เข้าสู่ระบบแม่ทัพหลานซือเหยียนและแม่ทัพซ่งไห่หยางสองขุนศึกผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค แม้จะต่างสายเลือดต่างแซ่ แต่หัวใจของพวกเขากลับหล่อหลอมจากแม่พิมพ์เดียวกัน…เย็นชา แข็งกระด้าง และยึดมั่นในอำนาจยิ่งกว่าสายเลือด หลานซือเหยียน มองบุตรสาวผู้ไร้พลังปราณเป็นเพียงภาระไร้ราคา ความงดงามของนางคือสิ่งเดียวที่โลกยกย่อง เขาไม่ลังเลที่จะยื่นนางเป็นของขวัญอุ่นเตียงแด่ผู้ใต้บัญชา เพียงเพื่อแลกกับความจงรักภักดีของอีกฝ่าย เหมือนกับว่าชีวิตของนางนั้นเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งในกระดานแห่งอำนาจ
ซ่งไห่หยาง เองก็หาได้ต่างไป ยามที่ซ่งเจี้ยนหงยังรุ่งโรจน์ เขาคือดวงใจ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของบิดา แต่เมื่อเคราะห์กรรมเหวี่ยงลูกชายจากยอดพสุธาลงสู่หุบเหวไร้พลังปราณ เขากลับทอดทิ้งอย่างไร้เยื่อใย ดั่งสิ่งของที่หมดคุณค่า ไร้ความหมาย ไม่มีแม้แต่แววตาเวทนาให้กับเลือดเนื้อของตน
แม้ทั่วหล้าจะกล่าวขานชื่อของแม่ทัพหลานซือเหยียนและแม่ทัพซ่งไห่หยางด้วยความชื่นชมยกย่อง ทว่าในสายตาของ หลานเยว่ สองบุรุษผู้สูงศักดิ์เหล่านี้คือเงามืดในชีวิตของนาง และยิ่งเจ็บลึกไปกว่านั้น... พวกเขาคือท่านปู่และท่านตาแท้ ๆ ของ หลานจิ่วอวิ๋น
ในเรือนอันสงบงาม เสียงลมพัดต้องม่านผืนบางเบา หลานเยว่ นั่งนิ่งทอดสายตาออกไปยังลานกว้างที่บุตรชายของนางกำลังหัวเราะอย่างร่าเริง วิ่งเล่นอยู่กับบ่าวรับใช้นางผ่อนลมหายใจเบา ๆ แล้วเอ่ยกับตัวเองราวกับคำอธิษฐาน
“หลานจิ่วอวิ๋น... ลูกแม่ แม่หวังเหลือเกินว่าในวันที่เจ้าเติบใหญ่ ตัวเจ้าจะไม่หลงระเริงในอำนาจเช่นพวกเขา…” แม้โลกทั้งใบจะทำให้นางแข็งกระด้างและเย็นชา แต่นางยังคงมีพื้นที่หนึ่งในหัวใจที่อ่อนโยนเสมอ... และพื้นที่นั้นสงวนไว้ให้แก่บุตรชายเพียงผู้เดียว
รุ่งเช้าวันถัดมา แม่ทัพซ่งไห่หยางย่างก้าวเข้าสู่จวนของหลานเย่อีกครั้ง ทว่าวันนี้ต่างไปจากวันวาน สีหน้าเคร่งขรึมเปลี่ยนเป็นอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ได้มาเพื่อกล่าวคำใหญ่โต หรือแสดงอำนาจ เขามาเพราะอยากรู้จัก หลานชาย ผู้เป็นสายเลือดแท้จริงของบุตรชายที่เขาเคยทอดทิ้งแรกพบเพียงสายตาเดียว หัวใจที่เคยด้านชาของแม่ทัพซ่งกลับสะท้าน
เด็กชายผู้นั้น หลานจิ่วอวิ๋นยิ้มให้เขาอย่างไร้พิษภัย ดวงตากลมใสราวสระน้ำที่ไม่เคยถูกปนเปื้อน เขาวิ่งเข้ามากอดแขนชายชราอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เคอะเขิน ไม่หวาดกลัวซ่งไห่หยางนิ่งไปชั่วขณะ ราวกับเวลาหยุดลง
“ช่างเป็นเด็กที่ฉลาดเฉลียวยิ่งนัก...” เขาเอ่ยในใจอย่างลึกซึ้งและในยามที่ได้เห็นความไร้เดียงสาของเด็กชายผู้นี้ ซ่งไห่หยางรู้สึก... ว่าเขาอาจไม่สมควรได้รับการให้อภัยจากผู้ใด ทว่าอย่างน้อย ในฐานะ ปู่ เขายังมีโอกาสจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งเด็กคนนี้... อาจเป็นแสงสุดท้ายของตระกูลและอาจเป็นแสงเรืองรองที่เขาไม่เคยมีโอกาสมอบให้บุตรชายของตนเองมาก่อน
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา… แม่ทัพซ่งไห่หยาง ผู้เคยยืนหยัดบนยอดแห่งอำนาจ กลับเลือกที่จะลดตัวลงมาเดินในทางที่ต่างออกไปเขามิได้มาเยือนจวนหลานเยว่ในฐานะแม่ทัพผู้ทรงอำนาจอีกต่อไป แต่ในฐานะ ท่านปู่ ของเด็กชายตัวน้อยหลานจิ่วอวิ๋น
จากชายชราผู้ครั้งหนึ่งเคยเย่อหยิ่ง แข็งกร้าวดุจเหล็กกล้า ยามนี้กลับแปรเปลี่ยนไปจนแทบจำไม่ได้ยามเขาก้าวเข้าสู่จวน เด็กชายมักจะวิ่งมารับด้วยเสียงใสเจื้อยแจ้ว แววตาเปล่งประกายด้วยความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา และในห้วงขณะนั้น… หัวใจที่เคยแข็งเย็นของซ่งไห่หยางก็ค่อย ๆ อ่อนลงทุกครั้ง
“ท่านปู่มาหาข้าอีกแล้วหรือ!”“แน่นอนสิ... ปู่มีของมาฝากจากเมืองใต้ด้วยนะ” ทั้งของเล่น ทั้งขนม ทั้งเรื่องเล่าในวัยหนุ่มของแม่ทัพ ล้วนกลายเป็นของขวัญล้ำค่าที่ถูกร้อยรัดเป็นสายใยระหว่างคนสองรุ่น บางคราเขานั่งเงียบ ๆ มองเด็กชายวิ่งไล่ผีเสื้ออยู่กลางสวนบางคราเขานั่งขัดสมาธิบนระเบียง หัวเราะพลางให้หลานปีนขึ้นหลังราวกับขุนพลขี่มังกร ไม่ว่าอย่างไรทุกช่วงเวลาเหล่านั้นได้เติมเต็มบางสิ่งที่ขาดหายไปในใจเขาอย่างช้า ๆ
หลังจากแม่ทัพซ่งไห่หยางใช้เวลาหยอกล้อและเล่นกับหลานชายตัวน้อยจนพอใจแล้ว เขาก็ขอตัวกลับไป ทิ้งไว้เพียงรอยยิ้มของเด็กชายที่ยังเปื้อนอยู่บนใบหน้า และความอบอุ่นที่คลุ้งอยู่ภายในเรือนอย่างจาง ๆ ไม่นานหลังจากนั้น ร่างสูงสง่าของแม่ทัพหลานซือเหยียนก็ก้าวเข้าสู่เรือนด้วยฝีเท้าที่หนักแน่น แววตาเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดเช่นเคย แต่ลึกในแววตานั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าได้ยินมาว่า… ซ่งไห่หยางมาที่นี่บ่อยนักในช่วงนี้”“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
น้ำเสียงของเขาเย็นชาดั่งคมมีด ไม่ใช่ถ้อยคำของบิดาที่ห่วงใย แต่เป็นคำถามของนายเหนือที่ไม่ต้องการคำโกหกหลานเยว่หันมามองเขา สีหน้าเรียบนิ่งดั่งหน้ากระจกไร้คลื่น
“เขาก็เพียงแค่มาเยี่ยมหลานชายของเขาเท่านั้น” นางตอบอย่างไร้แววอารมณ์ ไม่ทุกข์ ไม่ยินดีแม่ทัพหลานซือเหยียนแค่นลมหายใจหนัก คำตอบนั้นไม่อาจกลบความคาใจของเขาได้
“เจ้าอย่าได้มาเล่นลิ้นกับข้า! เจ้าคิดว่าข้าโง่รึ? มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่!” ดวงตาของหลานเยว่ค่อย ๆ เงยขึ้น สบเข้ากับสายตาเขาโดยตรง แววตานั้นเยียบเย็นและเจือแววอำมหิตอย่างชัดเจน
“ข้าเพียงแค่ให้สัญญากับเขา...”“ว่าหากเขายอมดูแลหลานจิ่วอวิ๋นให้ดี ข้าจะบอกชื่อคนที่ลากลูกชายของเขาลงเหว...”
เพียงถ้อยคำเดียว… ร่างของแม่ทัพหลานซือเหยียนก็ถึงกับสะท้านเล็กน้อย ใบหน้าที่เคยเยือกเย็นเริ่มแข็งค้างเพราะเขารู้ดีว่า คนนั้นที่หลานเยว่กล่าวถึง... ก็คือตัวเขาเองเขาคือผู้วางกลลวง ทำลายพลังปราณของซ่งเจี้ยนหงในอดีตและบัดนี้... ลูกสาวที่เขาเคยทอดทิ้ง กลับวางอุบายแก้แค้นอย่างแนบเนียน
“เจ้ามัน... บ้าไปแล้ว...!” เขาคำรามด้วยความโกรธ ปนตื่นตระหนกแต่หลานเยว่เพียงแค่ยืนมองเขา ริมฝีปากโค้งยิ้มจาง ๆ แววตาไร้ปรานี เงียบ... และเย้ยหยันยิ่งกว่าคำพูดใด ๆ แม่ทัพหลานซือเหยียนยืนจ้องบุตรสาวของตนด้วยแววตาสั่นไหว อารมณ์ปะทุในอกจนยากจะควบคุม
“เจ้าก็รู้ดี...”“ว่าทุกสิ่งที่ข้าทำไปก็เพื่อเจ้า... เพื่อเจ้าทั้งนั้น!”
เสียงของเขาเต็มไปด้วยแรงสั่นของความรู้สึก ทั้งโกรธทั้งเสียใจแต่คำสารภาพนั้น กลับไม่สามารถสั่นคลอนหญิงสาวตรงหน้าได้แม้แต่น้อยหลานเยว่เพียงปรายตามองอย่างไร้เยื่อใยนางตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ
“นั่นมัน... คือปัญหาของท่าน”คำตอบนั้นกรีดลงกลางหัวใจของผู้เป็นบิดาราวคมดาบ ท่านแม่ทัพหลานซือเหยียนถึงกับเบี่ยงหน้าเล็กน้อยราวกับหลบตาไม่ทัน ใบหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งตกใจ ทั้งเจ็บปวด ทั้งโกรธเกรี้ยว
“เจ้า... เจ้าช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก!” เขาเค้นเสียงผ่านไรฟัน น้ำเสียงแหบพร่า ร่างกายสั่นเทาเหมือนคนไข้หนาวสั่นเขาเข้าใจแล้วว่าความเงียบและความอดทนตลอดหลายปีของนาง ไม่ใช่การยอมจำนนแต่มันคือเชื้อเพลิงที่หล่อเลี้ยงไฟแค้นให้ลุกโชนอย่างเงียบงัน
เขามองบุตรสาวของตนผู้ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยมองเป็น สิ่งไร้ค่า บัดนี้กลับยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับน้ำเสียงที่เย็นยิ่งกว่าน้ำแข็ง และแววตาที่ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของคำว่าลูก
แต่สิ่งที่ทำให้แม่ทัพหลานซือเหยียนหวาดหวั่นยิ่งกว่าก็คือ...หาก ซ่งไห่หยาง รู้ความจริงเสือเฒ่าผู้นั้นจะไม่มีวันอยู่เฉยพวกเขารู้จักกันมานาน ผ่านสมรภูมิแห่งเลือดมาไม่น้อยและนั่นทำให้เขารู้ซึ้งดีว่าอีกฝ่ายน่ากลัวเพียงใดเมื่อโทสะถูกปลุก
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







