นสิ่งที่ข้าร้องขอจากสามีเอง… ข้าไม่ต้องการให้เขาต้องเป็นห่วง”
ในน้ำเสียงนั้น ไม่มีแม้เงาแห่งความเสียดายหรือขมขื่น มีเพียงความสงบเย็นและความพึงพอใจในชีวิตที่ได้เลือกเดิน แม้จะต้องหลบเร้นอยู่ในเงามืด แต่นางกลับมองว่าเป็น ความสุขอันเรียบง่าย ที่มีค่ากว่าบัลลังก์ทองหรือชื่อเสียงลวงตาใดๆ
สำหรับ หลานเยว่ เพียงได้ยินถ้อยคำนี้ ก็รู้ทันทีว่าสตรีตรงหน้าไม่เพียงเป็นพี่สาวแท้ ๆ ขององค์จักรพรรดิ หากยังเป็นมารดาผู้แข็งแกร่ง ที่ยอมวางเกียรติและฐานันดร เพียงเพื่อให้ครอบครัวอยู่รอดและสงบสุข
ในเวลานี้สีหน้าของ ซูเทียนหมิง พลันกลับกลายเป็นเคร่งขรึม ริมฝีปากหยักขบแน่นก่อนจะเอ่ยถ้อยคำที่กดดันบรรยากาศบนโต๊ะอาหารจนเงียบงัน
“เหอะ… ซูจิ่งหลง มีเรื่องหนึ่งที่เจ้าทำให้ข้าผิดหวังนัก” เสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยความหงุดหงิด และแววตาคมฉายประกายเย็นเยียบจนแม้แต่บ่าวรับใช้รอบข้างยังพลันก้มหน้าหลบ
“เจ้าผ่านโลกมืดมาทั้งชีวิต ก้าวข้ามซากศพนับไม่ถ้วน…แต่กลับถูกไอ้ง่อยผู้หนึ่งกับลูกน้องไร้ค่า ลอบทำร้ายได้เช่นนั้น มันช่างน่าขายหน้าจริง ๆ”
ถ้อยคำแต่ละคำเสียดแทงเหมือนคมมีด ซูจิ่งหลงที่นั่งฟังรู้สึกเหมือนถูกกดลงลึกกับเก้าอี้ หัวใจบีบแน่น ริมฝีปากเม้มจนเป็นเส้นตรง ซูเทียนหมิงฟาดฝ่ามือแรงลงบนโต๊ะไม้ เสียงดังสะท้อนจนจานชาสั่นไหว“หากเจ้าต้องมาตายเพียงเพราะเหตุการณ์ตื้นเขินเพียงเท่านี้…ต่อให้เป็นหลุมศพ ข้าก็ไม่ยอมฝังให้!”
คำพูดนั้นโหดร้ายยิ่งกว่าดาบคม แต่ในความดุดันที่ห่อหุ้มผู้ที่นั่งอยู่เบื้องหน้ากลับสัมผัสได้ว่า ความโกรธนั้นมิใช่เพราะดูแคลน หากแต่เป็น ความห่วงใยลึกที่สุดของพ่อ ที่ไม่อาจทนเห็นลูกชายตายอย่างไร้ค่า
บรรยากาศรอบโต๊ะอาหารอึดอัดราวกับอากาศถูกสูบหายไปสิ้น ทุกสายตาหันไปจับจ้องที่ ซูจิ่งหลง ว่าเขาจะตอบสนองเช่นไรต่อคำพูดของบิดา คำพูดที่ทั้งบีบคั้นหัวใจ และเผยความจริงว่าพ่อผู้นี้…ไม่ยอมให้ลูกชายเดินสู่จุดจบอย่างน่าอับอายเป็นอันขาด
หรงจิ่วเซียน แอบเอื้อมมือเรียวไปดึงชายเสื้อของสามีเบา ๆ พร้อมส่งสายตาตำหนิแนบแน่นแววตาที่ไม่ต้องมีถ้อยคำก็สื่อได้ชัดเจนว่า “ในที่นี้ยังมีเด็กเล็กอยู่ เจ้าอย่าใช้คำพูดอันรุนแรงเช่นนั้น”
ซูเทียนหมิง ผู้ซึ่งเมื่อครู่ยังคุโชนด้วยความโกรธถึงกับแข็งค้าง สีหน้าแข็งกร้าวสั่นสะท้อนคล้ายถูกสาดน้ำเย็นใส่เต็มใบหน้า เขาเพิ่งรู้ตัวว่าตนปล่อยอารมณ์เดือดดาลเกินขอบเขต ในวินาทีนั้นเอง เสียงหัวเราะก้องดังขึ้น ทำลายความอึดอัดที่อาบอยู่“ฮ่าฮ่าฮ่า! ข้าเพียงแค่หยอกล้อ ท่านลุงของเจ้าเล่นเท่านั้น”
คำพูดพลิกความหมายอย่างรวดเร็ว แทนที่จะเป็นการตำหนิรุนแรง กลับกลายเป็นคำล้อเลียนที่มีรสหวานเจืออยู่ในน้ำเสียง พร้อมกันนั้น ซูเทียนหมิง ก็กวักมือเชิญเด็กชายเข้ามาใกล้ยิ่งกว่าเดิม
“มาเถอะ หลานรักของข้า… ข้าเตรียมสิ่งของให้เจ้ามากมาย” สายตาที่ก่อนหน้านี้แข็งกร้าวราวคมดาบ บัดนี้กลับอ่อนละมุนยิ่งกว่าผ้าฝ้าย ความเอ็นดูที่ปกปิดไม่อยู่ฉายออกมาจนชัดเจน รอยยิ้มเต็มใบหน้าเขาเมื่อทอดมอง หลานจิ่วอวิ๋น ทำให้ทุกความตึงเครียดพลันคลายหายราวหมอกยามเช้า
เสียงถอนหายใจแผ่วเบาดังขึ้นจากริมฝีปากของ ซูจิ่งหลง เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเจือทั้งเหนื่อยล้าและความน้อยใจที่สะสมมานาน
“ท่านพ่อ… ช่างเข้มงวดกับข้านัก แม้บัดนี้ข้าอายุสี่สิบแล้ว เขาก็ยังไม่ลดละเลย… แม้แต่คราเจ็บใกล้ตาย ท่านพ่อก็ยังไม่คิดมาเยี่ยมเยียนข้าเลยสักครั้ง”
คำพูดนั้นหนักหน่วง ราวกับความคับข้องที่ถูกเก็บไว้เนิ่นนานเอ่อล้นออกมา แม้ใบหน้าคมเข้มยังคงทรงสง่า แต่แววตา ลึก ๆ กลับแฝงไปด้วยความเจ็บปวดที่ไม่เคยมีใครได้เห็น
หรงจิ่วเซียน หันมามองบุตรชาย ริมฝีปากโค้งยิ้มอ่อนโยน สายตาของนางเต็มไปด้วยความรักใคร่ที่ไม่เคยเสื่อมคลาย“เจ้าก็รู้ดีมิใช่หรือ ว่าท่านพ่อของเจ้ารักเจ้ามาก… เพียงแต่เขาไม่เคยถนัดที่จะแสดงออก เขาเลือกเข้มงวด เพราะไม่อยากให้เจ้าพลาด”
น้ำเสียงอ่อนหวานนั้นเปรียบดั่งลมอุ่นพัดไล่หมอกหม่นในใจ แม้คำพูดเรียบง่าย แต่กลับสะท้อนถึงความเข้าใจลึกซึ้งของชายผู้เป็นสามี หลานเยว่ ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แม้ใบหน้าของนางยังคงเรียบเฉย ไร้รอยยิ้มและไร้ความอ่อนไหวเหมือนเช่นทุกครั้ง ทว่าภายในใจกลับสั่นสะท้านเล็กน้อย
นางสัมผัสได้ชัดเจนครอบครัวของ ซูจิ่งหลง แม้จะเต็มไปด้วยความเข้มงวดและความเย็นชาในบางครั้ง แต่ในห้วงลึกยังมีความอบอุ่นแผ่วเบาห่อหุ้มอยู่เสมอ ความอบอุ่นนี้…เป็นสิ่งที่ครอบครัวของนางไม่เคยมอบให้นางแม้เพียงเศษเสี้ยว
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







